พอคิดได้ดังนั้น เหลียนลี่จึงลองหยั่งเชิงถามด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อกี๊ได้ยินว่า พูดถึงฟางโจวกับน้องๆนางใช่หรือไม่? พวกเขาเป็นเด็กดีมิใช่หรือ?
เอ่อ...มีปัญหาอะไรหรือเปล่า!” เหลียนลี่เอ่ยขึ้น
ฮูหยินเฉียวพอได้ยินชื่อเหลียนฟางโจวเท่านั้น ถึงกับแค่นเสียงเฮอะเบาๆ
“หากคนอื่นๆไม่ดีกันหมด ไหนเลยนางจะไม่ดีได้เล่า? เด็กสาวคนนั้นน่ะอันธพาลจะตาย ชอบชิงดีชิงเด่น มักรังแกผู้อื่นด้วยความอิจฉาตาร้อน”
ไม่รอให้ฮูหยินเฉียวกล่าวจบ เหลียนลี่ก็รีบตะคอกซ้ำๆให้นางหยุดทันที แล้วรีบหันไปเอ่ยกับชุยเฉ่าซีด้วยรอยยิ้ม “ฟู่เหรินบ้านนอก พูดจาไม่ค่อยรู้ความ ฮ่าฮ่าฮ่า คุณชายซู ท่านไม่ต้องลดตัวไปสื่อสารกับนางหรอก! ฟางโจวเด็กคนนั้น อะไรๆก็ดีหมด
กร้าวแกร่งที่สุด มุ่งมั่นความสำเร็จที่สุด!”
ฮูหยินเฉียวเจอเหลียนลี่ตะคอกเสียงดังใส่
พลันกลับฟื้นคืนสติ รีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็คิดเช่นนั้นแหละ ฮ่าฮ่าฮ่า หมายความตามนั้นแหละ!”
ชุยเฉ่าซีพอได้ยินฮูหยินเฉียวตำหนิเหลียนฟางโจวออกมาเช่นนั้น เขาชักเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะรู้สึกได้ชัดว่า น้ำเสียงที่ฮูหยินเฉียวกล่าวถ้อยคำพวกนั้นชุ่มโชกด้วยความขุ่นเคือง มันคงมาจากก้นบึ้งในใจนางเป็นแน่แท้
พอตระหนักชัดถึงข้อนี้
ชุยเฉ่าซีจึงไม่พอใจอย่างยิ่ง
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลนัก
เรื่องของเรื่องก็คือ มีครอบครัวไหนบ้างที่ไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งกัน? มีครอบครัวไหนบ้างที่ไม่มีคนเลว? พูดถึงครอบครัวทั่วๆไป ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ ระหว่างบิดาและพี่ชายสายเลือดเดียวกัน และแม้แต่ญาติทางฝั่งบิดารุ่นราวคราวเดียวกับเขา ไม่มีหรอกที่จะไม่วางแผนเล่นงานกัน ห้ำหั่นกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง เรื่องเหล่านี้ตั้งแต่อ้อนแต่ออก เขาเห็นมานักต่อนักแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ใจเขาคิดเพียงว่าฮูหยินเฉียวคงไม่ถูกกับคนบ้านเหลียนฟางโจวเป็นแน่
ถึงอย่างไรก็นับว่ายังดี ยังมีเหลียนลี่ที่ดีต่อครอบครัวฟางโจวอยู่
เขาพลันรู้สึกขึ้นมาว่า
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องช่วยพูดแก้ต่างแทนฟางโจวเสียแล้ว จึงยิ้มเจื่อนๆเอ่ยว่า “ฟางโจวไม่มีบิดามารดาคอยเกื้อหนุน มิหนำซ้ำยังมีน้องชายน้องสาวที่ต้องคอยห่วงใยดูแล หากใจนางไม่แกร่งพอ คงจะต่อกรกับคนที่มารังแกไม่ได้กระมัง?
การมีจิตใจแข็งกร้าวบ้าง ย่อมนับว่าดีอยู่แล้ว หากนางไม่แกร่งพอ คงไม่อาจยืนหยัดแบกรับภาระที่หนักหน่วงเช่นนี้ได้หรอก!”
“ถูกต้อง! ท่านกล่าวได้ถูกต้องนัก!” เหลียนลี่พรูลมหายใจและพยักหน้าเห็นด้วย “ฟางโจวเด็กคนนั้น ข้าเองก็เสียใจกับนางจริงๆ!”
