วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 117 คำตักเตือน(2)

                ป้าจางมาเยี่ยมเยียนแล้ว  แน่นอน  ไม่มีอะไรดีไปกว่าการพูดเรื่องงาน  ป้าจางจึงไม่ซอกแซกถามอะไรเกี่ยวกับหยางหวายชานอีก  พลางคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น  นับว่ายามนี้เจ้าได้ทำให้ครอบครัวลืมตาอ้าปากได้แล้วจริงๆ!  เห็นอย่างนี้ ข้าเองก็เบาใจ!  เฮ้อ..บิดามารดาเจ้าบนสวรรค์ก็คงสบายใจด้วยเป็นแน่!  ดูท่าวันนี้เรื่องนี้คงจบได้แล้ว  ภายภาคหน้าคงไม่มีใครกล้าคิดร้ายต่อเจ้าแล้ว!  ช่างดียิ่งนัก!”
                  “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน!  นี่คือเหตุผลที่วันนี้ข้าไม่ยอมให้พวกเขามาด่าทอ  มารังแกข้าได้เป็นเด็ดขาด  มิฉะนั้นคงได้แต่โดนคนรังควาน  สร้างปัญหาให้ไม่จบไม่สิ้น!”  เหลียนฟางโจวแย้มยิ้ม

