เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อขนกระสอบเมล็ดถู่เต้า(มันฝรั่ง)กลับมาถึงบ้าน ป้าสามและพวกเด็กๆต่างกรูเข้าไปล้อมดูกันราวกับเป็นของแปลก
ป้าสามเอ่ยขึ้น
“ในชีวิตนี้ข้าไม่เคยได้ยินชื่อถั่วแบบนี้มาก่อนเลย เขาว่าเป็นเมล็ดถั่วที่ยาวมากจริงๆ!
หากจะปลูกสิ่งรูปร่างยาวแบบนี้ให้ได้ ข้าต้องขอดูให้ดีเสียก่อน!”
“ข้าก็ไม่เคยเห็นเมือนกัน!” เหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อต่างจ้องมองตาโต
พอเปิดปากกระสอบออกมา
เหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อต่างพากันแย่งรื้อสิ่งของที่อยู่ภายในออกมา ซึ่งถู่เต้าแต่ละหัวมีขนาดใหญ่กว่าไข่ไก่ เด็กทั้งสองพากันอึ้งทึ่ง
ร้อง
“ว๊าว” ออกมา พลางหัวเราะคิกคัก แล้วพร่ำพูดว่าช่างประหลาดน่าทึ่งอย่างโน้นอย่างนี้ไม่หยุด
ป้าสามก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน
พลางร้องครางออกมา “นี่คือถู่เต้าหรือ อา..ไฉนช่างโตอะไรเยี่ยงนี้ ไอ้หยา...เปื้อนดินด้วย!”
เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้ม แอบพูดอยู่ในใจ
นี่ยังถือว่าเล็กนะ บางทีอาจเป็นเพราะใช้วิธีหว่านเมล็ดและใช้เทคนิคการเพาะปลูกที่มีข้อจำกัด หากอยู่ในยุคสมัยใหม่ หัวขนาดข้อมือเช่นนี้นับว่าหาดูได้อยากเต็มที
“ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นพืชประเภทเดียวกับถั่วเหลืองหรอกนะ!”
“ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นเช่นไร
จะอร่อยไหมน๊า!” เหลียนฟางโจวเอ่ยเสียงกังวานใส
ป้าสามก็เหมือนเช่นหลานตัวเล็กทั้งสอง นางมองเมล็ดถู่เต้าแล้วคลี่ยิ้มออกมา พลางเอ่ยขึ้นว่า
“ข้าก็อยากรู้เช่นกัน!”
เหลียนฟางโจวหัวเราะขำ
“เอาไว้ปีหน้า ข้าจะเก็บเกี่ยวให้พวกท่านกินจนหนำใจเลย! นี่คือเมล็ดพันธุ์ที่เอาไว้ปลูก ยังกินไม่ได้! หากมีผู้ใดล่วงรู้เข้า จะโดนลงโทษเอานะ!”
เรื่องความสำคัญของเมล็ดพันธุ์นี้ ตัวเหลียนฟางฉิงกระจ่างแจ้งในใจอยู่แล้ว จึงได้แต่ผงกศีรษะอย่างจำใจ
“ไม่รู้ว่าเป็นพันธุ์ดีหรือไม่นะ
เฮ้อ!” ป้าสามถอนหายใจออกมา
เหลียนฟางโจวหัวเราะ “นี้คือเมล็ดพันธุ์อย่างดี เอ้อ...มันต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ต่างจากถั่วเหลืองเช่นกันนะ!”
เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ราชสำนักไม่ได้ทำอะไรมากมายนัก เพียงแค่จัดการกระจายเมล็ดพันธุ์ออกไปให้ถึงมือคนปลูกให้เสร็จๆไป แม้แต่คำแนะนำก็ยังคร่าวๆ ทั้งยังไม่มีการยกตัวอย่างอะไรมาประกอบ รวมไปถึงฤดูกาลที่ควรเพาะปลูกก็หาได้อธิบายไม่ ไหนจะเรื่องชนิดดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ไหนจะเรื่องวิธีการรดน้ำ ทั้งยังช่วงเวลาที่ควรเก็บเกี่ยวผลผลิตอีกเล่า
“นี่ก็อีกด้วย อา! ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร
ชื่อนี้มันก็มีคำว่าเต้า (ถั่ว) อยู่ด้วยนั่นแหละ มันก็ไอ้ครือๆกันกับถั่วเหลือง (ถั่วเหลือง : คำภาษาจีน เรียกว่า ต้าเต้า) มันต้องเป็นพืชประเภทเดียวกันแน่เสียยิ่งกว่าแน่!” ป้าสามหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ “หรือ ฟางโจวจะเถียงป้า !”
