วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 80 งิ้วที่หอหมิงเย่ว(2)

                วันนี้ในใจชุยเฉ่าซีเคืองซู่ซินเอ๋อมากจริงๆ  เด็กสาวผู้นี้ชอบก่อแต่ปัญหา  ไม่เคยสนใจกาละเทศะ  พูดจาออกมาแต่ละทีคล้ายคนไม่มีสมอง
                  ขณะที่ฟางฉิงและสามี กำลังสนทนาอย่างชื่นมื่นกับ  เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนอยุ่นั้น   นางเหลือบไปเห็นซู่ซินเอ๋อ   ฟางฉิงจึงหยิกขาซู่จิงเหอที่ใต้โต๊ะเบาๆ  ส่งสายตาเป็นนัยไปไห้เขา
                  ครั้นแล้วซู่งจิงเหอถึงได้สังเกตุเห็นว่าซู่ซินเอ๋อกำลังทำอะไรอยู่  ใบหน้าเขาพลันเห่อร้อน  ถอนหายใจเฮือกในใจ   วางหน้าแทบไม่ถูก  น้องสาวคนนี้ช่างทำแต่เรื่องขายหน้าให้เขาเสียจริง!

                  ถึงแม้ว่าแต่ก่อนเขาก็เคยมีช่วงเวลาที่ทำตัวไร้แก่นสารไปบ้าง  แต่ครานี้เขาอยากทึกทักกับตนเองจริงๆว่า  เด็กสาวผู้นี้ไม่ใช่น้องสาวของเขา
                  “ซินเอ๋อ..มานี่  มานั่งข้างพี่สะใภ้เสียดีๆ!   วันนี้เจ้าไม่ได้เป็นเจ้ามือนะ   มาทำตัวมั่วซั่วได้อย่างไร!”  ซู่จิงเหอจ้องหน้าซู่ซินเอ๋อเขม็ง
                  เป็นอีกครั้งที่พวกของเหลียนฟางโจว แสร้งทำเป็นไม่เห็นและไม่ได้ยิน
                  คนทั้งสามบังเกิดความคิดเหมือนกัน นั่นคือ  หากรู้แต่เนิ่นๆว่าการมากินมื้อค่ำครั้งนี้จะมีสภาพเช่นนี้  พวกเขาคงต้องหาข้ออ้างทุกทาง เพื่อไม่มาร่วมงานด้วยแล้ว
                  “ซินเอ๋อ มานี่เร็วเข้าที่ตรงนี้  ข้าเตรียมเผื่อเอาไว้ให้เจ้านั่งแล้ว!”  ฟางฉิงกวักมือเรียกน้องสาวของสามี
                  ซู่ซินเอ๋อเบะปากออกมา   เมื่อมองไปยังตำแหน่งที่นั่ง  ที่อยู่ข้างๆเหลียนฟางโจว  และยามนี้นางไม่มีทางเลือกอื่นที่จะบอกปฏิเสธ
                  ครานี้มีเพียงที่นั่งสองที่ที่ยังว่างอยู่  หากนางนั่งตรงนั้น  เปี๋ยวเกอนางจะได้นั่งคั่นระหว่างเหลียนฟางโจวและพี่สะใภ้  เรื่องนี้นางยอมรับไม่ได้แน่นอน
                  ทว่าพอเห็นอาเจี่ยนนั่งข้างเหลียนฟางโจวอยู่อีกด้านหนึ่ง  ซู่ซินเอ๋อจึงเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาในที่สุด
                  ฝ่ายชุยเฉ่าซีเรียกเสี่ยวเอ่อให้มาหาเพื่อสั่งความอีก 2-3 ประโยค แล้วจึงนั่งลง
                  ยามนี้อาหารเพิ่งทำเสร็จไปได้ครึ่งหนึ่ง  ดูเหมือนว่าต้องรอไปอีกสักพัก   ทุกคนในห้องจึงพากันพูดคุยเรื่องสัพเพเหระเผื่อฆ่าเวลาไปพลางๆ
                  ซู่ซินเอ๋อจู่ๆก็ยิ้มให้เหลียนฟางโจวขึ้นทันใด พลางถามขึ้น “เหลียนกูเหนียง..ท่านได้หมั้นหมายกับผู้ใดบ้างหรือยังหรือจะเป็นอาเจี่ยนท่านนี้  ที่เป็นคู่หมั้นกับเหลียงกูเหนียงใช่หรือไม่พวกท่านทั้งสองช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันยิ่งนัก!” 
                  ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึงอย่างพร้อมเพียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย  ห้องรับรองส่วนตัวพลันเงียบกริบราวกับป่าช้า
                  สีหน้าซู่จิงเหอยามนี้ช่างน่าเกลียดนัก  น้องสาวเขาเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน  และยังหาได้เป็นเป็นคู่หมายของใครไม่   ทว่ากลับถามคำถามทำนองนี้ออกมาต่อหน้าผู้คนมากมาย!
