วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 108 บุกเบิกที่ดิน (2)

                “ท่านมาได้อย่างไร!” เหลียนฟางโจวยกมือจัดผมที่ปลิวสยายให้เข้าที่  ร้องทักชายหนุ่มด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
                  อาเจี่ยนสาวเท้ายาวๆมาอยู่ตรงหน้าเธอ ยิ้มตอบ “ป้าสามให้ข้ามา  เอ่อ..อันที่จริง ก็ไม่มีเรื่องอันใดหรอก ข้าแค่มาดูท่านเฉยๆ!”  
             เหลียนฟางโจวพลันเข้าใจความกังวลไม่เข้าเรื่องของป้าสาม   คนบางคนหากเคยโดนงูกัดสักครั้ง  ต่อให้ผ่านไปเป็น 10 ปี  แค่เห็นเชือกก็กลัวแล้ว!

             ป้าสาม นางขี้ระแวงเกินไปแล้ว!”  เหลียนฟางโจวยิ้ม
             อาเจี่ยนเอ่ยว่า “การรู้จักหวาดระแวงหาใช่เรื่องเสียหายไม่   ข้าเองก็มีคำพูดในใจที่ไม่ควรเอ่ยออกมา   ต่อให้ข้าเป็นคนแบบเดียวกับนาง  ข้าก็คงไม่รู้จะพูดอย่างไรดี  !”
             ตัวเขาเองก็มีถ้อยวาจาที่อยากจะเตือน  แต่พอถึงคราต้องพูดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมา  ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี  เหลียนฟางโจวอดหัวเราะด้วยความขบขันไม่ได้  พลางเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าพวกเขาจะร้ายกาจแค่ไหน  ตอนกลางวันแสกๆเช่นนี้  พวกเขาคงไม่กล้าลงมือหรอก!  เอ่อ..ท่านเห็นว่าที่ดินผืนนี้เป็นเช่นไร?
             อาเจี่ยนมีสายตาไม่เหมือนใคร   มักมีท่าทีเฉื่อยชากับสิ่งรอบตัว  แต่กลับเป็นมันสมองสำคัญของเธอ   เดิมทีเธอกำลังคิดหาหนทางมากมาย  เพื่อเริ่มต้นกับที่ดินผืนนี้แต่ยังคิดไม่ออก  เหลียนฟางโจวดูเหมือนเคยตัวเสียแล้ว   ที่เอะอะอะไรก็ถามเอากับอาเจี่ยน                                              อาเจี่ยนมองตามสายตาของหญิงสาว  กวาดตามองไปรอบๆ  พลางครุ่นคิดสักครู่หนึ่ง  แล้วถามตามการคาดเดาว่า “ท่านกำลังวางแผนจะซื้อที่ดินผืนนี้   เพื่อสร้างโรงเก็บผลผลิต และของอื่นๆ  ใช่หรือไม่?
             เหลียนฟางโจวพลันร่าเริงขึ้น  เอ่ยด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม “ใช่  อา ท่านรู้ได้อย่างไร!  ท่านว่าที่นี่ไม่เหมาะหรอกหรือ?
                  อาเจี่ยนหัวเราะ “ก็ปลูกฝ้ายจำนวนมหาศาลเพียงนั้น  ยามเก็บเกี่ยวย่อมต้องการพื้นที่เพื่อเก็บผลผลิต   เรื่องนี้คาดเดาไม่ยากหรอก  ที่นี่อยู่ติดถนน  อีกทั้งอยู่ใกล้ตัวหมู่บ้าน ส่วนด้านหลังติดเขา  พื้นที่เป็นที่ดอน  หน้าดินส่วนใหญ่ราบเรียบเสมอกัน  เนื้อที่ก็มีกว้างขวางพอ  ข้าจึงเห็นว่าน่าจะเป็นไปได้!” 
             ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน!” เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากจะทำขึ้นมา  ยามนี้ข้าอยากซื้อที่ดินผืนนี้เก็บเอาไว้  เพื่อปลูกสร้างอาคารขึ้นที่นี่!  หวังว่าพอผ่านไปสักหลายปีคงเสร็จสมบูรณ์!  หรือไม่ก็ไปเริ่มเอาหลังฤดูใบไม้ผลิ   เพราะเรายังมีงานที่ต้องจัดการมากมายนัก!   อีกทั้งยังเป็นฤดูไถหว่าน  ทุกครัวเรือนล้วนงานยุ่ง   คนงานทุกคนล้วนมีงานล้นมือ!”
             เหลียนฟางโจวพอเอ่ยเสร็จ  ก็พรั่งพรูลมหายใจออกมา
             อาเจี่ยนสบตาเธอ และรู้ดีว่าเหตุใดเธอถึงถอนหายใจ 
        ยามนี้หญิงสาวมีเงินในมือพร้อมแล้ว  ทว่ากลับมีคนไม่พอ  ที่ดินผืนนี้เหมาะจะก่อสร้างอาคารจริงๆ   ต้องมีคนของเธอที่เป็นงานไปคอยดูแล  คอยคุมคนทำงานและรายงานความคืบหน้าให้  หากเป็นเช่นนั้นจริง  เธอคงต้องคิดทบทวนเรื่องจ้างคนที่ซื่อสัตย์ไว้ใจได้มาช่วยเสียแล้ว   ซึ่งก็ต้องทำใจยอมรับความเสี่ยงและความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นด้วย
        อาเจี่ยนเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย “การบุกเบิกที่ดินตรงโน้น  นับว่ามีคนพอแล้ว   หากงานตรงโน้นทำเสร็จ  น่าจะพอมีเวลาเหลือ   หากท่านอยากปลูกสร้างอาคารขึ้นที่นี่จริงๆ  ถึงตอนนั้นก็ค่อยเริ่มทำ   โดยเร่งมือก่อสร้างให้เร็วกว่าปกติสักหน่อย  แล้วมาคอยตรวจงานวันละ 2 ครั้งก็น่าจะพอ!  เราน่าจะจัดการให้สำเร็จลงได้!  อย่างไร  หากเป็นไปได้  ควรซื้อคนที่ขยันสู้งานหนัก  และเรียกใช้ง่ายไว้สัก 2-3 คนเพื่อเป็นผู้ช่วย  เพราะการจัดการดูแลไร่ฝ้ายเนื้อที่มหาศาลขนาด2,000 หมู่  ให้ราบรื่นโดยสะดวกนั้น  หาใช่เรื่องง่ายไม่!”-
                  เหลียนฟางโจวพยักหน้า  การดูแลไร่ฝ่ายมิใช่งานง่ายๆ โดยเฉพาะบนผืนดินที่เพิ่งบุกเบิกขึ้นมาใหม่   พวกวัชพืชก็ไม่รู้ว่ามันจะอาละวาดขึ้นมาเมื่อใด  แค่วัชพืชอย่างเดียวก็สร้างปัญหามากพอแล้ว!   เวลา 1 เดือน เกรงว่าจะไม่พอ อาจต้องใช้เกือบ 2 เดือนเลยก็ว่าได้ 
             อย่างไรก็ดี  เมื่อได้ฟังอาเจี่ยนวิเคราะห์แล้ว  หัวใจของเหลียนฟางโจวพลันเหมือนยกภูเขาออกจากอก  ครั้นแล้วจึงหัวเราะเบาๆ “ได้ฟังท่านเอ่ยเช่นนี้  ข้าก็มีกำลังใจมากขึ้นทุกวันนี้ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่าน  ถ้าไม่ได้ท่านแล้ว  ตัวข้าและอาเซ่อ ไม่รู้จะแก้ไขเรื่องยุ่งๆให้ลุล่วงไปได้อย่างไรดี”
             เหลียนฟางโจวพรูลมหายใจและเอ่ยว่า “ข้าขอบคุณท่านจริงๆตั้งแต่วันท่านมาอยู่กับเรา   มิคาดคิดเลยว่า   กลับเป็นพวกเราเองที่เป็นฝ่ายเบียดเบียนท่าน   ดึงท่านเข้ามาช่วยเหลือทุกอย่าง!”
