พอโดนฟางฉิงจ้องเขม็ง ซู่จิงเหอจึงรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะน่า ข้าจะไม่ยอมให้ซินเอ๋อล่วงรู้หรอก!”
ฟางฉิงจึงยิ้มออก
เหลียนฟางโจว
และเหลียนเซ่อเดินเคียงกันมาถึงห้องพักรับรองพร้อมกับแม่นมหลี่ แม่นมหลี่ยิ้มอย่างนอบน้อม “เหลียนกูเหนียง กับคุณชายเหลียนโปรดพักที่นี่ สำหรับคุณชายที่รออยู่ด้านนอก เหล่าหนู (บ่าวอาวุโส)จะให้แม่บ้านไปจัดห้องพักรับรองที่เรือนพักชั้นนอกให้!
เหลียนกูเหนียงโปรดวางใจเถิด!”
ที่นี่คือเรือนพักชั้นใน ตามปกติแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะให้อาเจี่ยนพักที่นี่ ส่วนเหลียนเซ่อนั้นยังเยาว์อยู่จึงพักได้ มิเช่นนั้นก็คงไม่อาจพักที่นี่ได้เช่นกัน โดยปกติเรือนชั้นนอกจะมีห้องพักรับรองแขกไว้สำหรับแขกผู้ชายโดยเฉพาะ
เหลียนฟางโจวจึงพยักหน้ายิ้มให้
“รบกวนท่านป้าแล้ว พวกเราขอไปแจ้งกับญาติห่างๆของเราได้หรือไม่?”
แม่นมหลี่นิ่งคิดสักครู่
แล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น!
โปรดตามเหล่าหนูมาเถิด!”
เมื่อคนทั้งสามออกมาจากเรือนชั้นใน พบว่าอาเจี่ยนยังคงนั่งสงบ
คอยทั้งสองอยู่ในโถงรับรอง ไม่มีสีหน้ากระวนกระวาย หรือไม่พอใจปรากฏให้เห็นเลย ครั้นชายหนุ่มเห็นคนทั้งสามจึงผุดลุกยืนขึ้น ส่งยิ้มให้
แล้วจึงเดินไปหาพวกเขา
เหลียนฟางโจวยิ้มบางๆให้เขา พลางพยักหน้านิดหนึ่ง เมื่อเห็นเช่นนั้น อาเจี่ยนพลันแอบรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ความรู้สึกของชายหนุ่มยามนี้ไม่ต่างจากหญิงสาวเลย
“วันนี้ เย็นมากแล้ว
คืนนี้พวกเราค้างที่นี่สักคืนหนึ่ง พอถึงรุ่งเช้าพรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับกัน!
หรือมิเช่นนั้น น้องรอง..เจ้าไปพักเป็นเพื่อนกับอาเจี่ยนเถิด!”
เหลียนฟางโจวพลันรู้สึกว่านางไม่คุ้นนัก ที่ปล่อยให้อาเจี่ยนพักอยู่ที่เรือนชั้นนอกคนเดียว หากพูดกันตามจริง คราที่โดนคนขับรถม้าโกงอย่างน่าละอาย หากยามนั้นไม่มีอาเจี่ยนอยู่ด้วยแล้ว สองคนพี่น้องคงต้องยอมให้ถูกเขาเอาเปรียบและต้องกล้ำกลืนกับสายตาดูหมิ่นดูแคลนเป็นแน่!
เหลียนฟางโจวไม่ได้ฉุกคิดเลยว่า ครอบครัวของเธอได้ยอมรับอาเจี่ยนเป็นดังเสาหลักที่พึ่งของบ้านไปโดยไม่รู้ตัวแล้ว
“อืม! ข้าก็อยากบอกพี่ใหญ่เช่นนั้นเหมือนกัน!”
