วันพุธที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 116 คำตักเตือน(1)

               หลิวเจี่ยสังเกตสีหน้าหญิงสาว  รู้ชัดว่านางสนใจ  จึงเป็นฝ่ายหัวเราะเอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้ข้ามีธุระที่หมู่บ้านต้าฟางแต่เช้า  ผ่านไปจะแวะรับแม่นางเหลียนไปดูแปลงนาข้าวนั่นได้หรือไม่?” 
                  ถ้อยคำแฝงความกระตือรือร้น  ทว่าน้ำเสียงที่ออกมาเป็นเชิงปรึกษาหารือ  พอได้ฟังแล้ว  มิได้รู้สึกว่าเขากำลังเจ้ากี้เจ้าการกับเธอ   เธอจึงมิใคร่อึดอัดใจเท่าใดนัก 
        พูดได้เต็มปากว่า  หลิวเจี่ยผู้นี้เก่งคน  ประสบการณ์โชกโชน  เห็นโลกมาเยอะ

        “ข้าคงแค่ไปดูเท่านั้น!”  เหลียนฟางโจวเอ่ยทีเล่นทีจริง “จะให้บอกว่าดีตั้งแต่คราแรกคงมิได้  ก่อนอื่นต้องไปสำรวจให้เห็นกับตาเสียก่อน   แต่ก็มิได้หมายความว่าข้าจะซื้อนะ!”
                  หลิวเจี่ยพลันหัวเราะร่า  พยักหน้าคราหนึ่ง “ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วแน่นอน  ต้องให้เจ้ารู้สึกพึงพอใจ  และเห็นว่าเหมาะสมเสียก่อน จึงค่อยคิดซื้อ  ข้ารู้...ไม่มีใครตัดสินใจ  กับอะไรที่ยังไม่กระจ่างแจ้งหรอก!”  
                  เหลียนฟางโจวหัวเราะเห็นด้วย พลางเอ่ยว่า “พรุ่งนี้ไม่จำเป็นต้องมาแวะรับข้าแต่เช้านัก  พรุ่งนี้คนงานที่จ้างมาบุกเบิกที่ดินจะเริ่มงานเป็นวันแรก  ข้าคงต้องตระเตรียมงานก่อน   อืม...ท่านมาตอนใกล้เที่ยงก็แล้วกันเช่นนี้ข้าคงมีเวลาปลีกตัวได้” 
             “แม่นางเหลียนช่างมีธุระยุ่งตลอดเลยนะ!”  หลิวเจี่ยย่อมไม่มีข้อโต้แย้ง  ทั้งหัวเราะและคุยเรื่อยเปื่อยกันอีกพักหนึ่ง  ด้วยรู้นิสัยเหลียนฟางโจวดี  นับวันนางจะยิ่งมีกิจธุระให้รีบเร่งจัดการมากขึ้น  เขาไม่ควรรั้งนางไว้จนเสียการ   จึงหัวเราะปล่อยนางกล่าวอำลาจากไป 
             เสร็จธุระกับหลิวเจี่ยแล้ว  สิ่งที่ต้องทำก่อนอื่น ก็คือไปซื้อกระสอบผ้าใบใหญ่   อย่างที่สองคือซื้อวัตถุดิบที่ไว้ใช้ตุ๋นน้ำแกงหม้อใหญ่  ได้แก่กระดูกหมู  หมูสามชั้น  ผักชี รวมทั้งส่วนประกอบอื่นๆ  นี่ยังไม่นับสิ่งละอันพันละน้อยที่ต้องซื้อ  กลับบ้านอีก
                     เมื่อกลับถึงบ้าน  แต่ละคนแทบสลบ   ป้าสามเห็นของที่ซื้อมามีทั้ง กระดูกหมู และเนื้อหมู  จึงเอ่ยปาก  “เมื่อวานนี้ก็เพิ่งซื้อเนื้อหมูมา  ยังไม่ได้ทำกินเท่าใดเลยนะ!    ไฉนถึงยังซื้อกลับมาอีกเล่าวันนี้เอามาเพิ่มอีก  อย่างไม่กลัวของจะเน่าเสีย  เพิ่งจะผ่านมาไม่นานเอง  ไม่จำเป็นต้องซื้อมาให้มากมายนักหรอก!”
                    ป้าสามขึงตาใส่หญิงสาว  พลางเอาแต่บ่นกระปอดกระแปด   เห็นได้ชัดว่ากำลังตำหนิหลานสาวนาง  ว่าช่างไม่รู้จักอยู่ให้เป็นเลย
                  “ของพวกนี้  ไม่ได้เอาไว้ทำกินเองหรอก” เหลียนฟางโจวหัวเราะออกมา พลางเอ่ยอธิบาย “พรุ่งนี้ไม่มีคนงานมาทำงานบนที่ดินผืนนั้นหรอกรึ?  ของนี้ซื้อมาให้คนพวกนั้นกิน ข้ากะจะบอกท่านอยู่เชียว”
                  เหลียนฟางโจวเล่าให้ป้าสามฟังอย่างละเอียด  พรุ่งนี้เช้ารบกวนท่านเอากระดูกหมูสี่ท่อนนี้ ตุ๋นน้ำแกงข้นสักหม้อใหญ่  และนึ่งหมั่นโถวสักหนึ่งตระกร้า  ทอดเล่าปิ่งสัก 20 ชั่ง  หั่นหมูสามชั้นเป็นชิ้นบางๆ  แล้วนำต้นกระเทียม คึ่นไช่ พริก  ต้าเจียง ผัดรวมกัน      เพื่อเป็นไส้ห่อเล่าปิ่งกิน  เพื่อส่งไปให้คนงานที่นั่นกินตอนเที่ยงพรุ่งนี้

