วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 109 ตามตื๊อจนเกิดเรื่อง

             “ฟางโจว!”  ดวงตาหยางหวายชานเรืองวาบ  ไม่สนใจป้าสามและคนอื่นๆอีกต่อไป  ชายหนุ่มหมุนตัว  รีบสืบเท้าเข้ามาหาเหลียนฟางโจว   แต่พอเห็นอาเจี่ยนยืนอยู่ข้างกายหญิงสาว  เท้าทั้งสองจึงหยุดชะงัก  สีหน้าชายหนุ่มอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด  พลางหลุบตาลงต่ำเพื่อซ่อนความเศร้าหมองและเจ็บปวด  พลางเอ่ยว่า “เจ้า..”  แล้วเงียบเสียงไปอีก
        เหลียนฟางโจว เห็นดวงตาของอดีตคู่หมั้นตรงหน้าหม่นเศร้าจนเกือบรวดร้าว   ให้สงสัยว่าเขาทำสายตาเยี่ยงนี้ ,มันหมายความว่ากระไร!

             หญิงสาวนึกยิ้มเยาะในใจ  โชคดีที่บ้านเขามิใช่พวกผู้มีอิทธิพล  หาไม่แล้ว  เกรงว่าจะยิ่งตามตื๊อไม่เลิก  จะมาล่อลวงให้เธอไปใช้ชีวิตเสพย์สุขแบบเรื่องคนจากฉีสินะ[1] ”!
                  หยางหวายชานเอื้อนเอ่ย “เจ้า”  ได้เพียงคำเดียวและไม่มีเสียงอื่นใดเล็ดรอดมาอีก  เป็นไปได้ว่าเพราะเขารู้สึกเจ็บปวดทุกข์ใจจนพูดต่อไม่ไหว  หรือไม่ก็เพราะเหลียนฟางโจวเอ่ยตัดบทขึ้นพอดี  
             ใบหน้าเหลียนฟางโจวบึ้งตึง  สบตาเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ  พลางเอ่ยว่า “ท่านมาบ้านข้าทำอะไรและโปรดใช้คำเรียกขานข้าให้ถูกต้องด้วย!  เวลาเอ่ยนามข้า ช่วยให้เกียรติสักนิด!”
             หากคนที่พูดอยู่ตรงหน้าหยางหวายชาน  คือเหลียนฟางโจวคนก่อน  นางอาจยังมีความรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดให้กับเขาอยู่บ้าง   แต่ยามนี้เหลียนฟางโจวคนเหลือเพียงความความขุ่นเคืองให้เขาเท่านั้น!
             หยางหวายชาน...เขาไม่มีสมองหรือไร?   อย่าบอกนะว่าเขาไม่รู้จักแยกแยะผิดถูก  เขาพาภรรยาหมาดๆ  ที่ชื่อซานเฉากลับมาเยี่ยมบ้านฝ่ายหญิงเป็นครั้งแรกหลังแต่งงาน  ทว่ากลับแอบดอดหนีมาหาอดีตคู่หมั้นซะงั้น  แค่เรื่องนี้ก็ร้ายแรงพอให้เธอ เหลียนฟางโจวไม่กล้าสู้หน้าผู้คนในหมู่บ้านได้แล้ว!
             เขาเป็นบุรุษ ย่อมไม่กลัวคำครหา  ทว่าผู้คนจะติฉินนินทาเธอ  เหลียนฟางโจว ว่าเป็นฝ่าย  ไปยั่วยวนอดีตคู่หมั้นอย่างไร้ยางอาย  มิหนำซ้ำเขามาหาเธอเช่นนี้  แล้วเอาภรรยาตัวเองไปไว้ที่ไหนเล่า?
             “แม่นางเหลียน”  หยางหวายชานรู้สึกขมฝาดในปาก  ยากนักกว่าจะหลุดคำ 3 คำนี้ออกมา  เมื่อเห็นใบหน้าเย็นชาของเหลียนฟางโจว  ใจเขาพลันโศกเศร้า  เสียใจ  น้อยใจ และหมดอาลัยตายอยาก  ความรู้สึกเจ็บปวดทุกรูปแบบถั่งโถมเข้ามา  พาให้ จิตใจร้อนรุ่ม  อดรำพันออกมาไม่ได้ “ข้าขอโทษ  ข้าเสียใจ  จริงๆแล้ว ข้าลำบากใจนัก...”
                  เหลียนฟางโจวพอฟังยังไม่ทันจบประโยคสุดท้ายดี  ก็สติขาดผึง  เอ่ยเสียงกระด้างสอดขึ้น “เรื่องนี้ข้าหาได้ใส่ใจไม่!  บ้านข้าไม่ยินดีต้อนรับท่าน  โปรดไปเสียทันที  เดี๋ยวนี้!  มิเช่นนั้น  อย่าหาว่าเราไร้มรรยาท!