                  ฝ่ายเหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนพลันหันมาสบตากันโดยไม่รู้ตัว  ทั้งสองต่างค่อนข้างเก้อกระดาก  ไม่มีใครคาดคิดว่าซู่ซินเอ๋อจะถามออกมาเช่นนั้น
                  นางถามแม่นางเหลียนเช่นนั้นเพื่อให้นางตอบหรือ?
                  สีหน้าชุยเฉ่าซีมืดครึ้มดำทะมึนไปแล้ว  เป็นสีหน้าอันไม่น่าดูไม่ต่างไปจากเหลียนเซ่อ  ซึ่งตอนนี้อยากจะพูดอะไรสักประโยคออกมา  ทว่ากลับถูกเหลียนฟางโจวส่งสายตาให้หยุด   เลยต้องหันไปมองหน้าฟางฉิงแทน
                  “ก็อย่างที่พี่สะใภ้เพิ่งบอกไปว่าเจ้าช่างเป็นคนเถรตรงนัก  เวลาเจ้าเปิดปากทีไร  เหมือนอยากให้ใครๆเป็นอย่างที่คิดทุกที ฮ่าฮ่าฮ่า!”  ว่าแล้วฟางฉิงก็หัวเราะเริงร่าออกมา  ซ้ำยังหันมาหยิกแก้มซู่ซินเอ๋อด้วยความเอ็นดูอีกด้วย  สีหน้าเหมือนรักใคร่เอ็นดูกับมุกตลกของน้องสามีเสียเต็มประดา  แล้วรีบพยายามกลบกลื่อนเปลี่ยนเรื่องพูดไปเสีย
                  ทว่าซู่ซินเอ๋อหาได้ประทับใจกับความรักใคร่เอ็นดูที่พี่สะใภ้มีให้เลย  ใบหน้างดงามบูดบึ้งร้องเสียงดัง “พี่สะใภ้!”  พร้อมกับหลบเลี่ยงใบหน้าจากมือของพี่สะใภ้คนดี  ดวงตาของซู่ซินเอ๋อจ้องหน้าเหลียนฟางโจวเขม็ง  พยายามถามแบบจิกกัดไม่ปล่อย “แม่นางเหลียน  ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลยนะ!”
                  นี่นางต้องการให้เธออับอายขายหน้าต่อหน้าธารกำนัลให้ได้เลยใช่ไหม?
                  แม้พื้นอารมณ์ของเหลียนฟางโจวโดยรวมยังดีอยู่  ทว่าก็เริ่มโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว  ไม่เคยมีผู้ใดอบรมสั่งสอนเรื่องจรรยามรรยาทของผู้ดีกับนายหญิงน้อยผู้นี้เลยหรือไร?
                  เหลียนฟางโจวกำลังจะอ้าปากโต้นางกลับแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นอยู่แล้ว   ทว่าอาเจี่ยนกลับแย้มยิ้มแล้วเอ่ยออกมาทันใด  “คุณหนูซู่ช่างตาถึงยิ่งนักพูดได้เก่งจริงๆ!” 
                  อาเจี่ยนกล่าวออกมาได้สุภาพมาก  สุภาพให้ความรู้สึกจริงใจ  ทำให้ใครต่อใครได้ฟังแล้วไม่สามารถออกปากคัดค้านได้เลยแม้แต่นิด  ทว่าคำพูดสองประโยคนั้นฟังแล้วชวนให้คิดมากจริงๆ
                  ไม่ว่าซู่ซินเอ๋อจะเชื่อคำพูดเหล่านี้จริงๆหรือไม่   แต่ก็ทำให้สีหน้าของนางมีวี่แววแห่งความพึงพอใจปรากฏออกมาทันที   นางจึงเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้ม “เป็นเรื่องจริงรึนี่ขอแสดงความยินดีกับท่านทั้งสองด้วยนะ!  ไม่รู้ว่าพวกท่านทั้งสองจะแต่งงานกันเมื่อใดเมื่อถึงเวลานั้น  พวกท่านอย่าได้ลืมส่งเทียบเชิญมาให้เราด้วยนะ  ข้าต้องส่งของขวัญชิ้นให้ไปให้พวกท่านอย่างแน่นอนบอกมาในเทียบเชิญว่าเป็นญาติของพี่สะใภ้ข้าก็ได้!”
                  “ขอบคุณมาก คุณหนูซู่”  อาเจี่ยนหัวเราะเบาๆ
                  พอดีกับที่เสี่ยวเอ้อได้ยกถาดอาหารผลักประตูเข้ามา  ในถาดมีชามใหญ่ยักษ์ของฟักเขียวตุ๋นเนื้อเต่า  เสี่ยวเอ้อค้อมคำนับพร้อมกับอธิบายด้วยรอยยิ้ม “จานนี้เป็นอาหารขึ้นชื่อของร้าน  เชิญนายท่านขอรับ!”