             ไม่ว่าอย่างไร  หากต้องไปติดต่อการค้าเกี่ยวข้องหลิวเจี่ยหรือจ้าวลิ่ว  หรือในภายหน้าจะต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนมากขึ้น  เหลียนฟางโจวตะหนักได้แจ่มแจ้งว่า  การมีอาเจี่ยนอยู่  กับการไม่มีอาเจี่ยนนั้น  ย่อมให้ผลแตกต่างกัน
             ทั้งหมดทั้งมวล ก็เพราะอาเจี่ยน ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว  เวลาไปติดต่อกิจธุระคราใด  อาเจี่ยนจะยืนเป็นเสาหลักอยู่ที่นั่น   ทั่วทั้งร่างของชายหนุ่มแผ่รังสีความสงบน่าเชื่อถือที่มากล้นออกมา  ซึ่งผู้คนไม่อาจละเลยได้  หากเขาไม่ร่วมทางมากับเธอ  เธอซึ่งอยู่ในร่างของเด็กสาวเยาว์วัย  ต่อให้หอบตั๋วเงินมามากมายก็ตาม  เมื่อเจอกันครั้งแรกใครจะให้ความสนใจเธอกันเล่า?
                  ถ้อยวาจาที่กล่าวออกมาก็คล้ายว่าเป็นเรื่องเล่นๆ   ล้วนไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
                  “ท่านพูดเกินจริงแล้ว! อาเจี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ท่านยอมให้ข้าอาศัยอยู่ด้วย  ข้าเองจดจำไว้ในใจเสมอ  แต่ไยท่านจึงพูดจากลับตาลปัตรเล่า! 
                  เหลียนฟางโจวหลุดหัวเราะกิ๊ก  โบกไม้โบกมือ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “เอาล่ะๆ หลังจากนี้เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว!   ท่านกล่าวว่า  ที่ดินผืนนี้น่าจะสร้างโรงเก็บผลผลิตขึ้น  ถ้าเทียบดูแล้ว  ข้าควรวางแผนสร้างอาคารขึ้นตรงตำแหน่งใดดีล่ะ...?”     เหลียนฟางโจวเป็นคนต้นคิดและวางแผนคิดคำนวณ   ไม่ว่ามีเรื่องใดล้วนบอกให้เขารับรู้   แล้วสอบถามความเห็นของชายหนุ่ม  อาเจี่ยนคิดตรึกตรอง  บางครั้งก็ถามเธอกลับ  เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุน คนทั้งสองต่างปรึกษาหารืออย่างเป็นการเป็นงานโดยรวดเร็ว
                  “ล่วงเข้ายามสายแล้ว  พวกเรากลับกันก่อนเถิด  ข้าคิดว่าเรื่องนี้  ก่อนอื่นควรบอกกล่าวกับคนที่บ้านให้รับรู้ก่อน  หากหารือกันแล้วเห็นพ้องต้องกันหมด  ก็กินมื้อกลางวันให้เสร็จ  แล้วเข้าเมืองไปคุยกับน้าหลิว  ให้เขาช่วยติดต่อให้ทางการออกโฉนดที่ดินให้!  พรุ่งนี้เช้าตรู่ก็ต้องไปที่จุดนัดหมายของที่ดินที่ซื้อไว้แล้ว  เพื่อเริ่มงานบุกเบิกอีก  แล้วไหนจะต้องเข้าเมืองไปซื้อข้าวของอีกหลายรายการด้วย! เหลียนฟางโจวพูดด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม  
        อาเจี่ยนย่อมไม่มีข้อคัดค้านอันใด   ชายหนุ่มพยักหน้าพลางหัวเราะเบาๆ “ยามนี้ที่บ้านมีรถเทียมลาแล้ว  คงสะดวกมากขึ้นละทีนี้!”
             “จริงด้วย!”   คนทั้งสองต่างยิ้มให้กัน แล้วพากันเดินกลับบ้าน