ทุกคนถกเถียงกันอย่างสนุกสนาน โดยทั่วไปยามโอกาสเช่นนี้ อาเจี่ยนมักนั่งเงียบๆอยู่ข้างๆ และไม่เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา เหลียนเซ่อเองก็นั่งยิ้มอยู่ข้างๆโดยไร้ซึ่งคำพูดด้วยเช่นกัน
หลังจากถกเถียงกันพอหอมปากหอมคอแล้ว เหลียนเฟางโจวก็มัดปากกระสอบเมล็ดพันธุ์เก็บอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงปรบมือขึ้น พลางหัวเราะออกมา “เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนได้เห็นสิ่งนี้กันหมดแล้ว ก็ไปอาบน้ำและนอนพักผ่อนกันเถิด! เมล็ดพันธุ์เหล่านี้จะเอาไปเก็บไว้ในห้องใต้หลังคา! ป้าสาม พรุ่งนี้เช้า ข้า อาเจี่ยน และอาเซ่อจะเข้าเมือง สองสามวันนี้อาจจะยุ่งสักหน่อย เรื่องราวในบ้านคงต้องรบกวนป้าสามช่วยเป็นธุระจัดการให้แล้ว!”
ป้าสามยิ้มรับ ทุกคนจึงไปอาบน้ำชำระร่างกายเพื่อพักผ่อนเอาแรง
รุ่งขึ้นหลังกินอาหารมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย เหลียนฟางโจว
อาเจี่ยน และเหลียนเซ่อ ต่างเดินทางเข้าเมือง
อาเจี่ยนเอ่ยขึ้น
“หากเงินทองไม่ขัดสนมากนัก เราน่าจะซื้อลาและรถเกวียนไว้ใช้งานสักคัน ในภายหน้า
ข้าเกรงว่าพวกเราคงต้องเดินทางมาจัดการธุระบ่อยครั้งขึ้น หากยังขืนเดินทางไปด้วยเท้าเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น ซ้ำยังพาให้การงานพลอยล่าช้าไปด้วย!”
เหลียนฟางโจวตรึกตรองเหตุผลเหล่านี้ดู
ก็พบว่าไม่เพียงซื้อลา ทั้งยังต้องซื้อวัวไว้ใช้งานอีกด้วย ไหนจะเรื่องเครื่องมือทำการเกษตรอีกหลายชิ้นที่ต้องจัดหาซื้อมาให้ทันการอีก เรื่องนี้คงต้องวางแผนอีกทีหลังจากกลับมาแล้ว!
ทว่ายามนี้มีสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งที่ต้องทำก่อนเรื่องอื่น! ก็คือการเข้าไปผูกมิตรกับผู้คน เพื่อหาแหล่งข้อมูลในการซื้อที่ดินสำหรับเพาะปลูก
“ข้าก็คิดเช่นนั้น! ดังนั้นเราควรมองหาซื้อที่ดินด้วยนะ ช่วงสองสามวันนี้ ยามที่ผ่านไปตามเส้นทางที่ไปดูตลาดค้าปศุสัตว์ สะดวกเมื่อไร
เราก็ลองแวะเข้าไปสอบถามราคาดู! เสาะหาราคาที่เหมาะสม ส่วนการซื้อสัตว์ในช่วงฤดูหนาว เทียบกับซื้อในฤดูใบไม้ผลิย่อมถูกกว่ากันมาก! พวกเราคงต้องเหนื่อยหนักกันสักหน่อย เพื่อดูแลพวกมันให้ผ่านฤดูหนาวไปให้ได้ !”
เหลียนฟางโจวหัวเราะออกมา
เหลียนเซ่อครั้นได้ฟังแล้ว ให้ยินดีปรีดายิ่งนัก พลางคลี่ยิ้มออกมา “พี่ใหญ่ พวกเราต้องซื้อลา และรถเกวียนด้วยใช่หรือไม่? อันที่จริงข้าก็คิดอยู่เหมือนกัน! พี่ใหญ่วางใจเถิด เมื่อถึงตอนนั้นข้าและอาเช่อจะดูแลเจ้าลาให้อย่างดี!”