                  เหลียนเซ่อ เหลียนฟางฉิง เหลียนเช่อต่างจ้องหยางหวายชาน  ประหนึ่งพยัคฆ์จ้องเหยื่อของมัน  ทั้งสามคอยท่าอยู่แล้ว  หากเหลียนฟางโจวออกคำสั่งมาเมื่อใด  พวกเขาจะกระโจนเข้าไปไล่หยางหวายชานให้ออกไปทันที  
                  หยางหวายชานเมื่อเจอกับเหลียนเซ่อและน้องๆที่จับจ้องเขาตาไม่กระพริบเช่นนี้   ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี   ตัวเขามิคาดหวังว่าฟางโจวจะให้อภัย  ทว่าเขาก็มิอาจขัดคำสั่งบิดามารดาได้  เขายังมีหนทางอันใดอีกหรือ?   ไฉนนางและพวกน้องๆจึงทำกับเขาเช่นนี้เล่า?
             ไยพวกนางถึงไม่เข้าใจหัวอกเขาบ้าง?
             เรื่องทั้งหลายมาไกลเกินจะหวนกลับแล้ว  เขาเองรู้ดีว่าไม่อาจอยู่เคียงข้างนางได้  ทว่านางต้องเลี้ยงดูน้องๆเพียงลำพัง  ไร้ที่พึ่งพิง   ได้รับความลำบากนานับประการ  เขายังคงสามารถช่วยเหลือนางได้ อา!   เพียงแค่นางเอ่ยมาคำเดียว  หรือต่อให้นางไม่เอื้อนเอ่ยอันใด  ตราบใดที่นางไม่ปฏิเสธ  เขาจะช่วยเหลือนางเอง! 
             ยามนี้เขาสามารถทำเพื่อนางได้แล้ว  เพียงวิธีนี้  มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น  ที่ทำให้ใจเขารู้สึกดีขึ้นได้
                  “ท่านไม่ได้ยินที่พี่ใหญ่ข้าบอกหรือ? `ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ !  ไม่บ่อยนักที่เหลียนเซ่อจะถลึงตาใส่คน แล้วด่าว่าด้วยคำพูดหยาบๆคายๆ
        “ข้าไปแน่  ขอข้าพูดให้จบ แล้วข้าจะไปทันที!หยางหวายชานรู้สึกหม่นหมอง  ถอนหายใจหนักหน่วง  เอ่ยกับเหลียนฟางโจวอย่างเป็นห่วงนักว่า “ข้าได้ยินมาว่าเมื่อสองวันก่อนเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า  เจ้า..”
             “ไม่ใช่เรื่องอะไรของท่าน โปรดกลับไป!”  เหลียนฟางโจวพลันรำคาญ  ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไป  สีหน้าเย็นเยียบประกาศก้อง “เราสกุลเหลียน  หาได้มีอันใดข้องเกี่ยวกับสกุลหยาง   ขอให้ท่านเลิกยุ่งเกี่ยวกับพวกข้าเสีย  ในภายภาคหน้า เรื่องของบ้านข้า  อย่าได้มาสอบถามอีก!”
             “เห็นเจ้าสุขสบายดี  ข้าก็วางใจแล้ว!”  หยางหวายชานพรูลมหายใจ พลางเอ่ยว่า “ต่อไปเจ้าจงระวังตัวให้มากขึ้น  เจ้า...จงดูแลตัวเองให้ดี   ข้าไปก่อนนะ!”
             เดิมทีหยางหวายชานอยากจะกล่าวอะไรอีกสองสามคำ  แต่พอเห็นเหลียนฟางโจวมีสีหน้าบอกบุญไม่รับขึ้นเรื่อยๆ   ใบหน้าดำทมึน  จวนเจียนจะระเบิดโทสะออกมาอยู่รอมร่อแล้ว  เขาจึงหยุดความคิดนั้นเสีย  แล้วสาวเท้าจากไป
                  “อาเซ่อ ปิดประตูเสีย!”  เหลียนฟางโจวไม่แม้แต่จะเหลือบแลหยางหวายชาย  เธอเดินจ้ำพรวดเข้าเรือนไป พลางร้องตะโกนสั่งดังลั่น  