น้ำแกงตุ๋นกระดูกหมูเช้มข้น


หมั่นโถวนึ่ง

เล่าปิ่ง

หมูสามขั้นผัดคื่นไช่่ต้นกระเทียมพริก
                  ค่าแรงและอาหารของคนงาน  เธอคำนวณดูแล้วว่าเป็นเงินน้อยนิด  เหลียนฟางโจวแน่ใจตัวเองว่า  เธอคงไม่มีเวลาเหลือพอจะยื่นมือมาช่วยงานในบ้านได้อีก  จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “พรุ่งคงต้องลำบากป้าสามหนักแล้วฉิงเอ๋อร์  เช่อเอ๋อร์  เจ้าทั้งสอง  คอยช่วยเป็นลูกมือให้ป้าสามอย่างเต็มกำลังนะ  เข้าใจหรือไม่?
                  เหลียนฟางฉิง และเหลียนเช่อ พอให้ยินเหลียนฟางโจว สั่งให้เป็นลูกมือช่วยงาน อย่างเจาะจงเช่นนี้   จึงนิ่งค้าง รับรู้สึกถึงความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่ตกใส่พวกตน  จิตใจพลันฮึกเหิม   พยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวแข็งขัน “เข้าใจแล้ว  พี่ใหญ่!”
                  ฝ่ายป้าสามพอได้ยินเหลียนฟางโจวเอ่ยปากเช่นนั้น  ใบหน้าที่หันขวับไปหาอีกฝ่าย  มืดครึ้มลง  เห็นเหลียนฟางโจวเพิ่งพูดธุระที่เหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยกับน้องเล็กทั้งสองเสร็จ  แต่เท่ากับเป็นการสั่งให้ทำงาน  ย่อมไม่เห็นสีหน้าของนางเองว่าเป็นเช่นไร  อดไม่ได้แค่นเสียงเฮอะออกมา “เจ้ากำลังเตรียมตัวเป็นเศรษฐีใหญ่แล้วรึถึงจะใช้เงินไม่มากทว่าเรียกคนมาทำงาน  ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างแล้วหรือไร ซ้ำยังไม่เห็นให้อะไรข้าบ้างเลย  ดูเจ้าทำสิ  ทั้งเนื้อหมู ทั้งกระดูกหมู  ทั้งแป้งสาลี  ทั้งหมั่นโถวหนึ่ง  ทั้งเล่าปิ่ง  เช่นนี้   เช่นนี้...เดิมทีพวกเราล้วนยังไม่เคยกินของดีๆมากมายแบบนี้เหมือนกันนะทำเช่นนี้ก็เท่ากับสิ้นเปลือง  เอามาให้บ้านเรากินเองมิดีกว่ารึ!”
                  เหลียนฟางโจวรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ป้าสาม  ช่างขี้บ่นจังนะ!  การบุกเบิกที่ดินนั้น  คนงานแต่ละคนต้องตรากตำทำงานหนักมากทีเดีว  ท่านน่ะ ยังมิได้เห็นที่ดินผืนนั้นด้วยตาตนเอง  วัชพืชที่นั่นขึ้นสูงครึ่งค่อนตัวคน  ทั้งเถาหวาย  เถาวัลย์ ขึ้นเกาะรกเรื้อทั่วไปหมด  หากไม่ให้คนงานเขากินให้อิ่ม  ไฉนเขาจะตั้งใจทำงานให้เราอย่างเต็มกำลังเล่าหากถากถางพวกวัชพืชไม่เกลี้ยง   ปีหน้ามีหวัง  พวกมันจะขึ้นมาก่อปัญหาได้อีก  หนำซ้ำยังไม่แน่ว่าเขาจะกลับมาทำงานให้เราอีกหรือไม่   ด้วยเหตุนี้...มันจึงคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม!”
                   “ไม่ใช่ว่า เจ้าไม่ได้จ่ายค่าจ้างให้พวกคนงานรึ”    ถึงอย่างไร ป้าสามก็ยังไม่เห็นด้วย เอ่ยว่า “หากไม่เชื่อ...เจ้าลองไปสอบถามคนในหมู่บ้าน  ชั่วระยะ  8 -10 ลี้ด้วยตัวเองสิ  มีใครครอบครัวไหนบ้าง  จ้างคนให้มาทำงานแบบนี้  เจ้าดูแลเรื่องอาหารการกินดีเกินไปหรือเปล่าลงอีแบบนี้  ต่อให้ที่บ้านมีเงินถุงเงินถังแค่ไหน  ก็ทนรับสภาพไม่ไหวหรอก!”