                  ซู่จิงเหอและฟางฉิงรีบส่งเสียงเชื้อเชิญให้ทุกคนลิ้มลองอาหารจานเด็ดด้วยรอยยิ้ม  พร้อมๆกับส่งสายตาขอโทษเหลียนฟางโจว และอาเจี่ยนหลายต่อหลายครา
                  ส่วนซู่ซินเอ๋อรู้สึกคลายความกังวลลงได้เป็นปลิดทิ้ง   แล้วจึงหันไปส่งสายตาหวานเชื่อมพร้อมรอยยิ้มให้ชุยเฉ่าซี   ฝ่ายชุยเฉ่าซีกลับหลุบตาลงต่ำไม่ยอมสบสายตานางแม้สักนิด
                  แม้ว่าซู๋ซินเอ๋อให้รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง  ทว่านางก็หาคำแก้ตัวให้ชุยเฉ่าซีได้ในทันใด  เปี๋ยวเกอคงจะเก้อเขินแทนคนทั้งสองอยู่แน่เลยถึงได้คอยเอาใจใส่ให้เกียรติญาติวงนอกยิ่งนัก!
                  เมื่อเห็นซู่ซินเอ๋อหยุดพฤติกรรมอันน่ากระอักกระอ่วนใจไปแล้ว  ทุกคนจึงพากันโล่งอกขึ้นมาเฮือกใหญ่  ชุยเฉ่าซี  ซู่จิงเหอ  ฟางฉิงต่างพูดคุยอย่างเกรงอกเกรงใจและเป็นกันเองกับพวกเหลียนฟางโจวมากเป็นพิเศษ   และแล้วบรรยกาศก็เริ่มครึกครื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
                  ทว่าชุยเฉ่าซีราวกับถูกชะตากับอาเจี่ยนมาก  คอยเชื้อเชิญให้อาเจี่ยนดื่มสุราอวยพรไม่หยุด  ฝ่ายอาเจี่ยนก็ใจดีนัก น้อมรับคำเชิญโดยไม่เกี่ยงงอน  ทั้งสองต่างผลัดกันดื่มอวยพรให้กันไปเรื่อยๆ
                  คนทั้งหลายเริ่มเห็นว่าชักจะไม่ค่อยเหมาะสมแล้ว  เหลียนฟางโจวเองยังอดเตือนอาเจี่ยนไม่ได้  “ท่านอย่าดื่มมากนัก  พรุ่งนี้พวกเราต้องรีบออกเดินทางแต่เช้านะ!”
                  ชุยเฉ่าซีได้ยินถ้อยคำนั้น พลันให้รู้สึกหม่นหมองอยู่ในใจ   เห็นๆกันอยู่ว่ามีคนดื่มสุราอยู่สองคน   ไฉนนางจึงเพียงเตือนเฉพาะอาเจี่ยนเท่านั้น  เห็นได้ชัดว่านางจงใจไม่แยแสเขา เขามันเป็นคนน่ารำคาญมากนักหรือไร?
                  ชุยเฉ่าซีรู้สึกอึดอัดคับข้องใจกับเหลียนฟางโจวถึงขีดสุด  เหลียนฟางโจวนางจะรู้บ้างไหมว่ามีเพียงคนบ้าเท่านั้นที่บังอาจกล้ามายั่วยุอารมณ์เขา
                  “เจ้ากลัวอะไรนักหนา..ฮะ!”  ชุยเฉ่าซีเอามือทุบโต๊ะเปรี้ยง  ยืนส่ายไปส่ายมาพลางหัวเราะไปพลาง  มือหนึ่งถือจอกเหล้า  อีกมือถือกาสุรา  จ้องหน้าอาเจี่ยนที่กำลังจ้องหน้าเขากลับเหมือนกัน  ปากก็พร่ำออกมาว่า “มา...เรา...มาดื่มกันต่อเถิด!  ไม่เมา...ไม่เลิก !”
                  “เปี๋ยวเกอ  ท่านอย่าดื่มอีกเลยนะท่านเมาแล้ว!”  ซู่ซินเอ๋อเอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วง ขณะที่พยายามยื้อยุดฉุดชุยเฉ่าซีอยู่ข้างหลัง
                  “หยุดเลย!”  ชุยเฉ่าซีจ้องหญิงสาว  “ยืนเฉยๆอยู่ตรงนั้น  อย่าได้ขยับเป็นอันขาด!”
                  “ท่านสัญญากับข้าว่าจะไม่ดื่มหากเมาขึ้นมา  ท่านจะไม่สบายเอานะ!  จะปวดหัวด้วย!” ซู่ซินเอ๋อเม้มริมฝีปากแน่น
                  แม้แต่เหลียนฟางโจว มองดูแล้วก็คิดว่าต้องมีปัญหาแน่  ในเมื่อผ่านไปตั้งนานแล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดดื่ม   อาศัยว่าเธอเป็นแขก จึงเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็เห็นด้วยเหมือนกัน  น่าจะกลับได้แล้วนะ?”
                  ซู่จิงเหอและฟางฉิงราวกับคอยคำพูดนี้อยู่แล้ว  จึงรีบทำตัวเป็นลูกคู่เอ่ยตอบรับออกมาทันใด  ซู่จิงเหอเรียกเสี่ยวเอ้อให้ไปบอกบ่าวรับใช้มาหา  บ่าวเกือบทั้งหมดคอยพยุงชุยเฉ่าซีให้เดินลงบันไดอย่างทุลักทุเลเต็มที
                  โดยมีซู่ซินเอ๋อเดินรั้งท้ายอยู่ข้างหลังชายหนุ่ม  คอยกำกับบ่าวชาย “ระวังหน่อย!”  “มองทางด้วย!”
                  “ตอนนี้ก็ค่ำแล้ว เชิญพวกเจ้าไปพักผ่อนกันให้หายเหนื่อย  พรุ่งนี้ข้าจะจัดเตรียมข้าวของให้เรียบร้อย  เงิน 10,000 ตำลึงนั่น  ข้าได้เตรียมไว้แล้ว  ซึ่งรวมไปถึงรถม้าด้วย ฟางฉิงบอกเหลียนฟางโจวด้วยรอยยิ้ม
                  “ข้าขอขอบคุณเปี๋ยวเจี๋ยมากเงินก้อนนี้ข้าจะนำคืนให้เปี๋ยวเจี๋ยตามกำหนดแน่ตอน!”  เหลียนฟางโจวรู้สึกซาบซึ้งใจนัก
                  “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องคิดมากวุ่นวายไปนัก  ข้าเชื่อคำพูดเจ้าเมื่อก่อนท่านป้าดีต่อข้ายิ่งนัก  เหมือนดังพี่ดังน้องกับท่านแม่ข้า  เช่นนั้น..พวกเราจึงสมควรเจริญรอยตามพวกท่านนะในภายภาคหน้านี้  ไม่ว่ามีเรื่องอันใด  เจ้ามาหาข้าได้เสมอ!” ฟางฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
                        “เช่นนั้นข้าขอขอบคุณเปี๋ยวเจี๋ยล่วงหน้าแล้ว!”  เหลียนฟางโจวรู้สึกสำนึกบุญคุณญาติผู้นี้ยิ่งนัก
                        “เป็นญาติกันอย่าได้เกรงใจไปเลย!”  หญิงสาวทั้งสองต่างยิ้มแย้มให้กัน
                        ทั้งสองคนต่างพูดกันอย่างชื่นมื่นไปตลอดทาง  โดยไม่ชวนซู่ซินเอ๋อคุยเลยแม้สักครึ่งคำ
                        รถม้าโดยสารมีสองคัน  เหลียนฟางโจว แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องนั่งรถไปคันเดียวกับนายน้อยซู่  ฮูหยินน้อยซู่ และซู่ซินเอ๋อ เพื่อเข้าที่พักไปด้วยกัน   ส่วนชุยเฉ่าซีนั้นมีเรือนพักส่วนตัวของตนเองในบริเวณหน้าสวนหย่อม   สำหรับเหลียนเซ่อและอาเจี่ยนย่อมตรงไปพักที่เรือนพักรับรองที่อยู่ในเรือนชั้นนอกตามกฏของจวนด้วยกัน