ชุยเฉ่าซีได้ยินเช่นนี้แล้ว
รู้สึกพอใจเพิ่มขึ้นมาหนึ่งส่วน รีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอ่อ เคราะห์ดีนัก ที่นางมีญาติผู้ใหญ่เช่นท่านทั้งสอง เข้ามาคอยดูแลบ้าง! นั่นคงจะทำให้อะไรๆราบรื่นขึ้นมากทีเดียว!”
“นาง...” ฮูหยินเฉียวแทบจะอดรนทนไม่ได้ คิดอยากจะเปิดปากบอกว่าเหลียนฟางโจวสะบั้นความสัมพันธ์กับนางและสามีแล้ว เหลียนลี่รีบขึงตาใส่ภรรยา แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ย่อมเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้ นับเป็นหน้าที่อยู่แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!
เฮ้อ เพียงแต่ครอบครัวของข้าเป็นครอบครัวเล็กๆที่ยากจน อีกทั้งบุตรชายของข้ากำลังเรียนที่สำนักศึกษาในเมือง
ต้องใช้เงินมากนัก แต่ละปีก็มีรายได้เข้ามาเพียงน้อยนิด! พวกเราคิดอยากช่วยเหลือนาง ก็ได้แต่คิดในใจ เพราะไร้กำลังความสามารถ!”
เหลียนลี่พรูลมหายใจ แล้วพึมพำออกมาอีกสองสามคำ ยืดหลังตรง
แล้วเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง “ทว่ายังโชคดี ที่ข้าพบหนทางแก้ไขแล้ว สกุลซูของท่านได้อ้าแขนดูแลญาติคนหนึ่ง นับจากนี้ไป
นางคงลืมตาอ้าปากได้เสียที พวกเราเห็นแล้ว รู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะ!”
ชุยเฉ่าซีได้ยินจึงผงกศีรษะ หัวเราะด้วยความสบายใจ แล้วพรั่งพรูลมหายใจ
พลางเอ่ยขึ้น “ทั้งสองครอบครัวล้วนเป็นญาติพี่น้องกัน ก่อนหน้าไม่รู้ก็แล้วไปเถิด ตอนนี้เมื่อรู้แล้ว ย่อมมิอาจนิ่งดูดาย!”
“คุณชายซู ช่างเวทนาคนยากจน ผู้ด้อยโอกาสเสียจริงๆ! ฮ่าฮ่าฮ่า
ที่ฟางโจวของเราไปเยี่ยมญาติผู้พี่ที่เมืองชวงหลิว
นับว่าไม่เสียเปล่า ดีๆ ใช่แล้ว! ช่างเป็นการเดินทางที่มีคุณค่านัก!” เหลียนลี่เอ่ยหัวเราะชื่นชม พร้อมยกนิ้วให้ ในใจคิดตรึกตรองด่วนจี๋เพื่อหาวิธีให้ชุยเฉ่าซีพิจารณาช่วยเหลือครอบครัวของตนเองบ้าง
ชุยเฉ่าซีได้ยินเขาเอ่ยมาเช่นนี้ ให้รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย ไม่ว่ามองมุมไหน ฟังดูแล้วแปลกพิกล ใจเขาร่ำร้องให้โต้แย้งปฏิเสธออกไป
แต่ดูเหมือนว่า ไม่มีจุดไหนให้สามารถบอกปฏิเสธได้เลย
จึงทำแต่เพียงหัวเราะออกมา มิได้เอ่ยตอบรับในเรื่องนี้
ใจของเหลียนลี่พลิกคว่ำพลิกหงาย
ไปหลายตลบ ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งผุดแวบขึ้นมา จึงเอ่ยขึ้น
“จริงสิ ยามนี้ฟางโจวกำลังทุ่มเงินกว้านซื้อเมล็ดฝ้าย เงินทุนนี้เอามาจากสกุลซูของท่านใช่หรือไม่?
ชุยเฉ่าซีผงกศีรษะ
“ใช่ ที่แท้ฟางโจวได้เริ่มเตรียมการแล้ว นางช่างลงมือรวดเร็วนัก!”