                   “เรื่องนี้  คล้ายว่ามิใช่เช่นนั้นหรอกนะ  ไหนเลยจะต้องถึงกับต้องมีเงินถุงเงินถังเล่า?           ท่านวางใจเถิดน่า  ข้าได้คิดคำนวณไว้ในใจหมดแล้ว!”  ระหว่างที่เหลียนฟางโจวพูด  เธอได้ล้วงเงินออกมาจากอกเสื้อ ราว 2 เฉียน  ยัดใส่มือป้าสาม  พร้อมทั้งบีบมือนาง  พลางเอ่ยสีหน้าแย้มยิ้ม  “พรุ่งนี้ ข้าคงสร้างความลำบากให้ท่านได้แล้ว  ใช่หรือไม่?” 
                  หลังกำมือไว้สักครู่  ป้าสามแบมือออก  มองเงินในมือ  พลางแค่นเสียงเฮอะ  ไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรได้อีก  เหลียนฟางโจวจึงยิ้มให้ทีหนึ่ง  ป้าสามจึงพบว่านางขอตัวออกไปแล้ว
                  หลังมื้อเย็น  สมาชิกทั้งบ้านต่างหาปรึกษาหารือกัน  ว่าจะแบ่งงานกันทำอย่างไร  นับจากนี้ไปอีกหลายวัน  เนื่องจากเหลียนฟางฉิง และเหลียนเช่อ พรุ่งนี้จะเข้ามาร่วมงานอย่างเป็นทางการแล้ว  อย่างน้อยที่สุด  พวกเขาควรได้ร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย  ดังนั้นเมื่อทั้งสองคนได้เข้ามาร่วมรับทราบด้วย  จะได้ช่วยทำงานกันอย่างแข็งขัน
                  ยามนี้บ้านทั้งหลัง จึงได้ยินแต่เสียงพูดคุยเป็นการเป็นงาน เสียงดังฉาดฉาน  ต่อมาทุกคนได้ยินป้าจางเรียกหาป้าสาม และฟางโจว ดังลั่นอยู่นอกบ้าน  “ป้าสาม  ฟางโจว อยู่บ้านหรือเปล่า!”  เอ่ยจบ ก็เดินตรงแน่วเข้ามา
                  เหลียนฟางโจวรีบรุดออกไปทักทาย  แย้มยิ้มเชื้อเชิญให้เข้ามา
                  เห็นฮูหยินจ้าวเคียงข้างมากับป้าจางด้วย  เหลียนฟางโจวลอบสงสัยในใจ  ทว่าสีหน้ายังแย้มยิ้ม เชื้อเชิญให้แขกเข้าบ้าน  ป้าจางมักมาเยี่ยมพูดคุยกับสตรีทั้งสองเป็นครั้งคราว  ทว่าไม่เคยเห็นฮูหยินจ้าวมาด้วยเลย  ดังนั้น เหลียนฟางโจวจึงสงสัยว่าฮูหยินจ้าวมีเหตุผลเบื้องลึกอันใดหรือ
                  ป้าจางและฮูหยินจ้าวนั่งลง  พูดคุยสัพเพเหระกันหลายคำ  พลันป้าจางก็ถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง  พลางถามขึ้น  “วันนี้ได้ยินสกุลเทียนฮวา ที่อยู่ตรงโน้น เล่าว่าเกิดเรื่องใหญ่ใช่หรือไม่?”
                  ทุกวันนี้ ป้าจางกับคนที่บ้าน ยังขึ้นเขาไปสับไม้ฟืน เพื่อเผาถ่านเป็นประจำทุกวัน  ตอนกลางวันจึงไม่มีใครอยู่บ้าน  ดังนั้นจึงไม่ได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย
                  ป้าสามแค่นเสียงเย็นชา เอ่ยว่า “พี่จาง ท่านไม่เห็นภาพตอนทะเลาะกัน  แม่เฒ่าหัวน่าตายนั่น หนีบลูกสะใภ้มา  แหกปากด่าทอพวกเราเสียงขรมอยู่ตรงประตูบ้าน  สารพัดที่พวกนางจะขุดขึ้นมาด่า  มีแต่คำหยาบคาย  ที่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าหลุดออกจากปากทั้งนั้น!  โอ๊ย  อย่าให้พูดเลยโชคดีนะที่ฟางโจวมีขันติสูงส่ง  ก็ขนาดลูกเด็กเล็กแดง  พวกนางก็จับมาคาดคั้นเอาความจนหมดสิ้น!  ลงท้ายแม่ผัวลูกสะใภ้ทั้งสองก็หน้าแตกยับ  โดนตะเพิดกลับไป!
