วันพฤหัสบดีที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 113 อาละวาด(4)

                 หลิวซื่อทั้งคับแค้น  ทั้งอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี  โมโหจนแทบคลั่ง แทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่  พึมพำเสียงต่ำอย่างอดไม่ได้ “จะเป็นไปได้อย่างไรเรื่องนี้..เห็นชัดๆอยู่แล้วว่าคนทั้งคู่ต้องแอบคบคิดทำเรื่องไร้ยางอายลับหลัง....”
                  “เจ้าหุบปากเสีย!”  แม่ยายสกุลหัวถลึงตาใส่หลิวซื่อด้วยความขุ่นเคือง  จนลูกสะใภ้ต้องรีบกลืนถ้อยคำที่เหลือลงคอไป  

                  หลิวซื่อสะดุ้งหัวหด รีบหลบสายตาทันที  
             ถ้อยคำที่เหลียนฟางโจวเอ่ยมาทั้งหมดนี้  ยังไม่แจ่มแจ้งอีกหรือว่าน้องเขยผู้นี้  มิได้ผู้สมัครรักใคร่  มิได้เต็มใจแต่งงานกับน้องสามีนางเลย?   แถมชาวบ้านชาวช่องยังได้ยินกันทั่ว!  ผู้ที่ต้องแบกรับความอัปยศครานี้ก็คือสกุลหัว! 
                  คำพูดอันไม่ระวังของหลิวซื่อทำร้ายจิตใจหัวเสี่ยวฮวานัก  “ฮือ..ฮือ” หัวเสี่ยวฮวาร่ำไห้โฮเสียงดัง  พลันยกมือปิดหน้า แล้ววิ่งจากไป  
             “เสี่ยวฮวาเสี่ยวฮวา!” มารดาของนางรีบขยับตัวจะไล่ตาม
             “แม่เฒ่าหัว  โปรดหยุดก่อน!”  เหลียนฟางโจวร้องลั่น  ปราดเข้ามากางแขนกั้นนางไว้
                  “เจ้าจะทำอะไร?”  มารดาหัวเสี่ยวฮวาตวัดสายตาเสียดแทงไปยังเหลียนฟางโจว  แค่นเสียงเย็น  “คงไม่คิดจะมารีดไถเงินข้าใช่ไหม?  
                  เหลียนฟางโจวเอ่ยเสียงเข้ม  “ที่ข้าเพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่  ท่านได้ยินชัดเต็มสองหูหรือไม่ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นมาอีกคำรบหนึ่ง!  เรื่องในวันนี้ ท่านต้องรับปากข้า!  ว่าจะไม่ใส่ความข้ามั่วๆอีก  เพราะข้าไม่อาจทนรับการกล่าวหาผิดๆเช่นนี้อีกแล้ว!”  
             แม่ยายสกุลหัวแค่นเสียงเฮอะ  ค้อนตาประหลับประเหลือกใส่ พลางเอ่ยว่า “แล้วเจ้าจะเอายังไง   สุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า แมลงวันย่อมไม่ตอมไข่ที่ไม่มีรอยเจาะหรอก’[1]... 
        “ถ้อยคำพวกนี้ท่านโปรดเอากลับไปบอกลูกเขยคนดีของท่านเถิด  อย่าได้เสียเวลาบอกข้าเลย!”  เหลียนฟางโจวเอ่ยอย่างดูแคลน
                  ชาวบ้านที่มุงดุอยู่  ได้ยินแล้วหัวเราะกันครืน  ฝีปากเหลียนฟางโจวช่างคมนัก  มีชาวบ้านบางคนพูดถากถาง “ไม่ใช่อย่างนั้นหรือ...ป้าหัว   ก็เขยใหม่บ้านท่าน ก่อนหน้านั้นก็เคยไล่ตามตื๊อฟางโจวอยู่แล้วนะ   ท่านจะไร้ความเป็นธรรมกับนางไปถึงไหน!”  