“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว” เหลียนลี่หัวเราะ “นางเอาแต่บอกว่านางต้องทำให้ดี ไม่อาจทำให้สกุลซูขายหน้าได้ พอนางกลับมาจากเมืองชวงหลิว ก็รีบลงมือทันที! ข้าเองก็คิดเอาไว้ว่า อีกสักวันสองวัน จะเข้าไปช่วยนางจัดการดูแล ไม่เช่นนั้น จะปล่อยให้นางที่เป็นเด็กสาวยังไม่ออกเรือน ลงมือทำมาค้าขายใหญ่โตถึงเพียงนั้นได้ที่ไหน มิหนำซ้ำยังไม่สะดวกที่เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนต้องเดินตากหน้าไปพบปะติดต่อผู้คนข้างนอกเช่นนี้ คุณชายซู..ที่ท่านกล่าวมานี่ มิใช่เพราะเหตุผลนี้หรือไร? ”
“ถูกต้อง จริงด้วย”
ชุยเฉ่าซีพลันพยักหน้า แย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“หากมีท่านลุงคอยยื่นมือช่วยเหลือ นั่นย่อมดีที่สุด ฟางโจวจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเกินไปด้วย!”
“ท่านออกปากมาอย่างนี้แล้ว!
ข้าจะตั้งใจให้มากเลย!” เหลียนลี่ให้ยินดีปรีดานัก
วันนี้เขาเพิ่งรู้ข่าวว่าเหลียนฟางโจวซื้อที่ดินรกร้างตรงลานหิน
เนื้อที่มากกว่า 1,000 หมู่ และยังจ้างคนงานมาบุกเบิกที่ดินด้วย อีกทั้งยังกว้านซื้อเมล็ดฝ้ายมากมาย ลำพังหากไม่นับเรื่องซื้อที่ดิน!
แน่นอน...
ต้องมีเงินผ่านมือมากมายขนาดไหนกันนะ? เพียงแค่เขาไปดึงเอาออกมาใช้บ้างสักเล็กน้อย
ก็น่าจะพอเป็นค่าใช้จ่ายของที่บ้านทั้งปี ซ้ำยังทำให้การดำรงชีวิตดีขึ้นทันตาเห็นอีกด้วย!
ทว่าเขาตระหนักดีว่า เมื่อครั้งก่อนเขาได้สอบถามเหลียนฟางโจวดูแล้ว นางกลับไม่ยอมเปิดปากแพร่งพรายออกมาสักแอะ
และยามนี้เขาอยากอาศัยความเป็นญาติผู้ใหญ่ เพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในธุกิจนี้ด้วย ย่อมเป็นไปไม่ได้
เด็กสาวคนนั้นหาใช่เด็กสาวแบบเมื่อก่อน
ยามนี้นางค่อนข้างเป็นตัวของตัวเอง! แม้แต่เกลือหรือน้ำมันยังไม่ให้กระเด็นเลย เขาจึงทำได้เพียงแต่มองดูด้วยความอิจฉาตาร้อนเท่านั้น
ทว่านี่เรียกได้ว่า ต่อให้โชคดีชนเข้ากับกำแพงทางใต้[1]
ก็หยุดไม่อยู่แล้ว!
ไม่เช่นนั้น
จู่ๆ...ไฉนคุณชายซูถึงได้ดั้นด้นมาถึงที่นี่ในยามนี้ได้
ทั้งยังขอให้เขาหยิบจับช่วยเหลือ ? แสดงว่าสวรรค์ประทานโอกาสให้เขาแล้วกระมัง!
เรื่องนี้ เดิมทีเด็กสาวคนนั้นเป็นเพียงตัวแทน
ทำงานในนามสกุลซู เขาไม่รู้หรอกว่านางไปใช้วาทศิลป์โน้มน้าวสกุลซูให้ไว้วางใจนางได้อย่างไร ถึงได้มอบเงินให้นางมากมายขนาดนั้น ตอนนี้ความจริงที่คุณชายสกุลซูได้เอ่ยปากออกมา ให้เขาช่วยดูแลจัดการด้วย ต่อให้เด็กคนนั้นไม่เต็มใจให้เขาเข้ามายุ่ง ก็ย่อมต้องถอยให้ เพราะเห็นแก่คุณชายซู!
ตราบใดก็ตามที่เงินและที่ดินตกอยู่ในกำมือเขาในท้ายสุด
ฮึ่ม ก็ไม่มีอะไรที่เด็กสาวคนนั้นต้องเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว! ในภายภาคหน้า ผู้ที่จะได้ติดต่อเกี่ยวข้องกับสกุลซู ย่อมเป็นตัวเขาเองเท่านั้น!
เช่นนั้น...หากพาไห่เอ๋อร์มาพบปะรู้จักด้วย สกุลซูออกจะมั่งคั่งร่ำรวยปานนั้น ยิ่งได้ผูกมิตรกัน ย่อมไม่มีปัญหาใดๆแน่
มิหนำซ้ำเขามั่นใจว่า หากคนสกุลซูกับเขาหากได้ติดต่อกันหลายๆครั้งเข้า ย่อมจะรู้ซึ้งเองว่า เขาคือตัวเลือกที่ดีที่สุด ที่จะจัดการธุระต่างๆให้สกุลซูได้อย่างยอดเยี่ยม
แล้วเหลียนฟางโจวจะนับเป็นตัวอะไรได้?