                  “เจ้าช่างเป็นคนมีเหตุมีผลนัก!”  ป้าจางพลันถอนหายใจรอบหนึ่ง  แล้วเอ่ยต่อว่า “จริงสิ  ได้ยินว่าเจ้าเพิ่งซื้อลามาตัวหนึ่งใช่หรือไม่?
                  “อื้ม!  จากนี้ไป  ข้าคงทำอะไรสะดวกขึ้นไม่น้อย!” เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้ม
                  “ควรซื้อวัวเพิ่มอีกสักตัวนะ”  ป้าจางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ช่วงนี้ต้องรีบทำปุ๋ยคอกจากการหมักมูลวัวได้แล้ว ถึงจะทันการ  เพราะต้องใช้ในการเพาะปลูกปีหน้าที่กำลังจะมาถึงแล้วนะ!  ทั้งยังต้องทำปุ๋ยพืชสดอีก  แต่อย่างไรก็ยังเทียบกับปุ๋ยคอกมิได้หรอก”
                  เหลียนฟางโจวพอเจอคำพูดของป้าจาง ถึงกับตื่นตัว  ใบหน้าเหลียนฟางโจวฉายสีหน้ามั่นใจเต็มเปี่ยม  อดพยักหน้าอย่างแข็งขันไม่ได้  พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “โชคดีที่ป้าจางแวะมา  ไม่เช่นนั้น  ข้าคงนึกไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไร  ด้วยเวลากระชั้นชิดนี้!”  
                  ซื้อวัวกับลา  ก่อนหน้าก็ต้องทำคอกให้พวกมันอยู่ก่อน  ทุกสองสามวันก็กองฟางข้าวบนพื้นเป็นชั้นๆ ให้พวกวัวกับลาเหยียบย่ำไปก่อน  พร้อมทั้งให้พวกมันเยี่ยวใส่บนกองฟาง  ด้วยวิธีนี้ก็สามารถหมักปุ๋ยคอกตลอดฤดูหนาวได้  ปีหน้าตอนไถพรวนแปลงนาในฤดูใบไม้ผลิ  ก็มีปุ๋ยคอกให้ใช้แล้ว
                  ผืนดินหากขาดปุ๋ย  พืชผลจะเติบโตดีได้อย่างไร?
             “เพียงแต่”  เหลียนฟางโจวค่อนข้างอึดอัดใจ  จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “ท่านย่อมรู้ดีว่าบ้านข้า  ช่วงคนรุ่นลูกไม่ได้เลี้ยงสัตว์ใช้งานมาหลายปีดีดักแล้ว  ปุ๋ยในดินคงสลายไปนานแล้ว  และยามนี้จะใช้  คงต้องเตรียมหาคนมาหว่านปุ๋ยในแปลงนาล่ะนะ!”
                  ป้าจางหัวเราะ พลางเอ่ยขึ้น  “เรื่องนี้  ข้าได้คิดเผื่อเจ้าไว้แล้ว  ข้าอยากให้เจ้าลองหารือกับลุงหลี่ดู  หากเจ้าไว้ใจ  ก็ให้เขาหาคนสักสองสามคนในหมู่บ้านเรามาช่วยงาน  ลงแรงสักสองวันก็คงสามารถสร้างคอกเสร็จ!  แล้วเจ้าก็ดูแลเรื่องอาหารการกิน  มีอาหารให้สองมื้อ คือมื้อกลางวันกับมื้อเย็น!  และก็หาพวกวัสดุจำพวกท่อนไม้ แผ่นไม้เตรียมไว้ให้ด้วย  หากเจ้าไว้วางใจ   เดี๋ยวข้าจะบอกลุงหลี่ให้ช่วยเรื่องซื้อวัสดุด้วย!”
                  เหลียนฟางโจวทั้งปิติยินดี  ทั้งรู้สึกผิดผสมปนเปกัน  แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ย่อมไม่มีสิ่งใดเลิศไปกว่านี้แล้ว   เพียงแต่จะเป็นการรบกวนท่าน....และท่านยังมีงานเผาถ่านในมืออีก  จะมิทำให้งานล่าช้าหรือ?
                  เรื่องที่ลุงหลี่กับทางบ้านรีบเร่งเผาถ่านมือเป็นระวิง  เหลียนฟางโจวทราบดีอยู่แล้ว  โอกาสทำเงินอยู่ตรงหน้า  ใครจะปล่อยให้หลุดมือไปเล่า?   ฤดูหนาวนี้ใกล้จะมาถึงแล้ว  แม้ปีหน้าจะไม่เพาะปลูกพืชผลเลย   ก็มีเงินพอค่าใช้จ่ายของทั้งครอบครัวแล้ว!  งานเช่นการเผาถ่านสร้างผลกำไรให้คุ้มค่าจริงๆ         
                  “เจ้าวางใจเถิด! “ ป้าจางสีหน้าเปื้อนยิ้ม  “ พวกเราหารือกันมาดีแล้ว  เผาถ่านอีกสองรอบก็หยุดแล้ว  จากนั้นก็รีบเอาไปขายในเมือง!  เฮ้อ..สวรรค์!  ลุงหลี่กับพี่ซานเหอของเจ้าน่ะใคร่ครวญไว้แล้ว  หน้าหนาวนี้  อย่างน้อยน่าจะสามารถทำกำไรได้ 40-50  ตำลึงเชียวนะ!  เจ้าก็ได้ส่วนแบ่งเท่าๆกันด้วย  บ้านข้าจะหาเงินได้มากขนาดนี้เมื่อไรได้?   อย่างเก่งก็คงต้องทำงานหนักเงินน้อยไปจนตาย   นี่เป็นครั้งแรกเลยในชีวิตเลยนะ   ที่ไม่ต้องลำบากหาเงินหลังขดหลังแข็ง!  พรุ่งนี้แค่ปิดหลุมเตาเผาทิ้งไว้ก็พอแล้ว   พวกเขาจึงมีเวลาหยุดพัก 1 วัน  วันมะรืนนี้พวกผู้ชายคงไปช่วยสร้างคอกสัตว์ให้เจ้าได้แล้ว!” 