“อ้อ ไม่ใช่ว่าเจ้ากลัวจะฝึกยุทธ์ล่าช้าหรอกรึ?”
เหลียนฟางโจวเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง พลางทำสีหน้าล้อเลียน แล้วคนทั้งสามคนก็หัวเราะออกมา
วันนี้เหลียนเซ่อมิได้ฝึกวรยุทธ์เลย กล่าวได้ว่าในระยะหลังๆมานี้ ถือเป็นเรื่องสำคัญประการหนึ่งเช่นกัน เพราะเขาตั้งใจฝึกวิทยายุทธ์อย่างหนัก เพื่อในภายหน้าจะได้ปกป้องพี่สาวของเขา รวมไปถึงคนในครอบครัวด้วย
“พี่ใหญ่
!” เหลียนเซ่อเกาศีรษะแกรกๆ
พลางรู้สึกเก้อเขิน
ซ้ำยังไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดี “ไม่ใช่เช่นนั้น! ข้าอยากช่วยแบ่งเบาภาระของที่บ้านด้วยกำลังของข้าเอง พวกน้องๆยังเล็กนัก ไม่ควรให้มาตรากตรำงานหนักไปด้วย !”
“ช่างเป็นน้องชายที่ดีของพี่ใหญ่จริงๆนะ !” เหลียนฟางโจวหัวเราะออกมา
ทั้งสามชีวิตต่างบรรลุถึงตัวเมืองในที่สุด
พวกเขาไปที่ร้านรับแลกเงินเป็นที่แรก เพื่อเปลี่ยนตั๋วเงิน 1,000 ตำลึงเงิน ให้แตกเป็นตั๋วเงินย่อย 7 ใบ ใบละหนึ่งร้อยตำลึง และใบละ300ตำลึงหนึ่งใบ และยังแลกเพิ่มเติมเป็นเงินสด โดยเป็นเงินเหรียญ 10 ตำลึง เป็นจำนวนทั้งหมด 50
ตำลึง ทั้งยังแลกเป็นเศษเหรียญเป็นจำนวน
10 ตำลึงเพื่อไว้ใช้พกติดตัว
เพราะว่าหมู่บ้านต้าฟางอยู่ไม่ใกลจากเมืองใหญ่มากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงหาทางติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของเมืองใหญ่โดยตรง หากพื้นที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากเมืองใหญ่มากจนเกินไป หากเพียงจัดการธุระเล็กๆน้อยๆ ก็จะไปเมืองเล็กๆที่อยู่ใกล้เคียงแทน
คนทั้งสามไปได้ยินมาว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่จัดการดูแลเมืองใหญ่
และพื้นที่โดยรอบ
ทำธุรกิจนายหน้าซื้อขายที่ดิน
มีนามว่าหลิวเจี่ย เพื่อจะไปหาเขาที่บ้าน
คนทั้งสามจึงแวะซื้อขนมติดไม้ติดมือไป 2 กล่องด้วย
หลิวเจี่ยอยู่ที่บ้านพอดี พอเห็นคนแปลกหน้า3คนมาหา ก็นึกรู้ว่าคงมาคุยเรื่องการค้าเป็นแน่ พอเห็นลูกค้าเดินเข้ามา เขาก็รีบออกไปยิ้มทักทายต้อนรับทันที “พวกท่านทั้งหลาย จะมาหาซื้อที่ดินรึ? โอ รีบเข้ามานั่งก่อนสิ !”
หลิวเจี่ยหันไปทางอาเจี่ยน
ในคนทั้งหมดสามคน มีเพียงอาเจี่ยนคนเดียวที่เป็นชายหนุ่มวัยผู้ใหญ่ เขาจึงคิดว่าอาเจี่ยนคงเป็นเจ้านายเป็นแน่
อาเจี่ยนแนะนำชื่อตนเอง แล้วถามขึ้นว่า “ข้าคิดจะดูที่ดินแถบเนินเขาสักหลายแปลง ไม่ทราบว่าท่านพอจะมีสถานที่ที่เหมาะสมแนะนำให้หรือไม่?”