             เหลียนเซ่อขานรับเสียงดัง  หยางหวายชานผ่านลานบ้านแล้ว  เพิ่งจะก้าวพ้นธรณีประตูไป  เหลียนเซ่อรีบปิดประตูตามหลังดังปังทันที  เกิดลมสายหนึ่งปัดผ่านท้ายทอยหยางหวายชาน  พาให้หนังศีรษะเขาเย็นวาบ
             หยางหวายชานประหนึ่งวิญญาณหลุดจากร่าง  ยืนตะลึงนิ่งขึงอยู่ตรงนั้น  เหลียวหลังไปหัวเราะขื่นขม  พลางพรั่งพรูลมหายใจออกมา
             ยามนี้ฟางโจวคงเอาแต่ต่อว่าเขา ตำหนิเขาที่ทอดทิ้งนางไป  เขารู้ดี
             ทว่าเขาเสียใจจริงๆนะ!
             ฝ่ายเหลียนฟางโจวยามนี้อยู่ในเรือนแล้ว เธอ รินน้ำชา ดื่มสองถ้วยติดๆกัน  โทสะที่คุกกรุ่นอยู่  หาได้สงบลงไม่
        เธอโกรธจนมือที่กำถ้วยชาอยู่นั้นสั่นน้อยๆ
        หญิงสาวทั้งโมโหทั้งขุ่นเคือง พาให้รู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่งนัก!
                  ดวงตาอาเจี่ยนเข้มลึก  ยามชำเลืองมองหญิงสาว  ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอันใด  เรื่องเกี่ยวกับหยางหวายชานนั้น  เขาไม่รู้มากนัก   หญิงสาวไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับเขาสักคำ  เขาจึงไม่มีสิทธิ์อันใดที่จะพูดพาดพิงได้
             “พี่ใหญ่!  ข้าไล่คนน่ารังเกียจพรรค์นั้นไปแล้วนะ!” เหลียนเซ่อกลับมา พลางร้องเพ้ย
                  “เจ้านั่นยังกล้าเสนอหน้ามาที่บ้านเราอีก!  มันน่าโมโหนัก! “  ป้าสามเอ่ย ร้องเพ้ยอีกคน  
             “ไม่น่าเชื่อ  ใต้หล้านี้  ยังมีคนเยี่ยงนี้อยู่อีก! “ เหลียนฟางโจวฉุนกึก  พลางเอ่ยว่า “หากครั้งหน้าเขากล้ามาอีก  พวกท่านไม่ต้องเกรงใจ  เอาไม้กวาดไล่เขาไปเลย!”
             ดีเลย!ป้าสามตบเข่าฉาด เอ่ยว่า “อันที่จริงข้าก็ว่าจะทำเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน  แต่กะว่าจะมาถามเจ้าดูก่อน!”
             เหลียนเซ่อเอ่ยสนับสนุน “กับคนเยี่ยงนั้น   พวกเราไม่จำเป็นต้องไว้หน้าหรอก!
             “พี่ใหญ่พี่ใหญ่!”  มีเสียงพูดดังขึ้นมาก่อนตัว  ครั้นแล้วจึงเห็นเหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อวิ่งหน้าตั้งจากข้างนอกเข้ามาในเรือน  ทั้งสองคนต่างเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า  แม่ยายกับลูกสะใภ้สกุลหัวมายืนตะโกนด่าที่หน้าประตูบ้าน !   ซ้ำหัวเสี่ยวฮวา...ภรรยาหมาดๆของหยางหวายชานกำลังหยิกข่วนทำร้าย  ฟูมฟายด่าว่าสามีอยู่ที่หน้าประตูรั้วด้วย
                  “นี่มันวันซวยอะไรกันเนี่ย เป็นเพราะเจ้าคนแซ่หยาง  ดันทำตัวเป็นกอเอี๊ยะติดหนึบ  มาตามตื๊อถึงที่แท้ๆ  เราไม่เคยไประรานพวกนาง   พวกนางมีสิทธิ์อะไรมาด่าว่าเราถึงหน้าบ้าน! “  ป้าสามถลึงตาใส่  เตรียมบึ่งออกไปสังเกตุการณ์พวกนั้นที่ด้านนอก
                  เหลียนฟางโจวดึงตัวป้าสามไว้ รีบเอ่ยว่า “อย่ารีบร้อนออกไป  อย่าไปสนใจพวกนั้น!”