                  “เช่นนั้น ข้าก็ไม่เกรงใจแล้วล่ะนะ!” เหลียนฟางโจวให้ยินดีปรีดานัก  เอ่ยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “เช่นนั้น..เรื่องนี้คงมอบให้เป็นธุระของลุงหลี่แล้ว!   เพียงแต่...เกรงว่าคงมิอาจดูแลเรื่องอาหารการกินได้   เช่นนั้น...สามารถจ่ายเป็นค่าจ้างแทนได้หรือไม่?  อืม...วันละ  25  อีแปะพอหรือไม่? 
                  “แบบนั้นก็ได้”  ป้าสามผงกหัว  ครุ่นคิดสักครู่แล้วหัวเราะ “ข้าใคร่ครวญดูแล้ว  วันละ 20 อีแปะก็ถือว่ามากแล้วล่ะ!   หากไปคุยแล้วลุงหลี่เห็นด้วย  ตามที่คุยกันไว้  ทำสองวันก็น่าจะเสร็จ!  ส่วนคนก็หาเอาในหมู่บ้านเรานี่แหละ  เลือกคนที่อยู่บ้านใกล้   จะได้ไม่เสียเวลายามพวกเขาเดินกลับไปกินข้าวบ้าน”
                  “เช่นนั้น  ก็ตกลงตามนี้!”  เหลียนฟางโจวพยักหน้าหัวเราะ  นางให้ป้าจางรอสักครู่   เพื่อไปหยิบเงินมาให้  แล้วส่งเงิน 5 ตำลึงมอบให้ป้าจาง  พลางส่งยิ้ม “ไม่รู้ว่าพอหรือไม่พอ!” 
                  ป้าจางพยักหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พอแล้ว  ข้าเกรงว่าจะเหลือเสียด้วยซ้ำ!   ไว้ถึงเวลาข้าจะให้ลุงหลี่ทำบัญชีให้เจ้า  และเล่าความคืบหน้าให้เจ้าฟัง!” 
        เหลียนฟางโจวมิได้ปฏิเสธ  ผงกศีรษะ พลางยิ้มเอ่ยขึ้น “ลำบากท่านแล้ว!”  แม้ว่าทั้งสองบ้าน  จะไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนม  ทั้งเรื่องของฝ่ายหนึ่งก็ถือเป็นเรื่องของอีกฝ่าย   มีเรื่องอันใด ก็พูดกันอย่างเปิดอกตรงไปตรงมา  ทุกฝ่ายหาได้มีความเคลือบแคลงต่อกัน  จะมิมีความเป็นปฏิปักษ์เกิดขึ้นในใจทั้งสองฝ่ายได้เลย
                       และความสัมพันธ์ฉันท์ญาติมิตรคงจะดำเนินเช่นนี้ไปอีกนาน
    “ใช่แล้ว”  เหลียนฟางโจวพลันนึกถึงหลิวเจี่ยขึ้นมาได้  เห็นเช่นนั้นจึงคลี่ยิ้ม “สองวันมานี้  ข้าเอาแต่คร่ำเคร่งซื้อที่ดิน!   ติดต่อธุระกับท่านหลิวเจี่ย  เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง จนคุ้นเคยกันดี   พรุ่งนี้ข้าจะสอบถามเขาให้   ให้ตรวจสอบในเมืองว่ามีตระกูลเศรษฐี  หรือพ่อค้าที่อยากซื้อถ่านหรือไม่  หากได้ราคาดี   เทียบดูแล้ว  ย่อมดีกว่าเราลงแรงขายเอง!”
        ป้าจางได้ยินแล้วให้ดีใจนัก  รีบพยักหน้า และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนี้ย่อมดีกว่าจริงๆหากลดราคาต่ำกว่าท้องตลาดลงสักเล็กน้อย  คงสามารถขายออก!   เทียบกับขายกันเอง  ย่อมช่วยเราได้มากจริงๆ!”
                  คนระดับเจ้าหน้าฝ่ายปกครองขั้นสูง  ย่อมรู้จักมักคุ้นผู้คนเป็นอันมาก  และเป็นผู้กว้างขวางในเมือง   มีเขาให้ความช่วยเหลือ   ทำให้เรื่องต่างๆง่ายขึ้น
        เหลียนฟางโจวแย้มยิ้ม “บังเอิญนัก  พรุ่งนี้ท่านหลิวเจี่ยจะแวะมาแถวนี้  หรือว่า ข้าจะขอให้เขาไปดูถ่านที่บ้านป้าจางก่อน?”
                  “หากเป็นอย่างนั้น  ก็เยี่ยมเลย!”  ป้าจางหัวเราะพยักหน้า  เนื่องจากไม่มีสิ่งใดที่ไม่ดี
