วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 81 ถูกขวางอีกแล้ว

                 “อย่าได้เกรงใจเลย!” อาเจี่ยนส่งยิ้มให้หญิงสาว
                  จากนั้นเหลียนฟางโจวจึงพยักหน้ายิ้มให้ “เช่นนั้น  พวกเราแยกกันตรงนี้นะ  น้องรอง...ช่วยดูแลพี่เจี่ยนด้วย  วันนี้เขาดื่มหนักจริงๆ!”
                  “วางใจเถิด พี่ใหญ่!” เหลียนเซ่อเอ่ยขึ้น
                  ครั้นแล้วเหลียนฟางโจวจึงเดินแยกจากไปพร้อมฟางฉิงและคนอื่นๆ
                  สำหรับเรื่องราวรักๆใคร่ๆที่หอหมิงเย่ว   ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเสกสรรปั้นแต่งขึ้น   ทั้งเหลียนเซ่อและอาเจี่ยนเมื่อทั้งสองอยู่กันตามลำพังย่อมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจต่อกันเป็นธรรมดา    ดังนั้นเหลียนฟางโจวต้องจึงต้องตามมาชี้แจง  เพื่อคลายความอึดอัดใจต่อหน้าคนทั้งสอง
                  ทว่าหลังจากเธอชี้แจงเสร็จสรรพ  ก็หาได้เห็นความโล่งอกโล่งใจปรากฏบนหน้าคนทั้งสองไม่
                  ตอนขากลับซู่ซินเอ๋อตั้งใจจะกลับมารถม้าคันเดียวกับชุยเฉ่าซี  ซู่จิงเหอเลยต้องเดือดร้อนนั่งรถม้าไปเป็นเพื่อนกับชายหนุ่มให้   พอพวกเขาลงจากรถม้า  หญิงสาวก็บอกว่าชุยเฉ่าซีเมามากนางไม่วางใจ   จึงต้องขอไปส่งชายหนุ่มให้ถึงที่พักที่เรือนรับรองส่วนตัวด้วย  จึงจะกลับเรือนของตน   ซู่จิงเหอไม่ยอมฟังคำอธิบายใดๆ  รีบลากน้องสาวกลับที่พักของหญิงสาวโดยไว
                  ส่วนชุยเฉ่าซีนั้นแท้จริงแล้วหาได้มึนเมาเท่าใดนัก   ทว่ากลับทำท่าทางเหมือนเมามายไม่ได้สติโดยสิ้นเชิง  ชัดเจนว่าเพียงเพื่อสลัดหญิงสาวผู้นี้ออกไปให้พ้นๆ !
                  ลำพังแค่เรื่องพยายามมาส่งผู้ชายถึงห้องพักกลางดึก  มันใช่สิ่งที่หญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนสมควรกระทำล่ะหรือไม่ต้องอ้างถึงว่าเป็นญาติกันเลย  แม้แต่ต่อให้เป็นพี่ชายแท้ๆก็สมควรหลีกเลี่ยง  สิ่งที่จะก่อให้เกิดคำครหาได้       
                  ดังนั้นจึงเหลือเพียงฟางฉิงและเหลียงฟางโจวเดินกลับที่พักมากันสองคน
                  เมื่อเข้ามาในอาณาบริเวณเรือนชั้นใน   ทั้งสองเดินต่อไปอีกสักพักก็เจอทางแยก  ญาติหญิงผู้พี่จึงกล่าวอำลาเหลียนฟางโจวเพื่อแยกกลับเรือนพักของตน
                  พอฟางฉิงกลับมาถึงเรือนพักส่วนตัว  แม่นมหลี่เห็นแล้วจึงรีบมาทักทายด้วยรอยยิ้ม  “ฮูหยินน้อยกลับมาแล้ว!”  โดยมีสาวใช้ชื่อฉ่วงหลิงและฉ่วงซิว รอผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้เจ้านายอยู่  ขณะที่สองสาวใช้เกือบจะแต่งกายให้นายหญิงเสร็จแล้ว   ซู่จิงเหอที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกก็ผลุนผลันเข้ามาในห้อง  ซ้ำปากก็ยังบ่นพึมพำไม่หยุดด้วย
                  ฟางฉิงเหลือบมองสามี ส่งยิ้มให้ “ส่งเสร็จแล้วหรือ?”
                  “อืม...ก็ทุลักทุเลพอดูล่ะ!”  ซู่จิงเหอยิ้มอย่างเหนื่อยหน่าย
                  เขานั่งลงข้างๆฟางฉิง พลางถอนหายใจเบาๆ  “เด็กคนนี้ช่างหลงไหลหัวปักหัวปำนักก่อนนั้นข้าคิดอยากให้นางแต่งออกไป  ถึงกับเคยขอหมิ่นจีไม่ให้มาที่จวนเราสักพัก เพื่อที่ข้าจะได้จัดการเรื่องนี้ให้จบๆไป  เป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม!”
                  ระหว่างที่เจ้านายทั้งสองคนกำลังปรับทุกข์อยู่นั้น  แม่นมหลี่ได้ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้บรรดาสาวรับใช้ทั้งหลายออกไปจากห้อง