                  เพิ่งจะเดินมาถึงรั้วบ้าน  ชายหนุ่มและหญิงสาวก็ได้ยินดังลั่นปานฟ้าถล่ม  ป้าสามและน้องๆของเธอดูเหมือนกำลังตะคอกใส่ใครสักคนอยู่  สุ้มเสียงเต็มไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวทีเดียว
             เหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนสบตากันแวบหนึ่ง  แล้วรีบผลักประตูรั้วเข้าไป
             “ข้าบอกเจ้าแล้ว  ไฉนท่านช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!  ยังไม่กลับไปอีกคนสกุลเจ้าทำร้ายฟางโจวของเรายังไม่หนำใจอีกหรือ?  เจ้าแต่งภรรยาไปแล้ว  ยังหวนกลับมาทำอะไรที่นี่อีก! จะแวะมาทักทายหรือ แค่นี้ก็คงพอแล้วนะเพราะข้ารู้ว่า ถึงเจ้าพูดอะไรออกมาคงมีแต่ถ้อยคำน่าละอาย! แม่ยายเจ้า ภรรยาเจ้า  เฮ่ย...ปากกรรไกรเสียขนาดนั้น!  ที่เจ้ามาปรากฏตัวที่บ้านนี้   อยากให้ทุกคนเขาคิดว่าเจ้าจะมาหาขนมหอมหวานกินรึ! เพ้ย!  พูดแล้วให้อายปากนัก  ฟางโจวของเราหาได้เป็นขนมหอมหวานให้ผู้ใดมาลิ้มชิมรสได้ง่ายๆนะ!  รีบออกไปให้ไวเลย!  ออกไปได้แล้ว ! “ ป้าสามร้องตวาดเร็วปรื๋อ
                  “หากยังไม่ไปอีก  ข้าจะเอาน้ำมาสาดเจ้านะ! เสียงแหลมเล็กน่ารักของเด็กดังขึ้นมา  ซึ่งก็คือเหลียนฟางฉิงนั่นเอง  เด็กคนนี้พยายามทำท่าขึงขังเลียนแบบ
             “ให้ข้าได้เห็นนางสักแว๊บหนึ่งเถอะ  ให้เห็นว่านางยังสุขสบายดี  แล้วข้าจะออกไป....”  เสียงของบุรุษหนุ่มที่เหลียนฟางโจวคุ้นหูดีอย่างไม่ต้องสงสัยดังขึ้น  ซ้ำยังหาใช่คนแปลกหน้าไม่  ทว่าน่าตกใจมากกว่า  เพราะเขาคืออดีตคู่หมั้นของเธอ หยางหวายชานนั่นเอง 
        พอบุรุษผู้นั้นกล่าวจบ ป้าสาม เหลียนเซ่อ และน้องเล็กทั้งสองโมโหจนหอบหายใจฟืดฟาด  ร้องตะโกนเสียงโหวกเหวก จะปรี่เข้าไปรุมขับไล่เขาให้ออกไป
                  หญิงสาวนึกออกแล้ว  วันนี้เป็นวันที่หยางหวายชานพาภรรยาหมาดๆกลับไปเยี่ยมบ้านฝ่ายผู้หญิง นี่นา?
                  ไม่คิดเลยว่าเขาจะอาศัยวาระการกลับไปเยี่ยมบ้านฝ่ายหญิงเป็นครั้งแรก   มาหาเธอถึงบ้าน  แถมยังบอกว่าจะขอมาดูหน้าเธอสักแว๊บหนึ่งมิใช่หรือ มาปรากฏตัวโจ่งแจ้งขนาดนี้  มิเท่ากับหาเรื่องหายนะมาสู่เธอหรอกรึ!  
                  หากปล่อยให้เรื่องนี้แพร่ออกไป  จนรู้ถึงหูอีกฝ่ายหนึ่งเขา  คนทั้งสกุลหัวจะไม่ชิงชังตัวเธอจนแทบบ้าหรอกรึ!   นี่ยังไม่นับที่พวกเขาเคยชิงชังเธอมาก่อนหน้านั้นอีก  เหลียนฟางโจวพอคิดขึ้นมาแล้ว   ก็รู้ว่าเธอไม่พ้นต้องถูกใส่ร้ายป้ายสีเป็นแน่ ใบหน้าเหลียนฟางโจวพลันบูดบึ้ง   ไม่ยืนรั้งรออยู่ที่หน้าประตูอีกต่อไป  สันมือกระแทกประตูให้เปิดโดยไม่สนใจจะปิด  ร้องตวาดเสียงดัง “มีเรื่องอันใดกัน!”  เสียงทะเลาะโหวกเหวกก่อนหน้าเงียบหายไปทันที
                  ทุกคนหันไปมองเหลียนฟางโจวเป็นตาเดียวกัน  