             และนั่น!  อีกฝ่ายเขาก็พูดออกชัดแล้ว  คงต้องไปถามเอากับลูกเขยที่ท่านหวงนักหวงหนาแล้วล่ะ   ว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่   สกุลหยางถึงต้องการยกเลิกสัญญาหมั้นเล่า?  หากฟางโจวไม่เป็นฝ่ายถอนหมั้นให้  ต่อให้ท่านใช้กำลังบังคับเอา  ก็คงเข้าไปแทรกกลางมิได้หรอก!”   
                  ตอนที่บิดามารดาของสกุลเหลียนบ้านรองถึงแก่กรรม  หากเหลียนฟางโจวไม่ยินยอมถอนหมั้น  สกุลหยางย่อมไม่มีทางบิดพริ้วได้  เพราะว่านั่นมันเท่ากับเป็นการ  ข่มเหงรังแกเพื่อนมนุษย์กันเกินไป  ไร้เมตตายิ่งนัก!  งานนี้ผู้คนคงได้เลาะกระดูกคนสกุลหยางออกมาเป็นแน่  
             เหลียนฟางโจวเอ่ยขึ้น  “ท่านเป็นถึงผู้หลักผู้ใหญ่  ข้าคงไม่กล้าให้ผู้อาวุโสขอโทษข้าหรอก  น่าจะเป็นสะใภ้ท่านที่ต้องขอโทษ  ถึงจะถูกต้องจริงไหม?  
                  หลิวซื่อพลันตวาดแหว “ไยข้าต้องทำ!  ข้าไม่ทำเด็ดขาด”  
                  เหลียนฟางโจวไม่สนคนโวยวาย   ยังคงจับจ้องแม่เฒ่าหัว   เอ่ยเสียงเย็นเยียบ  “ข้าคงไม่อาจปล่อยผ่านได้  ในเมื่อเรื่องนี้เป็นการกล่าวหากันโคมลอยสะใภ้หลิว..หากท่านไม่ยอมขอโทษ  ข้าคงต้องพาน้องๆข้า  ไปร้องทุกข์ที่หน้าประตูบ้านสกุลหัวแล้ว!   อย่างไรพวกเราก็ไม่มีบิดามารดาอยู่แล้ว   สกุลหัวของท่าน ถือตนว่ามีคนมาก ใช้อำนาจบาตรใหญ่  จะจับพวกเราสี่พี่น้องฆ่าปิดปากใช่ไหม!”
                  หญิงสาวกำลังสื่อกับแม่เฒ่าหัวว่า  หากหลิวซื่อไม่ยอมขอโทษ  นางจะราวีกลับ  โดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นหากสกุลหัวไม่สังหารพวกเธอพี่น้อง  ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ  พวกเธอจะไม่ยอมรามือเด็ดขาด!” 
                  เหลียนฟางโจวจริงๆแล้วหาได้อยากพูดจารุนแรงไม่  ทว่าจริยธรรมในยุคโบราณนี้มันช่างกดขี่กันหลือทนจริงๆ  หากใครก็ตามกำพร้าบิดามารดา  หรือไร้ญาติขาดมิตร  ย่อมโดนผู้คนเหยียบย่ำรังแก  ในสายตาของคนนอกนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดามาก! 
             สองวันก่อน เธอขอร้องผู้อาวุโสซึ่งเป็นที่นับถือของหมู่บ้าน  ให้ออกหน้าช่วยสะสางข้อพิพาทกับสกุลเหลียนบ้านใหญ่จนจบสิ้น   ยังผลให้ฮูหยินเฉียวได้รับโทษหนัก   ผู้คนเริ่มรับรู้กันมากขึ้นแล้วว่า  ป้ากับลุงหาได้เป็นญาติผู้ใหญ่ หรือผู้อุปการะพวกเธอพี่น้องแล้ว   ก็ยิ่งสบโอกาสกลั่นแกล้งพวกเธอได้ง่ายขึ้น! 
             อย่างน้อยที่สุด คนสกุลหัวย่อมคิดเช่นนั้นแน่  มิฉะนั้นพวกเขาคงไม่กล้ามาระรานขนาดนี้
                  เธอจึงคิดใช้โอกาสนี้  ให้ทุกคนเห็นเป็นขวัญตาว่า  ถึงแม้ว่าพวกเธอพี่น้องจะเป็นเด็กกำพร้า  แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครคิดอยากจะเหยียบย่ำก็เหยียบย่ำได้!   ใครคิดอยากจะกล่าวหาส่งเดชก็ทำได้ใครนึกสนุกอยากกลั่นแกล้ง  ก็ทำเพื่อความบันเทิงได้  พอหงุดหงิดขึ้นมาก็มาด่าทอระบายอารมณ์เอากับพวกเธอได้   อย่าหวังว่าจะทำได้อีกแล้ว!