                  “เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน   สองวันนี้ลุงหลี่ของเจ้า เอาแต่ครุ่นคิดวิตกกังวล  ว่าจะหาวิธีขายถ่านอย่างไรดี!   ข้าจะรีบไปแจ้งข่าวดีกับเขา เจ้าก็รีบไปพักผ่อนได้แล้ว!”  ป้าจางหัวเราะ พลางผุดลุกขึ้น
                  เหลียนฟางโจวและป้าสามต่างแย้มยิ้มและลุกขึ้นเดินไปส่ง
                  จู่ๆฮูหยินจ้าวก็พลันโพล่งถามขึ้น “ฟางโจวเมื่อครู่ก่อน  เห็นเจ้าพูดว่ากำลังหาซื้อที่ดิน   ไม่ใช่ว่า เจ้ากำลังหาซื้อพวกเมล็ดฝ้ายหรอกหรือโอ้โห  เจ้าซื้อเมล็ดฝ้ายไปมากมายขนาดนี้   เช่นนั้นต้องมีที่ดินเนื้อที่มากเท่าใด  จึงจะพอให้หว่านเมล็ดพันธุ์พวกนี้ได้!”
                  เรื่องนี้อย่างไร ในภายภาคหน้า คงไม่อาจปิดบังผู้คนได้  เห็นฮูหยินจ้าวถาม  เหลียนฟางโจวเพียงหัวเราะ และเล่าอ้อมแอ้มว่าจะใช้ที่ดินแถวลานหิน มีเนื้อที่กว่า 1,000 หมู่  ส่วนที่ดินตรงทางแยกเชิงเขานั้น  หญิงสาวมิได้แพร่งพรายออกไป   ด้วยกลัวว่าหากมีคนล่วงรู้เจ้าของที่ดินผืนนั้นอาจฉวยโอกาสขึ้นราคาที่ดินได้
                  ฮูหยินจ้าวได้ฟังแล้ว ถึงกับบื้อใบ้  แล้วอุทานว่า “โอ้..สวรรค์  ซื้อที่ดินกว่าพันหมู่  ต้องใช้เงินเท่าไรเนี่ยข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปเอาเงินของเปี่ยวเจี่ย (ญาติหญิงผู้พี่) ในเมืองชวงหลิวมาใช่หรือไม่เจ้ากับญาติเจ้าไม่ได้ไปมาหาสู่กันหลายปีแล้ว ใช่ไหม?  หลายปีมานี้มิเคยได้ยินเจ้าพูดถึงเลย!” 
                  “เอาล่ะ เอาล่ะ  เจ้าเอาแต่ถามเรื่องเปล่าประโยชน์ไปทำอะไรไปได้แล้ว!”  ป้าจางหันมายิ้มให้เหลียนฟางโจว แล้วรีบรุนหลังฮูหยินจ้าวให้เดินไป
    .        ฮูหยินจ้าวปากก็รับคำ  ขณะที่เท้าก็เคลื่อนไป  พลางครุ่นคิดไปด้วย   ดวงตาทั้งคู่สาดประกายวาววับจับจ้องเหลียนฟางโจว  เห็นได้ได้ชัดว่าตั้งตารอคำตอบเธออยู่
             เหลียนฟางโจวแจ่มแจ้งแล้วว่า ไฉนวันนี้ฮูหยินจ้าวถึงติดตามป้าจางมาด้วย  สัญชาตญานบอกว่า  นางตั้งใจมาหาข้อมูลเพื่อเอาไปโพทนาต่อ!
                  หญิงสาวหัวเราะ พลางเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ข้ามีญาติผู้พี่ในเมืองชวงหลิว  เมื่อก่อนมารดาของนางกับมารดของข้ารักกันมาก  ช่างโชคร้าย  ที่มารดานาง ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่สาวของมารดาข้า ด่วนจากไปก่อนมารดาข้า เสียเป็นนานแล้ว....”
                  ฮูหยินจ้าวอุทาน  “โอ” พลันเข้าใจขึ้นมาทันที  พูดกับตนเองในใจว่า  ไม่ต้องสงสัยแล้วว่า  ไฉนทั้งสองฝ่ายถึงไม่ได้ไปมาหาสู่กันมาหลายปี!
                  นางนึกอยากถามต่อ   ทว่าเจอป้าจางพยายามเร่งให้รีบไป
   เห็นเช่นนั้นแล้ว  จึงหันไปหาเหลียนฟางโจว พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไว้รอวันพรุ่งนี้  หากไม่ยุ่ง  ข้าจะหาเวลามาคุยกับเจ้าอีก!”
                  เหลียนฟางโจวจะพูดอะไรได้เล่าได้แต่หัวเราะและรับปากไป
                  พอออกจากบ้านเหลียนฟางโจวแล้ว  ป้าจางตวัดสายไม่พอใจใส่ฮูหยินจ้าว  เอ่ยว่า “ข้าบอกไปแล้ว   วันนี้ไยเจ้าถึงตามข้ามา!   บอกให้กลับแล้ว  ยังจะไปยื้อพูดกับนางอีก  เจ้าน่ะ จะเอาเรื่องที่ถามซอกแซก  ไปโพทนาต่อใช่หรือไม่ แล้วยังไปถามนางซึ่งๆหน้าด้วย!  เจ้านี่นะ!”
                  “ท่านแม่”  ฮูหยินจ้าวแย้มยิ้ม “ข้าไม่ใช่คนเดียวที่อยากรู้เสียหน่อย  มิหนำซ้ำ  เรื่องนี้มิใช่สิ่งที่บอกไม่ได้หรือ!   ท่านเห็นหรือไม่  ฟางโจว..นางไม่ยอมตอบคำถามข้า?

