วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 95 คิดบัญชี (3)

                 ลุงสามแซ่จางเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าผิดแล้ว  ก็สมควรถูกตัดสินโทษข้าขอลงโทษให้เจ้าคุกเข่านอกศาลบรรพบุรุษหนึ่งวันหนึ่งคืน  และเพื่อให้แน่ใจว่านับจากนี้ไปเจ้าจะไม่ฝ่าฝืนกระทำความผิดอีก  ต่อแต่นี้ไปให้เจ้าทุ่มเทดูแลหลานชายหลานสาวให้ดี  เจ้าเต็มใจหรือไม่?”
                  ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ได้คุกเข่าในศาลบรรพบุรุษ   ทำได้เพียงคุกเข่าที่ลานด้านนอกเท่านั้น  ด้วยสภาพอากาศตอนนี้  การให้คุกเข่าทั้งวันทั้งคืน  คงมิแคล้วต้องประสบความทุกข์ทรมาน  ลุงสามแซ่จางชิงชังจิตใจชั่วร้ายดุจปีศาจของนางนัก  และยิ่งขุ่นเคืองมากขึ้นยามได้ยินนางเรียกตัวเขาเองและพวกพ้องว่าตาแก่ตายยาก   จึงอยากลงทัณฑ์ให้นางรู้ซึ้ง