                  เจอแม่ยายกับสะใภ้สกุลหัว รวมทั้งสะใภ้ใหม่ของสกุลหยางมายืนด่าทอถึงหน้าบ้าน  เหลียนฟางโจวไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย  เมื่อใดก็ตามที่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในหมู่บ้านนี้  คนที่ชอบเรื่องซุบซิบนินทาอยู่แล้ว  ก็พากันพูดปากต่อปาก  ไม่ว่าใครจะทำอะไรอยู่ที่ไหน  ล้วนไม่มีทางพลาดข่าวแน่   หยางหวายชานคิดว่าเรื่องที่เขาแวบหายไป  จะปกปิดผู้หญิงสกุลหัวได้พ้นหรือสตรีสกุลหัวย่อมรู้แน่   จะไม่มาตะโกนสาปแช่งเธอถึงหน้าประตูบ้านได้อย่างไร?  
        สะใภ้ใหม่ของสกุลหยางผู้นั้น  หากนางยังปล่อยสามีให้มาตามตื๊อเธอไม่เลิกล่ะก็  เหลียนฟางโจวย่อมต้องเป็นฝ่ายดูถูกนาง   เพราะคนที่จะกลายเป็นผู้ที่โดนสาดโคลนมากที่สุดก็คือตัวเธอนั่นเอง  
                  “พี่ใหญ่  อย่าบอกนะว่า  เราจะปล่อยให้พวกนางด่าทอเราฝ่ายเดียว!”  มีคนเป็นอันมากย่องเงียบมายืนออฟังกันหลังประตูรั้วบ้านสกุลเหลียน   พอรู้ถึงหูเหลียนเซ่อ  เด็กหนุ่มถึงกับควันออกหู   เห็นได้ชัดว่าด้านนอก  มีคนเป็นอันมากต่างพากันมายืนชมฉากโกลาหล  ที่หน้าบ้านสกุลเหลียนกันอย่างสนุกสนาน!
                  ใบหน้าเหลียนฟางโจวบึ้งตึงนัก   แม่ยายและลูกสะใภ้สกุลหัวนั้น  เดิมทีก็เป็นคนปากคอเราะร้ายอยู่แล้ว  ย่อมไม่สามารถกล่าวถ้อยคำดีๆออกมาได้แน่   ยิ่งยามนี้คิดว่าพวกตนเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ   ทั้งอับอายและเจ็บแค้น  วาจาที่ออกมาจะยังน่าฟังได้หรือ?
                  แม่เฒ่าสกุลหัว และหลิวสือ ต่างพากันตะโกนด่าทออยู่เป็นนานสองนาน  อีกด้านหนึ่ง  ชาวบ้านมากมายต่างยืนชี้มือชี้ไม้ชมดูฉากตรงหน้ากันอย่างสนุกสนาน  อย่างไรก็ตามประตูรั้วบ้านสกุลเหลียนกลับปิดอยู่อย่างนั้น   ทำให้แม่ยายและลูกสะใภ้ทั้งสองคนต่างเริ่มอับอายขึ้นมาบ้างแล้ว
      **   
[1] ปัจจุบันนี้ หมายถึง ชีวิตที่ฟู่ฟ่าหรูหราของสามีมากภรรยา รวมถึงอนุภรรยาด้วย
        มีเรื่องเล่าว่า คนจากฉี มีภรรยาและอนุภรรยาอย่างละคน  ทุกครั้งที่สามีออกจากบ้าน  จะหอบหิ้วอาหารและสุรามากมายกลับมาบ้าน  ภรรยาถามเขาว่าไปสังสรรค์กับคนพวกไหนมา  ดูจากอาหารที่นำกลับมาน่าจะเป็นพวกเศรษฐีมีเงิน  ภรรยาได้คุยกับอนุภรรยาว่า “สามีเราออกไปนอกบ้าน  มักเอาอาหารและสุราดีๆกลับมาบ่อยๆ  ดูท่าว่าเขาน่าจะไปสังสรรค์กับพวกเศรษฐี  แต่ไม่เคยเห็นคนร่ำรวยมาหาเขาที่บ้านเลยสักคน  ข้าเลยจะออกไปดูสิว่า เขาไปไหนกันแน่” 
      วันรุ่งขึ้น  นางได้แอบตามหลังสามีไป  นางได้เข้าไปในเมือง ไม่เห็นมีใครที่เข้าข่ายตามที่สามีพูดสักคน  ลงท้ายนางจึงไปแถวสุสานนอกเมือง  และเห็นสามี เอาของมาเซ่นไหว้ที่หลุมศพมากิน  หากไม่พอก็ขอทานเพิ่ม

