วันศุกร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 77 สกุลชุยแห่งเมืองเต๋อซิง

      พอโดนฟางฉิงจ้องเขม็ง  ซู่จิงเหอจึงรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะน่า  ข้าจะไม่ยอมให้ซินเอ๋อล่วงรู้หรอก!”
                  ฟางฉิงจึงยิ้มออก
      เหลียนฟางโจว และเหลียนเซ่อเดินเคียงกันมาถึงห้องพักรับรองพร้อมกับแม่นมหลี่  แม่นมหลี่ยิ้มอย่างนอบน้อม “เหลียนกูเหนียง  กับคุณชายเหลียนโปรดพักที่นี่   สำหรับคุณชายที่รออยู่ด้านนอก  เหล่าหนู (บ่าวอาวุโส)จะให้แม่บ้านไปจัดห้องพักรับรองที่เรือนพักชั้นนอกให้เหลียนกูเหนียงโปรดวางใจเถิด!”

                  ที่นี่คือเรือนพักชั้นใน  ตามปกติแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะให้อาเจี่ยนพักที่นี่  ส่วนเหลียนเซ่อนั้นยังเยาว์อยู่จึงพักได้   มิเช่นนั้นก็คงไม่อาจพักที่นี่ได้เช่นกัน  โดยปกติเรือนชั้นนอกจะมีห้องพักรับรองแขกไว้สำหรับแขกผู้ชายโดยเฉพาะ
                  เหลียนฟางโจวจึงพยักหน้ายิ้มให้ “รบกวนท่านป้าแล้ว  พวกเราขอไปแจ้งกับญาติห่างๆของเราได้หรือไม่?”
                  แม่นมหลี่นิ่งคิดสักครู่ แล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นโปรดตามเหล่าหนูมาเถิด!”
                  เมื่อคนทั้งสามออกมาจากเรือนชั้นใน   พบว่าอาเจี่ยนยังคงนั่งสงบ คอยทั้งสองอยู่ในโถงรับรอง   ไม่มีสีหน้ากระวนกระวาย หรือไม่พอใจปรากฏให้เห็นเลย  ครั้นชายหนุ่มเห็นคนทั้งสามจึงผุดลุกยืนขึ้น  ส่งยิ้มให้  แล้วจึงเดินไปหาพวกเขา
                  เหลียนฟางโจวยิ้มบางๆให้เขา  พลางพยักหน้านิดหนึ่ง   เมื่อเห็นเช่นนั้น อาเจี่ยนพลันแอบรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก   ความรู้สึกของชายหนุ่มยามนี้ไม่ต่างจากหญิงสาวเลย
                  “วันนี้   เย็นมากแล้ว  คืนนี้พวกเราค้างที่นี่สักคืนหนึ่ง   พอถึงรุ่งเช้าพรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับกันหรือมิเช่นนั้น  น้องรอง..เจ้าไปพักเป็นเพื่อนกับอาเจี่ยนเถิด!”
                  เหลียนฟางโจวพลันรู้สึกว่านางไม่คุ้นนัก  ที่ปล่อยให้อาเจี่ยนพักอยู่ที่เรือนชั้นนอกคนเดียว   หากพูดกันตามจริง   คราที่โดนคนขับรถม้าโกงอย่างน่าละอาย  หากยามนั้นไม่มีอาเจี่ยนอยู่ด้วยแล้ว   สองคนพี่น้องคงต้องยอมให้ถูกเขาเอาเปรียบและต้องกล้ำกลืนกับสายตาดูหมิ่นดูแคลนเป็นแน่!
                  เหลียนฟางโจวไม่ได้ฉุกคิดเลยว่า  ครอบครัวของเธอได้ยอมรับอาเจี่ยนเป็นดังเสาหลักที่พึ่งของบ้านไปโดยไม่รู้ตัวแล้ว
                  “อืม! ข้าก็อยากบอกพี่ใหญ่เช่นนั้นเหมือนกัน!” เหลียนเซ่อพยักหน้าแย้มยิ้ม
                  เหลียนฟางโจวจึงมองมาที่แม่นมหลี่เพื่อขออนุญาติ
                  เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆ ไม่เกินความรับผิดชอบและดุลยพินิจของแม่นมหลี่  ครั้นแล้วนางจึงพยักหน้าอนุญาติและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทำเช่นนี้ก็ดีเช่นนั้นกูเหนียงไปกับเหล่าหนูก่อน  พอส่งเหลียนกูเหนียงเข้าที่พักแล้ว!  อีกสักครู่เหล่าหนูจะให้แม่บ้านไปเตรียมการให้”
                  เหลียนฟางโจวตอบรับ พลางเอ่ยอำลากับอาเจี่ยนและเหลียนเซ่อ เพื่อตามแม่นมหลี่ไปห้องพัก
                  ตลอดทางที่เดินไป  แม่นมหลี่คอยชี้ชวนให้ดูสถานต่างๆที่เดินผ่าน และอธิบายให้เหลียนฟางโจวฟัง   เหลียนฟางโจวที่เดินเคียงข้าง  ก็คอยมองตามที่นางบอกด้วยสีหน้ารื่นรมย์  มีรอยยิ้มแต่งแต้มเป็นระยะๆ
                  แม่นมหลี่นึกในใจว่าหญิงสาวผู้นี้ช่างอ่อนน้อมนัก   ทั้งยังไม่ได้ถามซอกแซกหรือละลาบละล้วงถึงเรื่องนายน้อยซู่หรือฮูหยินน้อยเลย  นางจึงนึกแอบชื่นชมเหลียนฟางโจวอยู่ในใจเงียบๆ  เหลียนกูเหนียงผู้ที่เป็นเครือญาติกับเจ้านายของนางคนนี้  ถึงจะยังเยาว์   ทว่ากลับมีความระมัดระวัง ดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว!  เผลอๆอาจมีความเข้มแข็งกว่าฮูหยินน้อยสกุลซู่นัก  โอ้ สวรรค์!