                        เหลียนฟางโจวเดินมาส่ง เหลียนเซ่อและอาเจี่ยน กลับเข้าที่พัก  หญิงสาวยิ้มให้อาเจี่ยน กล่าวเสียงเบาว่า “คืนนี้  ขอบคุณท่านมากจริงๆที่ช่วยแก้ไขเรื่องราวไม่ให้บานปลาย!”
       --------------------------------------------------------------------------
      ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ
     มีเสียงบ่นมาว่าพระเอกบทน้อย  ก็เฉพาะช่วงแรกค่ะ หลังกับไปที่หมู่บ้านแล้ว ก็จะมีบทบาทมากขึ้น เพราะต้องช่วยนางเอกทำมาหากิน ทั้งยังได้แสดงฝีมือพะบู๊ให้เป็นที่ประจักษ์ด้วย  ส่วนบทพระรองก็จะหายไปพักใหญ่เลยค่ะ
    ในเรื่องนี้ พระรองน่าสงสารที่สุดค่ะ  ฮีรอคอยแต่นางเอก  กะว่านางเอกกับพระเอกเลิกกันเมื่อไร แกจะรอเสียบ แต่รอจนลูกนางเอกโตก็ยังไม่มีทีท่าเลิกกันสักที ....ขอสปอยแค่นี้นะคะพอหอมปากหอมคอ (ขอย้ำอีกทีว่าเรื่องนี้ คือนิยายแปลนะคะ  แปลตามคนเขียนค่ะ)  ^-^