                  ใครจะรู้เล่าว่าพอฮูหยินเฉียวได้รับฟังโทษทัณฑ์ครานี้   นั่นคือการคุกเข่านอกศาลบรรพบุรุษ  และต้องรับปากว่าจะดูแลเอาใจใส่เหลียนฟางโจวและพี่น้อง  มิให้ขาดตกบกพร่อง  ถ้อยคำเหล่านี้คล้ายหนามแหลมทิ่มแทงใจนางให้เจ็บปวดรวดร้าวนัก
                  เพียงนึกภาพว่าในภายภาคหน้า  เหลียนฟางโจวและเหล่าพี่น้อง จะเที่ยวขอให้นางช่วยเรื่องนั้นเรื่องนี้  จนแทบทุกวันแล้ว  ฮูหยินเฉียวให้รู้สึกคลั่งแค้นจนแทบบ้า!
                  “เด็กพวกนั้นก็มีที่นาเหมือนกัน  มีบ้านให้อยู่เหมือนกัน  พอมีคนนอกมาช่วยเหลือเพียงครั้งครึ่งครั้ง    ฮึ่ม...ถึงกับพากันไปเผาถ่าน คนนอกเอาอะไรมาแลกเปลี่ยนเล่าถึงได้รับการปฏิบัติดีตอบเช่นนั้น เด็กพวกนั้นก็มีกินมีใช้อยู่แล้ว   ยังมีอะไรไม่พอใจอีกรึ?   ทั้งๆที่พวกมันก็มิได้ขัดสนสิ่งใดอยู่แล้วแท้ๆ   แต่กลับมาสั่งให้ข้าดูแลพวกมันอีกหรือ?  อย่างนี้เรียกว่าอะไรกัน?!   ตัวข้าเองมีบุตรชายที่ต้องเลี้ยงดูและส่งเสียให้เรียน   มีภาระใหญ่กองพะเนินเทินทึกไม่จบไม่สิ้น  ไหนเลยจะมีเวลาว่างมาดูแลลูกชาวบ้านเล่าแล้วมีใครหน้าไหนไหม   มาสนใจดูแลข้าบ้าง!”
                  ฮูหยินเฉียวส่งเสียงดังปานฟ้าถล่ม ยามชี้ชวนให้ทุกคนเล็งเห็นถึงภาระอันหนักอึ้งที่นางแบกไว้บนบ่า  แล้วตวัดสายตามาที่เหลียนฟางโจวพลางแค่นเสียง “อันที่จริงข้าเองก็ดูแลนางอยู่แล้วนะ  ทว่าคนบ้านนางหาได้รู้สึกสำนึกบุญคุณที่ข้าหยิบยื่นให้ยังกล้าใส่ความเท็จแล้วขุดหลุมหวังให้ข้าโจนลงไปอีก  วางกับดักข้าแท้ๆ ฮึ่ม  อย่างน้าแซ่หัวผู้นี้มีอะไรดีนักหรือ?   ข้าอุตส่าห์ลำบากลำบนเจรจาซื้อขายกับน้าแซ่หัวผู้นี้   หวังนำสิ่งดีๆมาให้หลานสาว   ส่งเสริมนางเป็นอนุภรรยาของเศรษฐี   ภายภาคหน้าจะได้กินดีอยู่ดีมีชื่อเสียง  แล้วมีอะไรไม่ดี...ห้ะพวกท่านดูน้ำหน้านังเด็กน่าตายผู้นี้สิ   จะขอบคุณสักคำก็ไม่มี  ตรงกันข้ามกับคอยแต่จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้า!   มิได้มีสำนึกผิดชอบชั่วดีเอาเสียเลย!”
                  เหลียนฟางโจวถึงกับพูดไม่ออกด้วยความโมโห   ทั้งๆที่ตัวเธอถูกจับไปขายแท้ๆ  กลับกลายเป็นเธอที่ต้องขอบคุณ คนที่จับเธอไปขาย!
                  “ป้าเฉียว!   ไยท่านพูดจาส่งเดชเช่นนั้นเล่า !”  หัวจินเต๋ายืนฟังอยู่นานแล้วยังไม่ได้พูดซักคำ   ทว่าพอได้ยินถ้อยคำที่ฮูหยินเฉียวพรั่งพรูออกมา  จึงรีบโพล่งขึ้นทันใด  “อะไรที่ท่านว่าให้เป็นอนุภรรยา   คิดว่าข้ารู้เห็นเป็นใจด้วยรึ?  เป็นเพราะข้าพูดออกมาโดยบังเอิญ  มีคำพูดไหนที่บอกว่าข้าสั่งซื้อเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน   ท่านนั่นแหละที่กระเหี้ยนกระหือรือจะเอาฟางโจวมาขายให้ข้า   มาตามตื๊อข้า   ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า  เป็นความประสงค์ของฟางโจว    หลอกจับตัวนางใส่รถม้าของข้า  ตัวข้าเองก็ดันเลินเล่อ  มิได้ถามให้กระจ่างก่อนเสียด้วย   พอกลับถึงคฤหาสน์ถึงเพิ่งรู้ว่าไม่ใช่ดังที่คุยกันไว้โธ่...ช่างน่าสงสารนางนัก   แต่ละวันๆ ฟางโจวต้องทำงานหนัก   ใช้จ่ายกระเหม็ดกระแหม่   มีพี่น้องเล็กๆที่ต้องคอยส่งเสียเลี้ยงดู   ไยท่านถึงทำเรื่องพรรคนี้ได้ลงคอนางเป็นหลานแท้ๆของท่านนะโชคดีที่ข้าและนายท่านสกุลหวาง  เราทั้งสองต่างมิชอบเอาเปรียบคน   อันที่จริง  ที่เรายังจับตัวคนไว้  ก็เพื่อพาไปส่งบ้าน!”