เหลียนเซ่อพยักหน้าแย้มยิ้ม
เหลียนฟางโจวจึงมองมาที่แม่นมหลี่เพื่อขออนุญาติ
เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆ ไม่เกินความรับผิดชอบและดุลยพินิจของแม่นมหลี่ ครั้นแล้วนางจึงพยักหน้าอนุญาติและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ทำเช่นนี้ก็ดี! เช่นนั้นกูเหนียงไปกับเหล่าหนูก่อน พอส่งเหลียนกูเหนียงเข้าที่พักแล้ว! อีกสักครู่เหล่าหนูจะให้แม่บ้านไปเตรียมการให้”
เหลียนฟางโจวตอบรับ พลางเอ่ยอำลากับอาเจี่ยนและเหลียนเซ่อ
เพื่อตามแม่นมหลี่ไปห้องพัก
ตลอดทางที่เดินไป แม่นมหลี่คอยชี้ชวนให้ดูสถานต่างๆที่เดินผ่าน
และอธิบายให้เหลียนฟางโจวฟัง เหลียนฟางโจวที่เดินเคียงข้าง ก็คอยมองตามที่นางบอกด้วยสีหน้ารื่นรมย์ มีรอยยิ้มแต่งแต้มเป็นระยะๆ
แม่นมหลี่นึกในใจว่าหญิงสาวผู้นี้ช่างอ่อนน้อมนัก
ทั้งยังไม่ได้ถามซอกแซกหรือละลาบละล้วงถึงเรื่องนายน้อยซู่หรือฮูหยินน้อยเลย
นางจึงนึกแอบชื่นชมเหลียนฟางโจวอยู่ในใจเงียบๆ เหลียนกูเหนียงผู้ที่เป็นเครือญาติกับเจ้านายของนางคนนี้
ถึงจะยังเยาว์ ทว่ากลับมีความระมัดระวัง ดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว!
เผลอๆอาจมีความเข้มแข็งกว่าฮูหยินน้อยสกุลซู่นัก โอ้ สวรรค์!
คิดถึงฮูหยินน้อย
ที่มีบิดาไม่เอาไหน และมารดาเลี้ยงที่เหี้ยมโหด
ถึงขนาดอยากให้นายหญิงน้อยตาย พอคิดขึ้นมา
ทำให้จิตใจของแม่นมหลี่พลันเต็มไปด้วยความรู้สึกชิงชัง เคราะห์ดี ที่นายหญิงน้อยได้แต่งงานออกไป หากยังอยู่ที่นั่นไม่รู้ว่าจะประสบเคราะห์กรรมเช่นไร!
“นี่!” ขณะที่แม่นมหลี่และเหลียนฟางโจวกำลังสนทนากันอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น
พลันมีบุคคลผู้หนึ่งโผล่เข้ามายืนขวาง ทางด้านซ้ายและเรียกพวกนางไว้ เมื่อแม่นมหลี่เพ่งตา มองชัดๆ พลันเห็นเพียงชุยเฉ่าซียืนเด่นเป็นสง่า ประสานมือไขว้ไว้ด้านหลัง
“ท่านชาย!” แม่นมหลี่รีบย่อตัวคำนับแทบไม่ทัน
ท่านชายผู้นี้เป็นแขกผู้ทรงเกียรติของสกุลซู่ มารดาเขาคือน้องสาวแท้ๆของนายท่านซู่ ส่วนท่านย่าคือเจ้าหญิงหย่งเหอ
ซึ่งเป็นพระขนิษฐาที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนโปรดปรานที่สุด
ทว่าสกุลชุยของพวกเขาได้เร้นตัวจากสังคมมาพำนักในเมืองเต๋อซิง นับเป็นสกุลที่มีชื่อเสียงโดดเด่นที่อยู่ท่ามกลางชนชั้นระดับสูงที่สุด
หลายปีที่ผ่านมา ผู้สืบเชื้อสายของสกุลนี้ต่างทำงานเป็นขุนนางรับใช้ราชสำนักพร้อมๆกันไม่ต่ำกว่า
17 คน
ทุกคนล้วนเป็นผู้เก่งกาจและซื่อสัตย์ทั้งสิ้น โดยเฉพาะท่านปู่ของเขาถือเป็นบุคคลากรชั้นเยี่ยมที่สุดของสกุลนี้ คือเฟิงเหวินหัว,บัณฑิตราชสำนัก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยกินตำแหน่งเจ้ากรมพิธีการ
ต่อมาภายหลังฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงสวรรคต
เจ้าหญิงหย่งเหอและพระสวามีจึงปรึกษากัน ภายหลังตัดสินใจถอนตัวออกขณะที่กำลังอยู่ในช่วงที่รุ่งเรืองเฟื่องฟู หลังจากลาออกจากการตำแหน่งขุนนางในราชสำนักแล้ว ได้กลับไปพำนักที่เมืองเต๋อซิงบ้านเกิด สายเลือดรุ่นหลังๆก็ทำงานอยู่นอกราชสำนัก ไม่แสวงหาความหรูหราฟุ้งเฟ้อเกินไป ค่อยๆถอนตัวกลับคืนสู่สามัญอย่างช้าๆ
หลายปีมานี้
นับวันความสัมพันธ์ทางพระญาติกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และเชื้อพระวงศ์ยิ่งเริ่มห่างไกลจืดจางกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าด้วยคุณงามความดีของสกุลนี้ ฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อองค์ปัจจุบันยังคงระลึกถึงอยู่เสมอ ทุกๆปีจะทรงพระราชทานของขวัญมากมายแก่เจ้าหญิงหย่งเหอ ของขวัญที่ได้รับพระราชทานในแต่ละปีมีมากมายนัก
ได้แก่ ที่นาอันอุดมสมบูรณ์กว่าครึ่งในเมืองเต๋อเซียง ซึ่งล้วนเป็นของสกุลชุย ทั้งยังธุรกิจร้านค้าที่มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ทำให้แถบตะวันตกเฉียงใต้พลอยมีชื่อเสียงตามไปด้วย
แม้ว่าในใจของเหลียนฟางโจวปรารถนาให้ตนเอง
อยู่ห่างๆให้ไกลจากท่านชายผู้นี้มากเพียงใด
ทว่าพออยู่ต่อหน้าแม่นมหลี่ เธอจึงทำได้เพียงแต่ย่อตัวคำนับให้เกียรติตามแม่นมหลี่ไปด้วย
ชุยเฉ่าซีสะบัดมือไล่แม่นมหลี่
แล้วเอ่ยขึ้น “ข้ามีเรื่องหลายเรื่องจะบอกกล่าวเหลียนกูเหนียง!”
เหลียนฟางโจวรู้สึกเหมือนตนเองได้ยินเสียงสัญญาณระวังภัยร้องเตือน เธอกลัวว่าแม่นมหลี่จะปลีกตัวออกไปแล้วทิ้งเธอให้อยู่เผชิญหน้ากับบุรุษสูงส่งผู้นี้ตามลำพัง จึงรีบเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม “หากเป็นเช่นนั้น ท่านป้าโปรดรอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน!”
ทว่าชุยเฉ่าซีกลับแสดงสีหน้ากดดันเป็นสัญญาณให้แม่นมหลี่ออกไปซะ ฝ่ายแม่นมหลี่ให้อึดอัดใจยิ่งนัก นางไม่กล้าปลีกตัวจากไป ทว่าท่านชายผู้นี้มักเอาแต่ใจเป็นประจำ การที่เขามายืนสนทนาอยู่กับเหลียนกูเหนียงตามลำพังด้วยกันแบบนี้จะเหมาะสมหรือ? มิหนำซ้ำหากทำให้นายหญิงน้อย
น้องสาวของนายน้อยซู่มาเห็นเข้าขึ้นมา จะยิ่งทำให้เรื่องเลวร้ายมากขึ้นไปอีก! นายหญิงน้อยก็เป็นคนเอาแต่ใจตัวเองด้วย หากเกิดสร้างปัญหาขึ้นมา คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
คงหนีไม่พ้นฮูหยินน้อยเป็นแน่
พอได้ยินเหลียนฟางโจวกล่าวขึ้นเช่นนั้น แม่นมหลี่ให้รู้สึกขอบคุณยิ่ง ไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไรออกมาดี นางค้อมศีรษะ
สีหน้าพลันหายเกร็ง ใจชื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แม่นมหลี่เป็นฝ่ายล่าถอยห่างออกไปหลายก้าวจากจุดเดิม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหล่าหนูสามารถรอกูเหนียงได้!
กูเหนียงและท่านชาย เชิญเจ้าค่ะ!”