                  ฟางฉิงหัวเราะขึ้นเบาๆ  “แล้วท่านคิดบ้างหรือไม่ว่า  ไอ้สักพักของท่านนั้น มันนานเท่าใดแล้วท่านพร้อมจะให้เขามาหาท่านที่จวนได้อีกเมื่อไร  ยามนี้หากไม่มีเรื่องสำคัญ  ข้าคิดว่าเขาก็คงจะไม่มาแน่!”
                  ซู่จิงเหอเงยหน้าขึ้น ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ที่เจ้าพูดเช่นนี้มันจริงรึ!” พลางพูดต่ออย่างไม่สบายใจ “เด็กคนนี้สมควรแต่งงานได้แล้ว  หากปล่อยไว้อีกไม่นาน ข้าเกรงว่าจะเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้น!”
                  “จะเอาอย่างนั้นหรือ!  นางย่อมไม่พอใจแน่   จะมีพ่อแม่ที่ไหนกล้าขับไล่ไสส่งนางให้แต่งงานออกไปเล่าทว่าหากยึดถือความพอใจของนางเป็นหลัก  จะมีใครหน้าไหนกล้าเข้าใกล้หมิ่นจีเล่า?”  ฟางฉิงค้อนตาใส่เขา
                  ซู่จิงเหอพยายามคิดหาทางออกทุกทาง  อดบ่นพึมพำออกมาไม่ได้ “ไม่มีวิธีอื่นใดอีกแล้วหรือ?”
                  “ให้หมิ่นจีรับนางมาเป็นภรรยาเอกไหม!” ฟางฉิงจ้องตาเขาแล้วเอื้อนเอ่ยออกมา
                  “ใช่แล้ว  ไยข้าไม่คิดถึงวิธีนี้มาก่อนนะ!”  ซู่จิงเหอเริ่มยิ้มได้  เขาปรบมือดังๆพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ให้หมิ่นจีรับนางเป็นภรรยา  นางจะได้ไม่อกหักตรอมใจไงเล่า!”
                  พอกล่าวจบ ก็เอ่ยต่อว่า “หมิ่นจีเจ้าหนุ่มผู้นั้น ช่างเลือกจะตายไป  เกรงว่าจะหาภรรรยาที่ถูกใจได้ก็ยากเต็มทีถึงเจ้าจะกล่าวเช่นนั้น  หรือต่อให้ข้าไม่ได้โอ้อวด  แต่ซินเอ๋อของเราก็นับว่าดีเลิศอยู่นะ  ไม่ว่าจะมองมุมไหนทั้งรูปร่างหน้าตา ทั้งสกุลรุนชาติ ดูแล้วก็เหมาะสมกับหมิ่นจีมากมิใช่รึและที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ  นางยอมตายแน่ถ้าหากไม่ได้แต่งให้หมิ่นจีแล้วเหตุใดหมิ่นจีถึงไม่รักนางตอบบ้างนะ?”
                  ฟางฉิงฟังแล้วจึงขยายความให้กระจ่าง “แหม..โชคดีจริงที่ท่านก็เป็นบุรุษคนหนึ่ง  ความจริงธรรมดาสามัญเช่นนั้น  ตัวท่านไม่เข้าใจหรอกรึบุรุษผู้นี้หาใช่คนมักมากไม่  ยิ่งมีใครไปหลงไหลคลั่งไคล้เขาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเท่าใด   เขาจะยิ่งเบื่อหน่ายและไม่สนใจเอาเท่านั้นยิ่งไปตามตื๊อเขามากๆ   มีแต่จะโดนเขาด่าว่าทำร้ายจิตใจเอา ซินเอ๋อคงได้รับแต่ความผิดหวังเสียใจไม่จบไม่สิ้นไปจนตายนั่นแหละ!”
                  ซู๋จินเหอคล้ายขยับปากจะพูด  แต่ก็ไม่พูดออกมา  สายตาที่จ้องมองฟางฉิงดูแปลกๆ     
                  “ท่านคิดเหมือนที่ข้าคิดหรือไม่?”  ฟางฉิงไม่ทันสังเกตุใบหน้าของสามีที่ดูแปลกๆไป
                  ส่วนซู่จิงเหอกลับบังเกิดความน้อยอกน้อยใจขึ้นมา  หัวใจของเขาครานี้ห่อเหี่ยวและเปราะบางนัก   ในที่สุดก็อดเอ่ยออกมาไม่ได้  “ที่พูดออกมานั้น.. เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆหรือ?”
                  “คิดอะไรรึ?”
                  “ที่บอกว่าบุรุษ....เอ่อชอบมักมาก..คำๆนี้
                  “ข้าไม่ได้คิดว่า  มันจะเป็นเพราะสาเหตุนี้เสมอไปหรอกนะ!
                  “นั่นแหละ...ในอดีตเจ้ากับข้า....เจ้า..เจ้ายังคง...คิดเช่นนั้นอยู่อีกรึ?” ซู่จิงเหอครางออกมาด้วยความเจ็บปวดใจ
                  ฟางฉิงตะลึงงัน  นางไม่คิดว่าคำที่นางบังเอิญหลุดออกไป จะแทงใจดำเขาเข้าอย่างจัง  นางพยายามฝืนกลั้นหัวเราะไว้  พลางส่ายหัวแล้วเอ่ยว่า “ท่านไม่เหมือนกับคนอื่นหรอก