                  ฮูหยินเฉียวถึงกับอึ้งกิมกี่ไปทันที!
                  เหลียนฟางโจวไม่คอยให้ฮูหยินเฉียวมีโอกาสแก้ต่าง  จู่ๆก็ร่ำไห้พร่ำพรรณนาออกมา “ฮือๆ...ป้าใหญ่จิตใจช่างโหดเหี้ยมนักคราแรกจับตัวข้าไปขายเป็นทาส  แล้วยังไม่สาแก่ใจ  ยังคิดจะขายน้องๆข้าอีกท่านทำเรื่องต่ำช้ากับพวกเรา  หวังจะให้พวกเราพี่น้องต้องบ้านแตกสาแหรกขาด   ท่านมิกลัวว่าวิญญาณบิดามารดาข้าที่อยู่บนสวรรค์ จะนอนตายตาไม่หลับรึ?   วางแผนขายพวกเราพี่น้องยังไม่พอ   ยังคิดจะฮุบบ้านและที่นาของพวกเราอีก  ช่างเก่งเรื่องฉกฉวยผลประโยชน์ผู้อื่นนักมาหลอกลวงข้าบอกว่า  มีตำแหน่งงานว่างในเมืองเพราะเห็นว่าข้ากำลังหางานรับจ้างทำอยู่   บอกให้ข้าตามน้าหัวจินเต๋าไป   นี่นะรึงานรับจ้างที่ท่านพูดถึง !”
                  “เหลียนเฉียวซี่  เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่!”  จางลี่เจิ้งตบโต๊ะน้ำชาดังปัง
                  ขายหลานสาวแท้ๆไปเป็นทาส  ใช้เล่ห์เพทุบายหวังฮุบที่ดินอีก  ฟู่เหรินผู้นี้จิตใจช่างโสมมยิ่งนัก มิใช่แค่จางลี่เจิ้งที่เหลืออด  แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน  เชื่อว่าฮูหยินเฉียวสามารถลงมือทำเรื่องพรรคนี้ได้จริงๆ!
                  ไม่ต้องไปถามใครเลย   จากที่เขาเฝ้ามองมาจนถึงบัดนี้  ยามที่สอบสวนนาง  นางก็ยังคงอาละวาดตึงตังไม่เปลี่ยน  เพียงเท่านี้ย่อมรู้ว่าฟู่เหรินผู้นี้หาใช่คนดีไม่!
                  “ข้าไม่ได้ทำข้าไม่ได้ทำ!” ฮูหยินเฉียวโทสะระเบิดตูม   ร้องลั่น “พวกท่านไม่ยุติธรรมกับข้าพวกท่านไม่ให้ความเป็นธรรมกับข้านังหญิงแซ่หัว   เราตกลงกันเช่นนั้นตั้งแต่ทีแรกนะ   เจ้ามาตะบัดสัตย์เล่นงานอีแก่คนนี้เหรอเจ้ามันไม่ตายดีแน่ !”
                  “ทุกท่าน..ฟังดูสิ   คนผู้นี้สติวิปลาสไปแล้ว!”  สีหน้าหัวจินเต๋าบึ้งตึงทันใด  เอ่ยว่า “ถูกต้อง  แต่ก่อนเราเคยตกลงกันไว้   ทว่าไหนเลยตัวข้าจะรู้ว่าท่านยืมมือข้ามาทำสิ่งชั่วร้าย  เป็นท่านที่หลอกใช้ข้าแล้วเงิน 10 ตำลึงของข้าเล่าท่านรีบคืนข้ามาเร็วเข้า!”
                  ฮูหยินเฉียวร้องแว๊ดออกมา เงิน 10 ตำลึงที่ไหน 5 ตำลึงต่างหากเล่า !”
                  “ได้ 5 ตำลึงก็ได้  นี่..เจ้าพูดกับปากเองนะ  เอาคืนมาให้ข้าเร็วเข้า!”  หัวจินเต๋าพูดต่อ “เงิน 5 ตำลึงเล็กน้อยเท่านี้   ข้าไม่ใส่ใจหรอก  ท่านไม่จำเป็นต้องคืนให้ข้า  เอาไปให้ฟางโจวโน่น สงสารนางที่ต้องขวัญเสีย  ถือเป็นค่าทำขวัญก็แล้วกัน!”