                ป้าสามเล่าไป  พลางหัวเราะอย่างภาคภูมิใจในตัวเองไม่น้อย
                ระหว่างที่พูดถึงเรื่องนี้  เหลียนฟางโจวให้เหลียนเซ่อพาน้องเล็กทั้งสองออกไป  อาเจี่ยนก็ลุกออกไปด้วย  ยามนี้เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม “จริงๆแล้ว  เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องส่วนตัว  ข้ายินดีนั่งโต๊ะเจรจากับอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา   ข้าไม่มีทางขอโทษพวกนางหรอก   เพราะเราไม่เคยทำเรื่องผิดศีลธรรม  หากใครนึกว่าพวกเราพี่น้อง รังแกได้รังแกดี  หรือใครที่คิดจะเข้ามาหาเรื่องล่ะก็  บอกได้เลยว่าคิดผิดแล้ว!
             “พูดได้ถูกต้องนัก!”  ป้าจางปรบมือ  เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “ฟางโจว เจ้านี่พูดไม่ผิดแม้สักคำเลย  ตราบใดที่เป็นเรื่องภายใน  เช่นนั้นคงไม่มีใครหน้าไหน  กล้ามาตะโกนด่า  มารังแกเช่นพวกนางอีกแล้ว ป้าสามคงได้ด่าไปยกใหญ่เลยล่ะสิ  เห็นชัดเลยว่าพวกเขาอ่อนหัด  ไม่ควรมาหาเรื่องใส่ตัวเล้ย!”
                 “แน่นอน...ย่อมเป็นเช่นนั้น!”  เหลียนฟางโจวหัวเราะออกมาทีหนึ่ง
                 ป้าสามพลันจิตใจฮึกเหิม  เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “สถานการณ์ตอนนั้นนะ  มันสับสนอลหม่านพอดู   มันช่างกดดันเหลือแสน   ลงท้ายฟางโจวสามารถประคับประคองจนรอดพ้นเหตุการณ์นั้นมาได้!
                เวลาเล่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดไป  ป้าสามจะราดน้ำมันเติมน้ำส้ม [1]  ประกอบการพูดแต่ละถ้อยความไปด้วย  เหลียนฟางโจวได้ฟังแล้วถึงกับอมยิ้ม  และคอยพูดสอดแทรก แก้ไขให้ถูกต้องเป็นครั้งคราว
                  “ไอ้หยา...เรื่องนี้จริงๆเลย!”  ป้าจางพอรู้เลาๆว่า  เดิมทีเหลียนฟางโจว คือสตรีที่หยางหวายชานปักใจรักที่สุด   ยามได้ยินว่าหยางหวายชานห่วงใยเด็กสาวคนนี้มากเพียงใด   ก็ได้แต่รำพึงในใจ  ไม่รู้ว่าแต่ละคนรู้สึกอะไรต่อกันบ้าง  จึงอยากจะพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมา  ทว่าพออยู่ต่อหน้าเหลียนฟางโจวแล้ว  ก็พลันพูดไม่ออก   จึงถอนใจออกมาทีหนึ่ง  แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคงกดดันมากเลยสินะ!”
                  นางคงกดดันมาก  ยามได้เผชิญหน้ากับหยางหวายชาน  แล้วต้องใช้ความสุขุมเยือกเย็นและสมองมากกว่าความรู้สึก  ป้าจางกับเหลียนเซ่อนั้นคล้ายกัน  มักคิดว่าเหลียนฟางโจวยังอาลัยอาวรณ์หยางหวายชานอยู่  ด้วยเหตุนี้ยามที่เลิกกัน  นางจึงแสดงความเคียดแค้นรุนแรงในใจออกมา  มองดูแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ!
          ********