                  แม่เฒ่าหัวค้อนใส่เหลียนฟางโจวควับๆ  สีหน้าเหลียนฟางโจวเย็นชาประดุจน้ำแข็ง  ไม่ขยับหลีกทางเลยสักนิด   เหลียนเซ่อกับน้องๆ  ทั้งสามคนหน้าตาบึ้งตึง  ยืนจังก้าเคียงข้างพี่สาว  ทั้งสี่พี่น้องล้วนสมานสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  
             แม่เฒ่าหัวจึงตระหนักได้ว่าเหลียนฟางโจวหาได้ล้อเล่นไม่  พาให้นางอารมณ์เสียและหงุดหงิดนัก
             ว่ากันตามจริงแล้ว  นางก็ดูแคลนพวกเขาที่เป็นเด็กกำพร้าจริงๆด้วย  มิฉะนั้น หากลองเปลี่ยนมาเป็นผู้อื่นดูบ้าง  แล้ววันนี้ต้องมาพบเจอกับสถานการณ์แบบเดียวกัน  พวกเขาย่อมให้นางกล่าวขอโทษอีกฝ่ายออกมาต่อหน้าผู้คนเป็นแน่!  
                  แม่เฒ่าหัว แม้ว่าไม่เห็นด้วย  ทว่านางไม่มีทางเลือก  เมื่อสำนึกถึงความจริงข้อนี้  นางจำต้องปล่อยวาง   เดินเท้าเปล่า ไม่สวมรองเท้า  หากไม่ขอโทษครานี้  เกรงว่าตัวเองคงเอาชีวิตไม่รอด! 
             ในสายตานาง  พวกนางย่อมเป็นผู้สวมรองเท้า  ส่วนเหลียนฟางโจวและน้องๆนางสมควรเดินเท้าเปล่า
                  แม่เฒ่าหัวเบนสายตาไปหาหลิวซื่อ  ส่งสัญญาณให้หลิวซื่อเป็นฝ่ายขอโทษ
                  หลิวซื่อต้องเป็นฝ่ายขอโทษ   เพราะตัวนางเองนั้นจะลดตัวลงไปขอโทษได้หรือ  หากนางสั่งให้หลิวซื่อขอโทษ   ก็เท่ากับนางขอโทษไปด้วยเช่นนี้ย่อมแตกต่าง
                  ใจของหลิวซื่ออัดแน่นด้วยโทสะ  จงใจแสร้งทำเป็นไม่เห็นที่แม่สามีขยิบตาส่งให้  อะไรๆก็มาลงที่นางหรือเรื่องดีๆไม่เคยนึกถึง   หากจะหาแพะล่ะก็มักหนีไม่พ้นต้องเป็นนาง!  
                  ขนาดแม่เฒ่าหัวเปลี่ยนจากขยิบตา  มาเป็นไอคอกแคกแล้ว  หลิวซื่อก็ยังแสร้งทำเป็นไม่เห็นอีก  
             ชาวบ้านบางคนหัวเราะขำ “ป้าหัวระคายคอหรือ?  สีหน้าดูเหมือนไม่ใคร่ดีนะ!  ดูใต้ตาเริ่มคล้ำแล้วด้วย!”
             ชาวบ้านอีกคนโพล่งเสียงดัง “ตะโกนด่าเสียเป็นนานสองนาน  คงจะทำให้เจ็บคอละสินะไม่ต้องสงสัยเลย เฮ้อ!”
             ใบหน้าแม่เฒ่าหัวพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำาสลับซีดขาว  ร้องสั่งเหลิวซื่อด้วยความโมโห “เจ้าหูหนวกเป็นใบ้หรือไร? ยังไม่รีบขอโทษอีก!”
             หลิวซื่อขมขื่นในอก
  ขโมยค้อนใส่แม่สามีไปทีหนึ่ง  สุดท้ายก็ไม่กล้าขัดคำสั่งแม่สามี  ผินกายมาหาเหลียนฟางโจวอย่างกระอักกระอ่วนใจ