ชุยเฉ่าซีปรายตามองแม่นมหลี่อย่างไม่ใคร่พอใจนัก ได้แต่กัดฟันกรอดๆ ไม่เอ่ยอะไรออกมา
เหลียนฟางโจวที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมาสักพัก ช้อนตาขึ้นมองชุยเฉ่าซี เอ่ยด้วยเสียงนอบน้อม “ไม่ทราบว่าท่านชาย มีอะไรต้องการบอกกล่าวกับข้าเจ้าคะ?”
ชุยเฉ่าซีจับจ้องเหลียนฟางโจวซึ่งครานี้ไม่มีท่าทีเย็นชาให้เห็นแล้ว ทว่ากลับนอบน้อมมากเสียจนดูห่างเหินอย่างเห็นได้ชัด
ทำให้เขารู้สึกว่านางกำลังจัดระดับให้ตัวเขาเองเป็นแค่คนแปลกหน้า
มิหนำซ้ำคราที่เขาหยุดเรียกนาง นางกลับมีสีหน้าไม่ใคร่พอใจนัก! เมื่อไดกันที่เขาถูกผู้อื่นตั้งแง่รังเกียจถึงเพียงนี้?
ชุยเฉ่าซีโกรธจนแทบคลั่ง โทสะมากมายพวยพุ่งออกมาจนไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรดี!
เขาจับจ้องเหลียนฟางโจวสักครู่ จึงเอ่ยว่า “พวกเรารู้จักกันแล้วแน่ๆ ไฉนเจ้าถึงไปบอกว่าไม่รู้จัก ต่อหน้าฮูหยินของเปี๋ยวเกอข้าเช่นนั้น?
หากนายน้อยซู่รู้เข้า เหลียนกูเหนียงไม่กลัวจะขายหน้าหรือไร?”
เหลียนฟางโจวถึงกับอับจนถ้อยคำ ได้แต่ครุ่นคิดในใจว่าท่านชายผู้นี้ ช่างหน้าบางและเย่อหยิ่งไปไหม? เพราะเหตุแค่นี้ ถึงกับต้องมาถามเอากับเธอแบบเจาะจงเลยหรือ?
เมื่อเห็นประจักษ์เช่นนั้นแล้ว เธอจึงพยายามอธิบายด้วยความนอบน้อมและใจเย็น
“ท่านชาย พวกเราไม่รู้จักกันจริงๆ ทว่าเพียงแค่บังเอิญเจอกันบนถนนเท่านั้น! ท่านชายชุย
สถานะของท่านสูงส่งนัก ผู้หญิงบ้านนอกคอกนาธรรมดาเช่นข้า ไหนเลยจะกล้าทำตัวตีสนิท ด้วยเหตุผลนี้ แล้วจะให้ข้ารีบร้อนบอกว่ารู้จักท่านได้อย่างไร หากข้าทำเช่นนั้นขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าจะทำให้ท่านชายชุยขายหน้าเสียมากกว่า!”
ชุยเฉ่าซีได้ยินคำอธิบายอย่างใจเย็น
ความโมโหพลุ่งพล่านที่อยู่ในใจพลันสลายหายไปกว่าครึ่ง ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ ความหมายของเจ้าก็คือไม่กล้าเป็นสหายกับข้าใช่หรือไม่? ข้าหาได้เป็นคนเข้มงวดถือตัวไม่ พวกเราสกุลชุยไม่เคยเคิดว่าคนอื่นๆจะมีคุณธรรมด้อยกว่า! ในภายภาคหน้า เจ้าอย่าได้กล่าวเช่นนี้อีกนะ!”
เหลียนฟางโจวเพียงอยากรีบปลีกตัวไปจากเขาเร็วๆ ซ้ำเมื่อเธอออกจากจวนสกุลซู่ไป ในภายหน้าต่างฝ่ายต่างก็ไม่จำเป็นต้องพบเจอกันอีกแล้ว ครั้นแล้วจึงพยักหน้าเอ่ยว่า
“ถ้อยคำของท่านชายซี ข้าน้อยจะจดจำไว้!”
ใบหน้าของชุยเฉ่าซีพลันคลี่คลายลงทันใด
ดวงตาดุจดาราเปล่งประกายสดใส ใบหน้าอันหล่อเหลาขาวใสประดุจหยกแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม ดุจเมฆสีกุหลาบในยามสนธยาอันเจิดจ้า ตัวแม่นมหลี่เองเห็นแล้ว ยังอดหัวใจเต้นโลดออกมานอกตัวไม่ได้ ในใจบังเกิดความคิดว่าท่านชายชุยช่างหล่อเหลาบาดตาจริงๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าน้องสาวนายน้อยซู่ถึงได้มีแต่สายตาไว้มองท่านชายเพียงผู้เดียว
ไม่สามารถมีตาไปมองใครอื่นได้อีก โอ!