                  คิดถึงฮูหยินน้อย ที่มีบิดาไม่เอาไหน และมารดาเลี้ยงที่เหี้ยมโหด  ถึงขนาดอยากให้นายหญิงน้อยตาย  พอคิดขึ้นมา ทำให้จิตใจของแม่นมหลี่พลันเต็มไปด้วยความรู้สึกชิงชัง  เคราะห์ดี ที่นายหญิงน้อยได้แต่งงานออกไป  หากยังอยู่ที่นั่นไม่รู้ว่าจะประสบเคราะห์กรรมเช่นไร!
                  “นี่!” ขณะที่แม่นมหลี่และเหลียนฟางโจวกำลังสนทนากันอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น   พลันมีบุคคลผู้หนึ่งโผล่เข้ามายืนขวาง  ทางด้านซ้ายและเรียกพวกนางไว้  เมื่อแม่นมหลี่เพ่งตา มองชัดๆ   พลันเห็นเพียงชุยเฉ่าซียืนเด่นเป็นสง่า  ประสานมือไขว้ไว้ด้านหลัง  
                  “ท่านชาย!” แม่นมหลี่รีบย่อตัวคำนับแทบไม่ทัน
                  ท่านชายผู้นี้เป็นแขกผู้ทรงเกียรติของสกุลซู่  มารดาเขาคือน้องสาวแท้ๆของนายท่านซู่   ส่วนท่านย่าคือเจ้าหญิงหย่งเหอ ซึ่งเป็นพระขนิษฐาที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนโปรดปรานที่สุด
                  ทว่าสกุลชุยของพวกเขาได้เร้นตัวจากสังคมมาพำนักในเมืองเต๋อซิง  นับเป็นสกุลที่มีชื่อเสียงโดดเด่นที่อยู่ท่ามกลางชนชั้นระดับสูงที่สุด   หลายปีที่ผ่านมา ผู้สืบเชื้อสายของสกุลนี้ต่างทำงานเป็นขุนนางรับใช้ราชสำนักพร้อมๆกันไม่ต่ำกว่า 17 คน  ทุกคนล้วนเป็นผู้เก่งกาจและซื่อสัตย์ทั้งสิ้น   โดยเฉพาะท่านปู่ของเขาถือเป็นบุคคลากรชั้นเยี่ยมที่สุดของสกุลนี้  คือเฟิงเหวินหัว,บัณฑิตราชสำนัก  ซึ่งครั้งหนึ่งเคยกินตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการ
                  ต่อมาภายหลังฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงสวรรคต  เจ้าหญิงหย่งเหอและพระสวามีจึงปรึกษากัน  ภายหลังตัดสินใจถอนตัวออกขณะที่กำลังอยู่ในช่วงที่รุ่งเรืองเฟื่องฟู  หลังจากลาออกจากการตำแหน่งขุนนางในราชสำนักแล้ว  ได้กลับไปพำนักที่เมืองเต๋อซิงบ้านเกิด  สายเลือดรุ่นหลังๆก็ทำงานอยู่นอกราชสำนัก   ไม่แสวงหาความหรูหราฟุ้งเฟ้อเกินไป  ค่อยๆถอนตัวกลับคืนสู่สามัญอย่างช้าๆ
                  หลายปีมานี้ นับวันความสัมพันธ์ทางพระญาติกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน  และเชื้อพระวงศ์ยิ่งเริ่มห่างไกลจืดจางกันมากขึ้นเรื่อยๆ  ทว่าด้วยคุณงามความดีของสกุลนี้  ฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อองค์ปัจจุบันยังคงระลึกถึงอยู่เสมอ  ทุกๆปีจะทรงพระราชทานของขวัญมากมายแก่เจ้าหญิงหย่งเหอ   ของขวัญที่ได้รับพระราชทานในแต่ละปีมีมากมายนัก ได้แก่  ที่นาอันอุดมสมบูรณ์กว่าครึ่งในเมืองเต๋อเซียง  ซึ่งล้วนเป็นของสกุลชุย  ทั้งยังธุรกิจร้านค้าที่มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน  ทำให้แถบตะวันตกเฉียงใต้พลอยมีชื่อเสียงตามไปด้วย
                  แม้ว่าในใจของเหลียนฟางโจวปรารถนาให้ตนเอง อยู่ห่างๆให้ไกลจากท่านชายผู้นี้มากเพียงใด  ทว่าพออยู่ต่อหน้าแม่นมหลี่  เธอจึงทำได้เพียงแต่ย่อตัวคำนับให้เกียรติตามแม่นมหลี่ไปด้วย
                  ชุยเฉ่าซีสะบัดมือไล่แม่นมหลี่ แล้วเอ่ยขึ้น  “ข้ามีเรื่องหลายเรื่องจะบอกกล่าวเหลียนกูเหนียง!”
                  เหลียนฟางโจวรู้สึกเหมือนตนเองได้ยินเสียงสัญญาณระวังภัยร้องเตือน  เธอกลัวว่าแม่นมหลี่จะปลีกตัวออกไปแล้วทิ้งเธอให้อยู่เผชิญหน้ากับบุรุษสูงส่งผู้นี้ตามลำพัง  จึงรีบเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม “หากเป็นเช่นนั้น  ท่านป้าโปรดรอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน!”
                  ทว่าชุยเฉ่าซีกลับแสดงสีหน้ากดดันเป็นสัญญาณให้แม่นมหลี่ออกไปซะ  ฝ่ายแม่นมหลี่ให้อึดอัดใจยิ่งนัก  นางไม่กล้าปลีกตัวจากไป   ทว่าท่านชายผู้นี้มักเอาแต่ใจเป็นประจำ  การที่เขามายืนสนทนาอยู่กับเหลียนกูเหนียงตามลำพังด้วยกันแบบนี้จะเหมาะสมหรือมิหนำซ้ำหากทำให้นายหญิงน้อย น้องสาวของนายน้อยซู่มาเห็นเข้าขึ้นมา  จะยิ่งทำให้เรื่องเลวร้ายมากขึ้นไปอีกนายหญิงน้อยก็เป็นคนเอาแต่ใจตัวเองด้วย  หากเกิดสร้างปัญหาขึ้นมา  คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คงหนีไม่พ้นฮูหยินน้อยเป็นแน่