                  “?”  ซู่จิงเหอพลันแช่มชื่นขึ้น  เริ่มสนอกสนใจขึ้นมาทันใด  ชายหนุ่มรีบมายืนแนบชิดอยู่ข้างนาง  พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แล้วไม่เหมือนกันอย่างไรเล่า?”
                  ซู่จิงเหอไม่เพียงสนใจขึ้นมา  ทั้งยังปลอดโปร่งใจสบายใจขึ้นด้วย  เพราะในสายตาของภรรยาเขา  เขาย่อมแตกต่างจากผู้อื่นอย่างแน่นอน!
                  ฟางฉิงสบตาเขาพลางหัวเราะออกมา  “ท่านก็เป็นคนประเภทนั้นเหมือนกันนั่นแหละ  ท่านถึงได้ประสาทเสียเวลาที่ข้าพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาไงเล่า   เสียใจด้วยนะที่ท่านให้ข้าพูดออกมา ฮ่าฮ่าฮ่า!”
                  ใบหน้าอันหล่อเหลาของซู่จิงเหอแตกเป็นเสี่ยงๆในทันใด   จับจ้องฟางฉิงด้วยแววตาขื่นขมระทมใจ “กล้าล้อสามีคนนี้เล่นรึ  เจ้าช่างกล้ามากนะประเดี๋ยวข้าจะจัดการกับเจ้าแน่!”
                  ใบหน้าของฟางฉิงเห่อร้อน  ผลักใบหน้าเขาออกห่างเบาๆ  ซู่จิงเหอรู้สึกคันยุบยิบในใจ   อดไม่ได้ต้องกอดนางไว้ในอ้อมอกแกร่ง  กระซิบคำสองแง่สองง่ามกองใหญ่ใส่หูภรรยา  จนใบหน้าของฟางฉิงแดงก่ำ  ดวงตาฉ่ำน้ำคู่นั้นถึงกับเบิกกว้าง  
                  ซู่จิงเหอเห็นภรรยาแสดงออกอย่างน่ารักน่าหลงไหลเช่นนั้น  ถึงกับทำอะไรไม่ถูก  ได้แต่จุมพิตแก้มทั้งสองของหญิงสาวอย่างหมั่นเขี้ยว  แล้วกระซิบข้างหูนางเบาๆ  “ข้าไปอาบน้ำก่อนนะ  เจ้ากลับห้องนอนไปรอข้าเสียดีๆ...”
                  เช้าวันรุ่งขึ้น  เหลียนฟางโจวรีบลุกจากที่นอนแต่ไก่โห่  โดยมีสาวรับใช้รอท่าปรณนิบัติพร้อมอยู่แล้ว  จริงๆแล้วหญิงรับใช้คอยอยู่ข้างนอกก่อนหน้านั้นแล้ว  ทันทีที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายในห้องจึงเข้ามาแล้วทักทาย  “เหลียนกูเหนียงตื่นแต่เช้าเลย!”  ชวนหญิงสาวคุยอย่างเป็นกันเองระหว่างปรณนิบัติให้อาบน้ำร้อน  ทั้งยังเตรียมเกลือขัดผิวสำหรับขัดตัวให้พร้อม  
                  เหลียนฟางโจวไม่ได้เรียกให้นางปรณนิบัติ  เธอกวักน้ำล้างหน้าล้างตา  และขอบคุณสาวรับใช้   จากนั้นจึงจัดการกับตัวเองอย่างคล่องแคล่วด้วยรอยยิ้ม  สาวรับใช้เห็นเหลียนฟางโจวทำอะไรด้วยตนเอง  จึงได้แต่ยิ้มยืนคอยอยู่ข้างหนึ่ง แล้วชวนเธอคุยไปเรื่อยๆ
                  จากนั้นแม่นมหลี่พาเหลียนฟางโจวออกจากห้องพัก  ทั้งสองต่างเดินกันไปพลางสนทนากันไปพลาง  ไม่คิดว่าจู่ๆชุยเฉ่าซีจะหาญกล้าโผล่พรวดเข้ามาขวางทางเดินของพวกนางทันใด
                  แม่นมหลี่ตกใจกลัวจนใจเต้นโลดถึงคอหอย  แข้งขาสั่นเทาจนเกือบจะเซล้ม ไฉน ท่านชายผู้นี้ต้องทำอะไรอย่างนี้ด้วย!
                  จริงๆแล้วตอนเมื่อวานเย็นก็เกิดเหตุการณ์คล้ายๆกันนี้กับแม่นมหลี่ไปทีหนึ่งแล้ว  แม้ว่านางจะยังไม่กระจ่างแจ้งในจุดประสงค์นัก  ทว่านางย่อมได้ยินซู่จิงเหอ และฟางฉิงคู่สามีภรรยาเอ่ยออกมาหลายต่อหลายครั้ง
                  ในความคิดของนางบุคคลผู้นี้เริ่มประพฤติตัวคล้ายภูตผีขึ้นไปทุกขณะ  นางเองเริ่มกลั่นกรองเรื่องได้บ้างแล้ว  ทั้งยังเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้บางส่วน   อย่างน้อยคงไม่ผิดไปจากที่นางคิดไปสักเท่าไร
                  เหลียนฟางโจวนั้นก็เป็นผู้หนึ่งที่ตกใจเหมือนกัน   คนผู้นี้จริงเลยๆ   อยากจะพูดอะไรกับเธอนักหนากันนะ!