                  เหลียนฟางโจวเอ่ยเสียงเบา “ข้ามิอยากได้เงินเหล่านั้น   ข้าขอเพียงคำพูดสั้นๆจากปากป้าใหญ่เพียงหนึ่งคำ!”
                  “เจ้าจะมาขุดหลุมดักให้ข้าโจนลงไปหรือช่างใจไม้ไส้ระกำนัก   หาดีไม่ได้เลย!” ฮูหยินเฉียวพ่นคำสาบแช่ง
                  อันที่จริงแล้วนางยังไม่ได้จับหัวจินเต๋ามาไตร่ถามสักคำ  ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนาง   ทั้งๆที่เมื่อวานตอนค่ำทั้งสองหารือกันมากมาย  จนเข้าใจตรงกัน   แต่ก็ยังเป็นเพียงแนวคิด   ยังไม่ลงรายละเอียดยิบจนเป็นบทพูด   หนำซ้ำมีการตกลงกันไว้ว่า  จะมิมีการหลุดเรื่องจริงออกมาให้คนภายนอกรู้เด็ดขาด   ยามนี้หัวจินเต๋าออกโรงปฏิเสธ   ฮูหยินเฉียวถึงกับกระอักแน่นในอก   ไม่อาจหาข้อแก้ตัวได้!
                  ส่วนเหลียนลี่เมื่อเห็นฮูหยินเฉียวเริ่มจะเปิดปากอีกครั้ง  ก็คิดอยากจะร้องด่าให้นางหุบปากเสีย   ทว่าผู้อาวุโสของหมู่บ้านหันมาเห็นเข้าพอดี   จึงตวัดสายตาเป็นเชิงสั่งให้เขามายืนข้างๆ   เขาไม่มีทางเลือก  จึงจำต้องเชื่อฟัง
                  แต่ถึงอย่างไรยามนี้ตัวเขาสุดจะทนแล้ว   รู้ว่าหากฮูหยินเฉียวเปิดปากพูดอีกคราจะยิ่งก้าวลงสู่หายนะแน่   เห็นแล้วจึงตวาดสุดเสียง “หุบปากเสีย! นังหญิงเน่าหนอน  เจ้าทำเรื่องพรรคนี้  ช่างไม่เกรงฟ้าดินเลย!”
                  ฮูหยินเฉียวเสียท่าหัวจินเต๋าก็คับข้องใจจนพูดไม่ออกแล้ว   ซ้ำยังเสียท่าเหลียนฟางโจวจนกระอัก   ในใจครุกรุ่นจนแทบจะพ่นไฟได้   พอมาเจอเหลียนลี่ ไม่เพียงไม่ยืนอยู่ข้างนางแล้ว  ยังมาซ้ำเติมนางเข้าให้อีก   ท่าทางทำเป็นสั่งสอนนาง  เห็นแล้วพาลให้คุ้มคลั่งจริงๆ   จึงชี้หน้าเหลียนลี่ด้วยความน้อยใจด่าเสียงขรม “สารเลว...เจ้ามันตาแก่ตายยาก!   เปิดปากมาแต่ละที   ก็แสร้งทำเป็นพูดจาน่าฟัง   ไยถึงได้เลวอย่างนี้   มีอะไรก็ให้ข้าออกหน้าเองทุกเรื่องแต่พอลับหลัง  เจ้ามันก็อยากได้ไม่น้อยไปกว่าใคร!  ท่านจงเกลียดจงชังนังเด็กน่าตายนี่พอๆกับข้า   ใจจดใจจ่ออยากให้นางไปให้พ้นหูพ้นตานัก   ท่านจะเอาอย่างไรกันแน่!   ท่านเสแสร้งหวังจะฮุบบ้านคนอื่นสบายๆ   แล้วท่านก็เสแสร้งทำเป็นลุงผู้น่านับถือต่อหน้าผู้อาวุโสด้วยใช่หรือไม่!”
                  “นางหญิงน่าตาย  เจ้ามันเสียสติไปแล้วจริงๆ!  พูดแต่เรื่องบ้าบอหาสาระไม่ได้!” เหลียนลี่ทั้งโมโหทั้งหงุดหงิดงุ่นง่าน   รีบปรี่เข้าไปหมายจะซัดฮูหยินเฉียว
                  อาเจี่ยนผู้ที่มักนิ่งเฉยมาโดยตลอด  สืบเท้าเข้ามาขวางไว้ทันควัน  เอ่ยเสียงเรียบว่า “อยู่ต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสของหมู่บ้าน   หากลุงเหลียนเอาแต่โมโห  จะทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โต !”
                  “มิใช่ธุระกงการอะไรของเจ้าเรื่องของครอบครัวข้า ไม่ใช่ให้คนนอกที่มิได้มีนามสกุลเดียวกันเข้ามาสอด เพ้ย !  เหลียนลี่เอ่ยเสียงดัง พลางถ่มน้ำลายรดพื้น