                  พอได้ยินเหลียนฟางโจวกล่าวขึ้นเช่นนั้น  แม่นมหลี่ให้รู้สึกขอบคุณยิ่ง  ไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไรออกมาดี   นางค้อมศีรษะ  สีหน้าพลันหายเกร็ง ใจชื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว  แม่นมหลี่เป็นฝ่ายล่าถอยห่างออกไปหลายก้าวจากจุดเดิม  แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหล่าหนูสามารถรอกูเหนียงได้กูเหนียงและท่านชาย เชิญเจ้าค่ะ!”
                  ชุยเฉ่าซีปรายตามองแม่นมหลี่อย่างไม่ใคร่พอใจนัก  ได้แต่กัดฟันกรอดๆ  ไม่เอ่ยอะไรออกมา
                  เหลียนฟางโจวที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมาสักพัก  ช้อนตาขึ้นมองชุยเฉ่าซี  เอ่ยด้วยเสียงนอบน้อม “ไม่ทราบว่าท่านชาย มีอะไรต้องการบอกกล่าวกับข้าเจ้าคะ?”
                  ชุยเฉ่าซีจับจ้องเหลียนฟางโจวซึ่งครานี้ไม่มีท่าทีเย็นชาให้เห็นแล้ว  ทว่ากลับนอบน้อมมากเสียจนดูห่างเหินอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เขารู้สึกว่านางกำลังจัดระดับให้ตัวเขาเองเป็นแค่คนแปลกหน้า มิหนำซ้ำคราที่เขาหยุดเรียกนาง  นางกลับมีสีหน้าไม่ใคร่พอใจนักเมื่อไดกันที่เขาถูกผู้อื่นตั้งแง่รังเกียจถึงเพียงนี้?
                  ชุยเฉ่าซีโกรธจนแทบคลั่ง  โทสะมากมายพวยพุ่งออกมาจนไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรดี!
                  เขาจับจ้องเหลียนฟางโจวสักครู่  จึงเอ่ยว่า “พวกเรารู้จักกันแล้วแน่ๆ  ไฉนเจ้าถึงไปบอกว่าไม่รู้จัก ต่อหน้าฮูหยินของเปี๋ยวเกอข้าเช่นนั้น?  หากนายน้อยซู่รู้เข้า  เหลียนกูเหนียงไม่กลัวจะขายหน้าหรือไร?”
                  เหลียนฟางโจวถึงกับอับจนถ้อยคำ  ได้แต่ครุ่นคิดในใจว่าท่านชายผู้นี้  ช่างหน้าบางและเย่อหยิ่งไปไหมเพราะเหตุแค่นี้   ถึงกับต้องมาถามเอากับเธอแบบเจาะจงเลยหรือ?
                  เมื่อเห็นประจักษ์เช่นนั้นแล้ว  เธอจึงพยายามอธิบายด้วยความนอบน้อมและใจเย็น “ท่านชาย  พวกเราไม่รู้จักกันจริงๆ   ทว่าเพียงแค่บังเอิญเจอกันบนถนนเท่านั้นท่านชายชุย สถานะของท่านสูงส่งนัก  ผู้หญิงบ้านนอกคอกนาธรรมดาเช่นข้า  ไหนเลยจะกล้าทำตัวตีสนิท  ด้วยเหตุผลนี้  แล้วจะให้ข้ารีบร้อนบอกว่ารู้จักท่านได้อย่างไร  หากข้าทำเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ  เกรงว่าจะทำให้ท่านชายชุยขายหน้าเสียมากกว่า!”
                  ชุยเฉ่าซีได้ยินคำอธิบายอย่างใจเย็น  ความโมโหพลุ่งพล่านที่อยู่ในใจพลันสลายหายไปกว่าครึ่ง  ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้  ความหมายของเจ้าก็คือไม่กล้าเป็นสหายกับข้าใช่หรือไม่ข้าหาได้เป็นคนเข้มงวดถือตัวไม่  พวกเราสกุลชุยไม่เคยเคิดว่าคนอื่นๆจะมีคุณธรรมด้อยกว่าในภายภาคหน้า เจ้าอย่าได้กล่าวเช่นนี้อีกนะ!”
                  เหลียนฟางโจวเพียงอยากรีบปลีกตัวไปจากเขาเร็วๆ  ซ้ำเมื่อเธอออกจากจวนสกุลซู่ไป ในภายหน้าต่างฝ่ายต่างก็ไม่จำเป็นต้องพบเจอกันอีกแล้ว  ครั้นแล้วจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้อยคำของท่านชายซี  ข้าน้อยจะจดจำไว้!”
                  ใบหน้าของชุยเฉ่าซีพลันคลี่คลายลงทันใด  ดวงตาดุจดาราเปล่งประกายสดใส  ใบหน้าอันหล่อเหลาขาวใสประดุจหยกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม  ดุจเมฆสีกุหลาบในยามสนธยาอันเจิดจ้า  ตัวแม่นมหลี่เองเห็นแล้ว  ยังอดหัวใจเต้นโลดออกมานอกตัวไม่ได้  ในใจบังเกิดความคิดว่าท่านชายชุยช่างหล่อเหลาบาดตาจริงๆ  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าน้องสาวนายน้อยซู่ถึงได้มีแต่สายตาไว้มองท่านชายเพียงผู้เดียว  ไม่สามารถมีตาไปมองใครอื่นได้อีก โอ!