                  เหลียนฟางโจวพลันยิ้มบาง เอ่ยว่า “ข้าได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้วว่า  คนสกุลหัวล้วนได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี  แม่เฒ่าหัวนับเป็นยอดคนเรื่องการเลี้ยงดูสั่งสอนลูกหลาน  ดูท่าเวลาสะใภ้หลิวขอโทษ  คงไม่ทำอย่างขอไปใช่หรือไม่เชื่อว่าหากได้เห็นสะใภ้หลิวขอโทษอย่างเต็มพิธีการ  ข้าคงออกปากได้ว่าท่านทำด้วยความเต็มใจยิ่ง!”  
        หลิวซื่อให้แค้นใจนัก  ตัวนางคงไม่กล้ามองหน้าใครอีกแล้ว  คงมีแต่คนหัวเราะเยาะ  แล้วเอาไปพูดกันปากต่อปาก  ว่ากันตามจริง  เหลียนฟางโจวพูดได้สมเหตุสมผลทีเดียว!  พูดจนหลิวซื่อต้องยอมขอโทษแบบเต็มพิธีการ!   หลิวซื่อฟังแล้ว  ยิ่งหดหู่ใจจนอยากจะเป็นลมเสียเดี๋ยวนี้ 
                  นางไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้  จำต้องกล้ำกลืนความอัปยศอดสู  หันกายไปหาเหลียนฟางโจว  โค้งเอวอย่างนอบน้อมที่สุด  เพื่อแสดงความเคารพเหลียนฟางโจว พลางเอ่ยว่า “ข้าขอโทษ  สำหรับวันนี้  ที่พวกเรายังไม่สืบสาวหาเหตุให้กระจ่าง  แต่กลับมาก่อเรื่องวุ่นวาย!”  
        หลิวซื่อจงใจพูดเสียงดังคำว่า “พวกเรา”  ไม่เพียงหมายถึงแม่เฒ่าหัว  ทว่ายังหมายรวมเสี่ยวฮวาด้วย
                  แม่เฒ่าหัวให้โมโห ขึงตาใส่นาง  แอบก่นด่าในใจ  หน้าตาบึ้งตึงขึ้นอีก  
             เหลียนฟางโจวไม่รู้สึกปลื้มไปกับ  ที่สะใภ้หลิวขอโทษแบบเต็มพิธีการแม้สักนิด แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ครานี้สะใภ้หลิวคงรู้ซึ้งเรื่องนี้เป็นอย่างดีหากในภายภาคหน้ามีใครเอ่ยถึงเรื่องในวันนี้อีก  สะใภ้หลิวต้องไม่ลืมว่าท่านได้พูดอะไรเอาไว้ท่านไม่จำเป็นต้องรู้สึกอับอายไป  ข้าขอร้อง!” 
        แม่เฒ่าหัวครางฮึ่มในลำคอ  สีหน้าดำทมึน  หันหน้าเดินหนีไปทันที
        หลิวซื่อได้แต่เดินคอตกอย่างเดือดดาล
             “อ้าว แยกย้ายกันได้แล้ว!”  ชาวบ้านทุกคนหัวเราะครืน  แล้วต่างแยกย้ายกันไป  แต่ก็มีบ้างที่จับกลุ่มวิจารณ์กันอย่างออกรส  กลุ่มละสองคนบ้าง สามคนบ้าง  ไม่น้อยเลยทีเดียว
                  นับจากวันนี้ไป  อย่างน้อยที่สุด จะไม่มีคนในหมู่บ้านต้าฟางนี้ กล้ารังแกเหล่าสี่พี่น้องอีกต่อไป  เพราะทุกคนล้วนตระหนักดีว่า หากไปหาเรื่องโดยไร้เหตุผล   ก็ต้องโดนเอาคืนไม่น้อยเลยล่ะ!  
                  แม่เฒ่าหัวสาวเท้าไปแล้วหลายก้าว  ทันไดนั้นพลันหยุดชะงัก  ผินหน้าไปหาหยางหวายชาน  พลางตวาดแหว  “ยังจะคอยยืนทำอะไรอยู่ที่นี่อีกล่ะยังไม่ไปอีกเจ้าลูกเขยตัวดี!  
   ***
[1] หมายถึง  ไม่มีเหตุ  ผลย่อมไม่เกิดขึ้นตามมา  เป็นสุภาษิตจีน ทำนองว่า แมลงวันย่อมตอมแต่ไข่ที่มีรอยเจาะ หรือแตกแล้ว เพราะไข่เหล่านั้นส่งกลิ่นให้แมลงวันมาตอม ซึ่งเทียบได้กับสุภาษิตไทยว่า  ไม่มีไฟย่อมไม่มีควัน... 
     -------------------------------------------------------------------

ขอบคุณทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ



17 ความคิดเห็น:

  1. เฮ้อน่าเหนื่อยแทน
    ความป้ายังไม่ทันจาง เรื่องใหม่ก็เข้ามาอีก
    หวังว่าเขยบ้านนั่นคงจะคิดได้? ใช่หรือไม่ 555

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณสำหรับการแปลมากนะคะ

    ตอบลบ
  3. 555สะใจค่ะฟางใจวโต้กลับได้เก่งมาก

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณสำหรับการแปลนะคะ

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ3 สิงหาคม 2560 เวลา 06:57

    สนุกมากขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ
  6. คราวนี้คงได้เดินหน้ากิจการอย่างจริงๆจังได้แล้วใช่มั้ย

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ3 สิงหาคม 2560 เวลา 08:55

    ขอบคุณมากค่า

    ตอบลบ
  8. ตอบโต้ได้สมกับเป็นคนจากศตวรรษ20

    ตอบลบ
  9. จบปล่าวบรรดาป้าป้า....ไม่รู้บรรดาป้าป้าจะหาเรื่องอะไรมาให้อีก...นางเอกตอบกลับได้สะใจมาก

    ตอบลบ
  10. ขอบคุณมากๆๆๆค่ะ #นักอ่านเงาคนหนึ่ง

    ตอบลบ
  11. เออเอากลับไปด้วย หน้าด้านจริงๆ

    ตอบลบ
  12. อ่านไปเพลินๆปาร้อยกว่าตอนแล้ว สงสัยจริงๆนี่เรามาครึ่งทางหรือยังคะ และขอบคุณมากที่แปลมาให้อ่านนะคะ❤

    ตอบลบ
  13. อ่านไปเพลินๆปาร้อยกว่าตอนแล้ว สงสัยจริงๆนี่เรามาครึ่งทางหรือยังคะ และขอบคุณมากที่แปลมาให้อ่านนะคะ❤

    ตอบลบ