เหลียนฟางโจวเอ่ยเสริมว่า “พวกเรามาจากหมู่บ้านต้าฟาง ท่านช่วยดูให้ทีว่ามีเจ้าของที่ดินแถบหมู่บ้านต้าฟาง หรือหมู่บ้านใกล้เคียงต้องการขายที่หรือไม่ !”
หลิวเจี่ยมีที่นาบอกขาย
ซึ่งมีเงื่อนไขตรงกับที่ถามมาอยู่ในมือหลายแปลง ได้ยินพวกเขาถามคล้ายว่าที่ดินเป็นดั่งสิ่งของไม่มีราคาค่างวด เขาจึงรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาโดยพลัน ความกระตือรือร้นแทบลดหายไปสิ้น อย่างที่ว่ากันว่า ขายุงมีเนื้อน้อย ไม่ต้องคิดเลยว่าจะทำประโยชน์อันใดได้ ทว่าใบหน้าเขายังคงยิ้มแย้มไม่แปรเปลี่ยน “ขอข้าตรวจดูในสมุดบันทึกก่อนนะ ไม่ทราบว่าพวกเจ้าต้องการซื้อที่ดินสักเท่าไรล่ะ?”
เขาพูดออกไป ขณะที่กำลังเข้าไปยังห้องด้านหลังเพื่อไปหยิบสมุดดังกล่าว
เหลียนฟางโจวแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“ประมาณ2,000 มู่ (ราว 833 ไร่) !”
“เท่าไดนะ!” หลิวเจี่ยตะโกนออกมาจากห้องด้านหลัง พอได้ยินแล้วดวงตาเขาพลันเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะมาหาซื้อที่ดินมากมายขนาดนี้?
“สองพันมู่
ท่านช่วยตรวจดูว่ามีพร้อมขายในมือหรือไม่? หากไม่ ก็ช่วยแนะนำแหล่งข้อมูลให้เราสักหน่อยเถิด?” ประโยคที่เหลียนฟางโจวกล่าวนั้นแจ่มชัดมาก แทงทะลุเข้าสู่โสตประสาทของหลิวเจี่ย
หลิวเจี่ยซวนเซไปชั่วขณะ
แล้วมองอย่างขอความเห็นชอบไปที่อาเจี่ยนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“รายละเอียดต่างๆ
ก็ตามที่แม่นางเหลียนได้บอกกับท่านไปแล้วนั่นแหละ!” อาเจี่ยนส่งยิ้มให้หลิวเจี่ย เรื่องทั้งหลายทั้งแหล่เกี่ยวกับการเกษตร เป็นสิ่งที่ชายหนุ่มไม่ใคร่รู้เอาเสียเลย
“เรื่องนี้.....” หลิวเจี่ยขยับริมฝีปาก ตบหัวตัวเองบังคับให้นั่งลง พลางยิ้ม และเอ่ยว่า “ตั้งแต่ข้าเกิดมาจนโตป่านนี้ ข้าไม่เคยพานพบเรื่องเช่นนี้มาก่อนเลยจริงๆ ! พวกท่านต้องการที่ดินเป็นอันมาก ข้าเกรงว่าไม่รู้ว่าจะมีพอขายให้หรือไม่?”
หลิวเจี่ยตรวจดูบันทึกในสมุดอย่างถี่ถ้วน พลันดวงตาทอประกายเจิดจ้า พลางยิ้มกว้างแล้วเอ่ยว่า “นี่..คิดไม่ถึงเลยว่า พอดูไปดูมา เนื้อที่ของที่ดินน่าจะพอกล้อมแกล้มกับที่พวกท่านต้องการอยู่นะ!”