                  เหลียนฟางโจวคิดว่าหน้าตาและรูปร่างอันเปล่งประกายขึ้นฉับพลันนั้น  ทำให้เธอรู้สึกตาพร่าไปชั่วขณะ  คล้ายกับมีดอกมู่ตานอันงดงามหลายพันดอกค่อยๆเบ่งบานขึ้นช้าๆจนเต็มไปหมดทุกหนทุกแห่งภายใต้แสงตะวันที่สาดส่องมา เธอจึงรีบหรุบสายตาไปทางอื่นโดยไม่รู้ตัว  ในใจมืดครึ้มลง  เห็นถึงลางร้ายมาเยือนลางๆ  ไม่รู้ว่าต่อไปภายหน้าจะมีสตรีใดที่โชคดีมีวาสนาได้ครองคู่กับเขา!
    -------------------------------------
 ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
ในที่สุดก็พอหาเวลามาอัพตอนต่อไปได้
อย่างที่บอกแล้วว่าพระรองของเราแกชัดเจนมาตั้งแต่แรก ไม่เหมือนแม่ทัพของเราที่รู้สึกตัวช้ามาก
แต่ผู้อ่านไม่ต้องกังวลไปนะคะ แกเป็นแม่ทัพตัวจริงค่ะ ไม่ใช่องค์รักษ์เงาปลอมตัวมา เพราะภายหลังพอพระเอกรู้ใจตนเองแล้ว  แบบว่าแกก็ชัดเจนจน นางเอกออกปากว่า หมาป่าห่มหนังแกะ อ่ะค่ะ ^-^