[1] ราดน้ำมันเติมน้ำส้ม  เป็นสำนวน แปลว่า เสริมเพิ่มเติมรายละเอียด ขณะเล่าเรื่องไปด้วย
   ----------------------------------------------------------------------
  ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ ^-^
   




16 ความคิดเห็น:

  1. ตอนนี้มีความหิวมาก แล้วมาอ่านเวลานี้อีก หิวววววว

    ตอบลบ
  2. ชอบตอนที่มีอาหารมาเกี่ยวข้องจริงๆ หิวๆๆๆ

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณค่ะไรท์มารอทุกวันเลย55
    กำลังจะทำการใหญ่กันแล้วตื่นเต้นๆ

    ตอบลบ
  4. มีภาพประกอบด้วย ขอบคุณค่า

    ตอบลบ
  5. ไม่น่ามาอ่านตอนดึกๆเลย หิวววววววว

    ตอบลบ
  6. ไม่เคยกินเล่าปิ่ง หิวๆๆๆ

    ตอบลบ
  7. เรื่องนี้ใช้ตัวละครคุ้มจริง สลับกันโผล่มาครบรึยังเนี่ย เหลือใครอีกไหมค้าา ขก.จำ

    ตอบลบ
  8. ชอบๆๆๆๆกำลังสนุก. ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  9. ม่ายนะ ไม่น่า อ่านตอน ท้องว่าง เลยม่ายยยยยยยยยยยยยยย

    ตอบลบ
  10. ไม่ระบุชื่อ10 สิงหาคม 2560 เวลา 13:32

    ขอบคุณมากคะ สนุกสนาน หลากหลายรสชาด เพลิดเพลิน และ เห็นแล้ว อยากกินขึ้นมาเลยค่ะ

    ตอบลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ10 สิงหาคม 2560 เวลา 20:57

    ขอบคุณคะ

    ตอบลบ
  12. เวลามีตอนที่บรรยายอาหาร
    หิวตามเลย

    ตอบลบ
  13. ไม่ระบุชื่อ12 สิงหาคม 2560 เวลา 19:19

    ชอบมากค่ะ ขอบคุณมากนะคะ

    ตอบลบ
  14. อ่านตอนนี้แล้วหิวข้าว🤣🤣

    ตอบลบ