        ป้าจางแค่นเสียงเฮอะทีหนึ่ง  “ที่เจ้าถามมาทั้งหมดนี่   คนอื่นเขาสามารถมิตอบได้หรือ?    เจ้าอ้าปาก ข้าก็เห็นลิ้นไก่แล้ว   ข้าขอบอกให้เจ้ารู้ไว้   หากเห็นแก่หน้าข้า  เจ้าจงหยุดก่อเรื่องซะ!”

    --------------------------------------------------------------------------
  ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ และทุกการติดตามค่ะ ^-^




11 ความคิดเห็น:

  1. มีแต่คนสอดรู้สอดเห็นและปากสว่าง เหนื่อยใจแทนฟางโจวจริงๆ

    ตอบลบ
  2. ตัวยุ่งจริงๆเลยฮูหยินจ้าว

    ตอบลบ
  3. เกลียดความสอดของฮูหยินจ้าว ถ้าไม่มีนางเรื่องนี้คงดีกว่านี้55555

    ตอบลบ
  4. คนหมู่บ้านนี้ว่างงานกันมากสินะถึงได้อยากรู้เรื่องชาวบ้านไม่หยุด

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณคะ ชอบเรื่องนี้มาก

    ตอบลบ
  6. ป้าจางเป็นคนดีจัง

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ13 สิงหาคม 2560 เวลา 10:36

    ขอบคุณค่ะ นางเอกเราขยันๆ รวยๆๆ

    ตอบลบ
  8. เรื้องแพร่ออกไปบุวป้าสารเลวก้อมากวนอีกแน่ๆ

    ตอบลบ
  9. เรื่องนี้เรียลมาก ในแถวบ้านของเราเองก็มีพวกสอดรู้สอดเห็นและปากสว่างแบบนี้แหละ5555

    ตอบลบ
  10. รอตอนต่อไป ช่วงนี้พระเอกค่าตัวแพงนะคะ หายไปเลย^^

    ตอบลบ
  11. รอตอนต่อไป ช่วงนี้พระเอกค่าตัวแพงนะคะ หายไปเลย^^

    ตอบลบ