13 ความคิดเห็น:

  1. เราจะเลือกใครดีๆๆๆ อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคนน 5555

    ตอบลบ
  2. พระรองออร่ารุนแรงกระแทกสายตานางเอกจนตาพร่านึกว่านางเอกจะใจเต้นแรงแต่ขำอ่ะนางกับเห็นว่ามีลางร้ายมาเยือนโถทั้งหล่อทั้งรวยขนาดนี้แต่นางเอกเราไม่ชายตาแลเลย///ขอบคุณค่ะไรท์ทั้งที่เป็นวันหยุดยังใจดีมาอัพให้อ่าน

    ตอบลบ
  3. ผู้เข้าชิงตอนนี้มี2คนยังคิดยากลำบากใจ ถ้าต่อไปมีผู้ชายมาเพิ่มอีกคงแย่ ถึงจะเกาะเรือแม่ทัพมาแต่ต้น แม่ทัพก็ดันพายช้าสุด ถ้าไม่ได้ชื่อเรื่องช่วยไว้ คงไปกับเรือลำอื่นแล้ว
    ผู้เข้าชิงทั้งสองท่านเปรียบเหมือนกระต่ายกับเต่าน่าจะได้อยู่

    ตอบลบ
  4. พระรองออร่าแรงมาก มีส่งวิ้งมากระแทกใจซะด้วย
    ส่วนแม่ทัพเงาก็ยังจืดจางต่อไป เฮ้อ....ระวังสุ...เอ่อท่านชายจะคาบฟางโจวไปรับประทานซะก่อนนะ

    ตอบลบ
  5. อร๊ายยยย พ่อหมาป่าหนังแกะ อิอิ

    เขิน
    ขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ
  6. รู้สึกว่ามีกี่ตอนๆก็อ่านไม่พอ รู้สึกว่ามันน้อยมากกกกกกก เพราะเปิดอ่านรัวๆ

    ตอบลบ
  7. ท่านแม่ทัพหายไปไหนนนนนน

    ตอบลบ
  8. ท่านชายก็ดี
    แต่เชียร์ท่านแม่ทัพ ^ ^

    ตอบลบ
  9. พระรองช่างงานดีเสียเหลือเกิน อา...

    ตอบลบ
  10. ไม่ระบุชื่อ19 เมษายน 2560 เวลา 23:48

    ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  11. จะรอให้ถึงวันนั้นค่ะ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ

    ตอบลบ
  12. อยากเจอหมาป่าห่มหนังแกะะะะะะะ

    ตอบลบ