                  ชุยเฉ่าซีส่งสายตาเป็นสัญญาณให้แม่นมหลี่   พลางบุ้ยใบ้ไปข้างๆเล็กน้อย   ฝ่ายแม่นมหลี่ทำอะไรไม่ได้  จำต้องย่อกายคำนับแล้วล่าถอยไปหลายก้าว ออกไปยืนเงียบๆ
  ---------------------------------------------------------------------------------
 ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
 เห็นผู้อ่านหลายท่าน สงสารพระรอง พยายามให้จับคู่กับน้องสาวนางเอก  แต่คงเป็นไปไม่ได้ค่ะ เพราะน้องสาวคนนี้ต่อไปจะมีคู่ครองเป็นถึงฮ่องเต้หนุ่มค่ะ
 ช่วงนี้มีไรท์งานเยอะค่ะ เลยอัพไม่ได้ทุกวัน  แล้วพอดีมีงานชิ้นใหญ่เข้ามาพ่วงอีก  ไรท์คงต้องขอจรลีหายเงียบไปสักอาทิตย์หนึ่งนะคะ  ท่านผู้อ่านไม่ต้องรอค่ะ   
พรุ่งนี้ไรท์คงอัพ ตอนให้เรื่องภรรยาผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ อีกสักตอน แล้วขอหายตัวไป 1 อาทิตย์นะคะ ^-^