                  “พี่ใหญ่!”  เหลียนฟางฉิงวิ่งเข้าไปหา  แล้วจับมือเหลียนฟางโจว  พลางเอ่ยรายงาน “คนผู้นี้มาอีกแล้ว! พวกเราพยายามไล่อย่างไร เขาก็ไม่ยอมไป!”  เหลียนเซ่อเม้มริมฝีปากแน่น  ปรากฏร่องรอยความกังวลพาดผ่านขึ้นแว่บหนึ่ง  ยามที่เด็กหนุ่มสบตาเหลียนฟางโจว
  ------------------------------------------------------------
  ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ และการติดตามนะคะ

  อุปสรรคของนางเอก มิได้มาจาก ลุงกับป้ามหาภัยเท่านั้นค่ะ ^-^







16 ความคิดเห็น:

  1. นี่มาสร้างเรื่องฉาวโฉ่ให้นางเอกอีกแล้วใช่มั๊ย

    ตอบลบ
  2. เหลียนฟางฉิง น่ารักมาก มโนภาพเด็กน้อยพยายามทำท่าขึงขังเลียนแบบ มีรูปจะดีมาก

    ตอบลบ
  3. อดีตคู่หมั้นนี่เจ้ากรรมนายเวรมาจากไหนเนี่ย ฮึ่ยยย

    ตอบลบ
  4. เฮ่อ ผุ้ชายอะไร ตัวเองไปแต่งกับคนอื่นแล้วยังมาทำตัวแบบนี้อีก แย่จริง

    ตอบลบ
  5. เอาเรื่องนี้มาแต่งกับอาเจี้ยนเลยมะ ^^

    ตอบลบ
  6. ไอ้ลูกแหง่มาอีกทำไมมาขอส่วนบุญเรอะดูสิท่านแม่ทัพเพิ่งออกจากเงาแค่แวบเดียวเองนะมาแย่งซีนอีกแล้ว

    ตอบลบ
  7. เนียสินะ ยามจน มิตรหมู่ หมู หมา ยัง ไม่มอง ยัง มี มิตร หมู่ หมู่ หมา พร้อม ยินดี

    ตอบลบ
  8. ไม่ได้ความเลยผู้ชายคนนี้

    ตอบลบ
  9. งานเข้าฟางโจวอีกแล้ว

    ตอบลบ
  10. คู่หมั้นเก่านี่หางานเข้าให้นางเอกอีกแล้ว

    ตอบลบ
  11. ชะตากรรมรันทดมากกกกก

    ตอบลบ
  12. อาสามกับหลานสี่น่าร้ากกกก ก่อนหน้ามีตอนที่คู่นี้ชอบกินขนมเหมือนกัน ช่วยกันด่าคนด้วยกันก็รู้สึกแล้วว่าคู่นี้ต้องสนิทกัน นอกจากพี่สาวแล้วก็มีอาสามนี่แหละเป็นผู้หญิงใกล้ตัวที่สุด น้องฉิงอยู่แต่ในบ้านกับอาสามมทกกว่าอยู่กับพี่สาวที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านเสียอีก ไม่แปลกที่จะคล้ายอาสามยังดีที่อาสามไม่ใช่คนแย่มาก หลังจากมาอยู่กับพวกหลาน ๆ ก็ตัวดีให้น้องฉิงเลียนแบบแต่สิ่งดี ๆ รู้จักสู้คน ช่วยกันปกป้องฟางโจว

    ตอบลบ