12 ความคิดเห็น:

  1. ดีใจที่ที่รักมีบทพูดละ 55555

    ตอบลบ
  2. ยิ่งอ่านยิ่งสงสารพระรอง///ขอบคุณค่ะไรท์

    ตอบลบ
  3. พระเอกทำหน้าที่ได้ดี ///^__^

    ตอบลบ
  4. โธ่วพระรองฉัน แต่งกับน้องสาวนางเอกแทนเยอะ นางเอกเลี้ยงดีนะ

    ถ้าน้องสาวแต่งงานแล้ว รอนางเอกมีลูกสาวต่อค่ะ...

    ตอบลบ
  5. บางทีถ้าไม่ได้แม่อาจจะได้ลูกสาวแทนก็ได้นะคะ(.....) สงสารพระรองนางจังง,___,

    ตอบลบ
  6. ถึงบทจะน้อย แต่ฟางโจวก็ไม่เคยลืมท่านแม่ทัพนะ อิอิ รออ่านตอนต่อไปค่ะ พูดถึงพระรองดื้อพอกันกับซินเอ๋อเลยเนอะ แต่การแสดงออกต้องดูอีกทีว่าจะตกเหมือนซินเอ๋อมั้ย

    ตอบลบ
  7. ขัดใจที่พระรองใชเคำว่ารอ จะรุกจีบสักหน่อยก็ไม่ได้ แต่หมั้นไส้ตัวอิจฉา คือใครๆก็ไม่ดีเท่าพระรองใช่ไม กับคนอื่นต้องแขวะต้องหาเรื่อง

    ตอบลบ
  8. นังตัวอิจฉาจอมมโนเธอจะอยู่ในโลกมโนต่อไปจะได้ไม่เดือดร้อนใคร

    ตอบลบ
  9. คือรำคาญนิสัยพระรองมากอ่ะ ถ้าเจอคนแบบนี้ในชีวิตจริงคงวุ่นวายน่าดู ไม่ได้รู้สึกฟินรู้สึกอะไรเลยกับคนประเภทนี้

    ตอบลบ
  10. สนุกค่ะ อยากอ่านอีกไวๆจัง ขอบคุณนะคะ

    ตอบลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ27 เมษายน 2560 เวลา 22:04

    อื้อหือ ชีวิตรันทด รอยันลูกโตก็ยังไม่มีหวังเหรอเนี่ย

    ตอบลบ