14 ความคิดเห็น:

  1. เป็นการสปอยล์ที่ทำให้อยากอ่านถึงฉากนั้นไวๆ ทุกครั้งเลยค่ะ
    สู้ๆ นะคะทกับงานแล้วเจอกันในอีก 1 สัปดาห์ค่ะ

    ตอบลบ
  2. หน้าตขี้มโนอย่างนี้เนี่ยนะ ขึ้นตำแหน่งสูงๆ ฟางโจวจะไม่ลำบากเอาเหรอ
    แต่จิตชั่วร้ายอย่างนี้เหมาะกับวังหลังแล้ว

    ตอบลบ
  3. สปอยซะอยากอ่าน เรื่องของน้องสาวนางเอกเลยค่ะ

    ตอบลบ
  4. อะหือ ยันน้องสาวโตคู่กับฮ่องเต้เลย

    ตอบลบ
  5. น้องสาวนางเอกได้คู่ครอง้ป็นฮ่องเต้
    ว้าววววว ^ ^

    ตอบลบ
  6. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  7. จากประเด็นหาคู่ให้พระรองกลายเป็นอยากรู้เรืองน้องสาวนางเอกแต่งกับฮ่องเต้ไวๆ แต่คงจะนานนนพอดู อย่างน้อยต้องรอพระเอกนางเอกกลับเมืองหลวงก่อน(มั้ง) หลังจากปลูกฝ้ายได้ ชีวิตนางเอกคงมีแต่รุ่งๆๆ

    ตอบลบ
  8. ไม่อยากจะพูดว่าชีวิตดีเลย น้องน้อยของพี่ จะอยู่วังหลังไหวไหมลูก แงงงง ;-;)

    ตอบลบ
  9. ดีเลยส่งเข้าถวายตัวไป จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับพระรอง

    ตอบลบ
  10. นี่มีคนสับสนกับคำว่าน้องสาว(แท้ๆ)กับญาติผู้น้อง(หญิงสาว) วานผู้รู้ช่วยไขความกระจ่างด้วยเจ้าค่ะ โดยส่วนตัวคิดว่าน้องสาวนะ

    ตอบลบ
  11. เห็นไรท์เขียนว่า[ น้องสาวของนางเอก ]นะคะ

    ตอบลบ
  12. ไม่ระบุชื่อ27 เมษายน 2560 เวลา 22:09

    ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  13. ขอบคุณค่ะ...รอตอนต่อไปนะค่ะ

    ตอบลบ