เหลียนฟางโจวคิดว่าหน้าตาและรูปร่างอันเปล่งประกายขึ้นฉับพลันนั้น ทำให้เธอรู้สึกตาพร่าไปชั่วขณะ คล้ายกับมีดอกมู่ตานอันงดงามหลายพันดอกค่อยๆเบ่งบานขึ้นช้าๆจนเต็มไปหมดทุกหนทุกแห่งภายใต้แสงตะวันที่สาดส่องมา เธอจึงรีบหรุบสายตาไปทางอื่นโดยไม่รู้ตัว ในใจมืดครึ้มลง เห็นถึงลางร้ายมาเยือนลางๆ ไม่รู้ว่าต่อไปภายหน้าจะมีสตรีใดที่โชคดีมีวาสนาได้ครองคู่กับเขา!
-------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
ในที่สุดก็พอหาเวลามาอัพตอนต่อไปได้
อย่างที่บอกแล้วว่าพระรองของเราแกชัดเจนมาตั้งแต่แรก ไม่เหมือนแม่ทัพของเราที่รู้สึกตัวช้ามาก
แต่ผู้อ่านไม่ต้องกังวลไปนะคะ แกเป็นแม่ทัพตัวจริงค่ะ ไม่ใช่องค์รักษ์เงาปลอมตัวมา เพราะภายหลังพอพระเอกรู้ใจตนเองแล้ว แบบว่าแกก็ชัดเจนจน นางเอกออกปากว่า หมาป่าห่มหนังแกะ อ่ะค่ะ ^-^
เราจะเลือกใครดีๆๆๆ อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคนน 5555
ตอบลบรอวันนั้นมาถึง
ตอบลบพระรองออร่ารุนแรงกระแทกสายตานางเอกจนตาพร่านึกว่านางเอกจะใจเต้นแรงแต่ขำอ่ะนางกับเห็นว่ามีลางร้ายมาเยือนโถทั้งหล่อทั้งรวยขนาดนี้แต่นางเอกเราไม่ชายตาแลเลย///ขอบคุณค่ะไรท์ทั้งที่เป็นวันหยุดยังใจดีมาอัพให้อ่าน
ตอบลบผู้เข้าชิงตอนนี้มี2คนยังคิดยากลำบากใจ ถ้าต่อไปมีผู้ชายมาเพิ่มอีกคงแย่ ถึงจะเกาะเรือแม่ทัพมาแต่ต้น แม่ทัพก็ดันพายช้าสุด ถ้าไม่ได้ชื่อเรื่องช่วยไว้ คงไปกับเรือลำอื่นแล้ว
ตอบลบผู้เข้าชิงทั้งสองท่านเปรียบเหมือนกระต่ายกับเต่าน่าจะได้อยู่
พระรองออร่าแรงมาก มีส่งวิ้งมากระแทกใจซะด้วย
ตอบลบส่วนแม่ทัพเงาก็ยังจืดจางต่อไป เฮ้อ....ระวังสุ...เอ่อท่านชายจะคาบฟางโจวไปรับประทานซะก่อนนะ
อร๊ายยยย พ่อหมาป่าหนังแกะ อิอิ
ตอบลบเขิน
ขอบคุณมากค่ะ
รู้สึกว่ามีกี่ตอนๆก็อ่านไม่พอ รู้สึกว่ามันน้อยมากกกกกกก เพราะเปิดอ่านรัวๆ
ตอบลบท่านแม่ทัพหายไปไหนนนนนน
ตอบลบท่านชายก็ดี
ตอบลบแต่เชียร์ท่านแม่ทัพ ^ ^
พระรองช่างงานดีเสียเหลือเกิน อา...
ตอบลบขอบคุณครับ
ตอบลบจะรอให้ถึงวันนั้นค่ะ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ
ตอบลบอยากเจอหมาป่าห่มหนังแกะะะะะะะ
ตอบลบ