ว่าแล้วก็กวักมือเป็นสัญญาณให้เหลียนฟางโจวและพรรคพวกมองไปที่สมุดตรงหน้า
หลิวเจี่ยยกมือขึ้นชี้แล้วเอ่ยว่า “ตรงแถวนี้ในหมู่บ้านต้าฟางของพวกท่าน เศรษฐีสกุลหวางไม่ใคร่ชอบทำการเพาะปลูก
ทั้งยังประสบปัญหาบางประการ จึงกำลังคิดจะบอกขายที่นาอยู่พอดี พื้นที่ทั้งหมดราว 160 มู่ (ราว 67 ไร่) อยู่
ไม่ไกลจากที่นี่ ส่วนนี่คือหมู่บ้านหยางเจีย เจ้าที่ดินสกุลหยาง
มีที่ดินกว้างใหญ่ไพศาลราว 380 มู่ (ราว 158 ไร่)
บุตรชายของสกุลต้องการเงินทุนก้อนใหญ่มาทำการค้าอย่างเร่งด่วน จึงบอกขายที่นาเป็นจำนวนมาก ที่ดินส่วนที่เป็นของเขาเองนับว่าผืนใหญ่โตมาก เนื้อที่ราว 280 มู่ (ราว 117 ไร่) แบ่งให้ภรรยาทั้งสี่ หากท่านสนใจพื้นที่บางส่วน ก็สามารถไปเจรจากับพวกเขาเพื่อขอซื้อ
หรือขอแลกเปลี่ยนที่ก็ได้ แน่นอน ให้ราคายุติธรรม ข้าเกรงว่าคงต้องขอส่วนต่างค่านายหน้าบ้าง ส่วนที่เหลือนอกจากนี้ มีเนื้อที่ราว 600 มู่(250
ไร่) ที่ข้าแนะนำมาให้นี่ ไม่มีพื้นที่เสื่อมโทรมเลย หากต้องการซื้อ ก็ไปเสียค่าธรรมเนียมขออนุญาติครอบครองที่ดินในหมู่บ้านมาก่อน
แล้วก็ค่อยมาจ่ายเงินค่าที่ดินโดยยึดราคากลางกับเจ้าหน้าที่ของทางการอีกที แน่นอน..มีสิ่งจูงใจให้ด้วย นั่นคือในสามปีแรกพวกท่านจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องจ่ายภาษี ที่ข้าคิดคำนวณที่ดินให้มาจนถึงตอนนี้ ก็คิดเป็นนื้อที่ทั้งหมด 1,500 มู่ (625 ไร่)แล้ว!”
---------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ ^-^
ซื้อที่ดินแล้วหวังว่าคงไม่มีปัญหาอีกนะ เกิดเป็นนางเอกชีวิตช่างมีแต่คนเอาเปรียบ รีบมาตาอไวๆนะคะไรท์ ติดตามตลอดเลยค่ะ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ
ตอบลบอ่านแล้วตื่นเต้นกับว่าที่เศรษฐีนีฟางโจวจังเลยค่ะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ ขอส่งกำลังใจให้ผู้แปลค่ะ
ตอบลบลุ้นไปกับฟางโจวจริงๆ เราชอบตอนนางปลูกผักทำเศรษฐกิจมากกว่าตอนมีคนมาหาเรื่องแล้วนางเอาคืนอีก
ตอบลบตื่นเต้นๆเกษตรใหม่เริ่มจะพร้อมแล้ว รอซื้อที่ดินได้ก็ลงมือเพาะปลูกได้ละ
ตอบลบลุ้นไปกับนางเอก ว่าจะสามารถพลิกผืนดินเกษตรได้อย่างไร
ตอบลบอ่านไปแล้วอดคิดไม่ได้ว่าที่ดินมากมายขนาดนั้นนางเอกเอามาปลูกฝ้ายผลผลิตที่ออกมาคงมากมายมหาศาลอ่ะ///แล้วลุงกับป้าถ้ารู้ว่านางเอกมีเงินซื้อที่ดินมากมายคงอิจฉาแทบกระอักเลือดแน่เลย
ตอบลบขอบคุณครับ
ตอบลบเยอะมาก...เป็นเจ้าแม่ที่ดินแถบนั้นเลย
ตอบลบอ่านแล้วลุ้นมากเลย
ตอบลบโห...คิดถึงมันฝรั่งกองเป็นภูเขา
ตอบลบสนุกมากค่ะ ขอบคุณที่แปลให้อ่าน
ตอบลบหาที่ดินปลูกมันฝรั่งสินะ คิดถึงในสารคดีเลยค่ะ ระรานตาๆๆ แต่ที่บ้านมีคนกันแค่นี้ ไหวไหมเนี่ย
ตอบลบจะราบรื่นมั้ยนะ
ตอบลบ