                  “แล้วถ้าเป็นข้าเล่า  จะเข้ามาสอดได้หรือไม่?”  ลุงห้าแซ่จางแค่นเสียงเย็น รอให้บางคนอารมณ์เย็นลงก่อน แล้วเอ่ยว่า “ไม่ว่านางจะบ้าหรือไม่บ้า   คำพูดจะเป็นตัวบอกเองว่านางบ้าหรือไม่บ้า   พวกเราตาแก่ตายยากหาได้มีสติเลอะเลือนไม่  ส่วนเจ้า..จะไม่พอใจอะไร   ก็ขอให้เห็นแก่คนแก่เช่นข้า   จงบอกความจริงมาเสีย  หรือถ้าทำไม่ได้ ก็เงียบไปเสีย!”
                  เหลียนลี่ได้แต่ส่งยิ้มไม่กล้าพูดอันใด   ตวัดสายตามองอาเจี่ยนด้วยความเกลียดชัง   ไม่มีทางเลือกจำต้องล่าถอยไปยืนอีกด้าน   พลางลอบด่าฮูหยินเฉียวในใจยาวเหยียด
                  ฮูหยินเฉียวส่งเสียงเชอะอย่างดูแคลน  เชิดหน้าถลึงตาใส่เขากลับอย่างชิงชัง  ในใจสาบแช่งยาวเหยียด  ทั้งยังหันไปหาจางลี่เจิ้ง  ชี้หน้าใส่ พลางแค่นเสียง  “อ้อ..ข้าเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งตอนนี้เอง ท่านกับนังเด็กน่าตายนี่เป็นพวกเดียวกัน!   ไม่ใช่ว่าท่านอยากช่วยนาง  จนมาเล่นงานข้าแทบปางตายหรอกรึ คนบ้านนั้นส่งถ่านไปให้ท่านทีเป็นกระสอบๆ เลยนี่  ใครเห็นใครก็ดูออกส่วนครอบครัวข้าช่างน่าสงสารนัก  ไม่มีใครส่งอะไรมาให้เลย  ไฉนพวกท่านไม่ไปด่าคนอื่นบ้างล่ะ  เอาแต่รุมข้า  ทุกคนช่างไม่เป็นธรรมกับข้าเลย  คอยแต่จะเหยียบย่ำข้าให้จมดิน พระโพธิสัตว์...ท่านจงเบิกเนตรดูเสียให้เต็มตาข้าไม่ได้รับความเป็นธรรม ฮือ.ฮือ!”
                  ฮูหยินเฉียวตะโกนร่ำไห้  ความหมายนั้นชัดเจนยิ่ง  ชัดเจนว่าเหลียนฟางโจวซื้อใจคนสกุลลี่เจิ้ง  หมายจะเล่นงานนาง   ต้องการข่มเหงนาง
   --------------------------------------------------------
 ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
-ขอโทษที่อัพช้านะคะ  พอดีช่วงนี้ต้องเดินทางบ่อย 
-พอแปลบทนี้ นึกว่าอยู่แถวศาลไคฟง  สมน้ำหน้าฮูหยินเฉียวโดนย้อนเกล็ดมั่ง
-และค่าตัวของฟางโจวที่ซื้อขายกัน คือ 5 ตำลึง นะคะ ขอเปลี่ยนค่าตัวในบทที่ฮูหยินเฉียวรับเงินจากหัวจินเต๋า จาก 50 ตำลึง เป็น 5 ตำลึงค่ะ  ขออภัยด้วยค่ะ
-และต้องขออภัยท่านผู้อ่านด้วย ที่ผู้แปลบอกผิดไป กว่านางเอกจะกลับไปทำมาหากิน ต้องไปต่ออีก 3 ตอนค่ะ ^-^




11 ความคิดเห็น:

  1. สนุกมากค่ะ แปลได้สละสลวย ขอบคุณผู้แปลมากๆๆ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณค่ะ รอดูนางเฉียวได้รับผลกรรมค่ะ ลุงลี่ด้วย หึ

    ตอบลบ
  3. โอ้ย จัดการถาวรทีเท้ออออ

    ขอบคุณค่า

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณมากเลยนะคะ

    ตอบลบ
  5. เมื่อไหร่พวกเห็บเหาจะไปที่ชอบๆซะทีจะได้ทำมาหากินบ้าง

    ตอบลบ
  6. สนุกมากกกกค่ะ ขอบคุณนะคะ

    ตอบลบ
  7. ไม่มีสำนึกเลยน่าเหนื่อยใจกับผัวเมียคู่นี้จริงๆ

    ตอบลบ
  8. อินจัดเลย หัวร้อน อยากเข้าไปตบป้าเฉียว

    ตอบลบ
  9. อีป้ายังไม่สำนึก เดี๋ยวให้อาเจี๋ยนไปรอบฆ่าซะเลย

    ตอบลบ
  10. ๆอีนังป้าน่าตบให้ฟันร่วงหมดปากจริงๆ

    ตอบลบ