      ภรรยากลับมาบ้านได้บอกอนุภรรยาว่า “สามีที่พวกเราฝากชีวิตไว้นั้น  โฉมหน้าที่แท้จริงไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นนะ”  ทั้งสองจึงต่างพากันก่นด่า ร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจ  ฝ่ายสามีพอกลับถึงบ้าน ก็ไม่รู้ว่าความลับได้ถูกเปิดเผยแล้ว  ยังคงประพฤติตัวต่อหน้าบรรดาภรรยาอย่างภาคภูมิใจเหมือนเคย
     -------------------------------------------------------------------------
   ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ
    นางเอกของเรามีอุปสรรคมาขัดขวางอีกแล้ว  คราวนี้ต้องแก้ปัญหา  ไหน้ำส้มตกใส่โครมใหญ่เพราะสามีชาวบ้านไปอีก 5 ตอน  กว่าจะได้ดำเนินธุรกิจต่อไป ^-^




9 ความคิดเห็น:

  1. เหมือนคนไม่มรหัวคิดอะนายคนนี้
    ถ้าทำแล้วสามารถแก้ปัญหา พูดแทนได้ก็ว่าไปอย่าง
    นี่อะไร ยืนบื้อปล่อยให้แม่+สะไภ้ ยืนว่านางเอกอยู่ได้

    ตอบลบ
  2. ถ้ารักนางเอกจริงๆน่าจะคิดมากกว่านี้หน่อย ไม่ไหวเลยผู้ชายคนนี้
    เฮ่อ
    เมื่อวานเจอลุงป้า วันนี้เจอคู่มั่น พรุ่งนี้เจอะอะไรน้อ

    ตอบลบ
  3. ซื่อบื้อหาเรื่องเดือดร้อนให้ชาวบ้านอีกแล้วตัวเองยังรับผิดชอบชีวิตตัวเองไม่ได้เลย

    ตอบลบ
  4. เป็นเรานี่เหนื่อยตายเลยเจออะไรบั่นทอนจิตใจติดๆกันหลายวันเนี่ย เห้อมมมม

    ตอบลบ
  5. นางเอกนี้มีแต่เรื่องวิ่งเข้าหานะคะ

    ตอบลบ
  6. แต่ละคนทั้งลุงป้า
    ทั้งคู่หมั้นเก่า

    ตอบลบ
  7. ขอบคุณนะคะที่แปลให้อ่าน

    ตอบลบ
  8. โอ้ม่ายก๊อด..ต้องทนทรมานกับพวกสกุลหัวและหยางอีกแล้วทำไมไม่ผูกไอ้หยางหวายชานให้ดีๆปล่อยให้วิ่งแร่มาทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านได้

    ตอบลบ
  9. อดีตคู่หมั้นนางเอกนี่ ขี้มโนจังอ่ะ 55555555

    ตอบลบ