ถึงอย่างไร สกุลซูแค่ต้องการคนมาจัดการธุระให้เพียงเท่านั้น หากเขาทำได้ดีกว่าเหลียนฟางโจว ไฉนคนพวกนั้นจะให้เหลียนฟางโจวทำเล่า? เพราะเป็นญาติหรือ? ช่างน่าขันนัก! หากให้ญาติมาเห็นบ้านช่องของนังเด็กน่าตายผู้นี้จริงๆก่อนสิ
ต่อให้มีสายสัมพันธ์กันมาหลายปี ก็คงไม่อยากเกี่ยวช้องด้วยหรอก?
เรื่องนี้ ในภายภาคหน้า ขึ้นอยู่กับสกุลซูเท่านั้น เงินทองจะขาดมือได้หรือ? ในภายภาคหน้า ชีวิตนี้
ต่อให้ไม่อยากชุบตัวด้วยเงินด้วยทอง
ก็ยังต้องเปล่งแสงโชติช่วงเจิดจ้าแล้ว....
เหลียนลี่ยิ่งคิด ก็ยิ่งยินดีปรีดานัก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มชื่นมื่น หัวเราะฮาฮา
ยิ้มกว้างจนปากแทบจะฉีกถึงใบหูอยู่แล้ว
ชุยเฉ่าซีแม้จะงุนงงอยู่บ้าง ว่าลุงของหญิงสาวหัวเราะอย่างตื่นเต้นดีอกดีใจไปทำไมกัน
แต่กลับไม่ถามอันใด
ได้แต่หัวเราะฮาฮาตามบ้าง
ใจของเหลียนลี่พลันสั่นสะท้านขึ้นมาทันใด คิดว่าจำเป็นอย่างยิ่ง ที่เขาควรบรรยายความสามารถของตนเองให้ ‘คุณชายสกุลซู’ ได้ฟังต่อหน้า เผื่อว่าคุณชายซูจะได้เข้าใจตัวเขาขึ้นมาอีกนิด ในภายหน้าจะมองตัวเขาว่าเป็นคนเก่งมีความสามารถ
เขาคิดได้ดังนั้นแล้ว ก็ยิ้มแป้น พลางคุยโม้โอ้อวดสรรพคุณตนเอง ให้ชุยเฉ่าซีฟังไม่หยุุด
*********
[1] บ้านคนจีน กำแพงหลังบ้านมักอยู่ทางทิศใต้ ชนกำแพงทางใต้ หมายถึงมาสุดทางแล้ว ไปต่อไม่ได้อีกแล้ว เพราะมีกำแพงขวางนั่นเอง
----------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ และการติดตามนะคะ
ต้องขออภัยผู้อ่านด้วยค่ะที่อัพช้า พอดีมีงานด่วนเข้ามาค่ะ
ถือว่าคนแต่งเข้าใจตั้งชื่อตอนมาก ทั้งพระรอง กับลุงนางเอก เข้าใจผิดกันไปใกลคนละทางสองทาง อีตาลุงก็ช่างมโน คิดว่าตนเองเก่ง เอาแต่ชุบมือเปิบหน้าด้านๆ ส่วนพระรอง ก็เข้าทำนอง ทำดีไม่ได้ดีไปเสียอีก ^-^
น่าสงสารจัง
ตอบลบขอบคุณนะคะ
แอบตลกปนสงสาร
ตอบลบขอบคุณค่ะรีบมาต่อนะค่ะ รอรอร
ตอบลบอ่านแล้วอกอีแป้นจะแตกค่า....คับอกคับใจจริงๆ
ตอบลบอยากโดดถีบอิลุงขาคู่มาก
จะรุ้ตัวเมื่อไหร่จ๊ะพระรองว่าโดนหลอกเนี่ย
รอเสมอ...อยากให้รีบมาต่อตอนต่อไปขอบคุณค่ะ
โง่ สมกับเป็นพระรอง
ตอบลบแรงอ่ะ แต่นางก็ดันโง่จริงแหละ 55555
ลบก็นะ5555555 ไม่รู้จะขำหรือสงสารดี อ้าว!!ขำไปแล้วนี่
ตอบลบสงสารนางเอก อิลุงอิป้า นี้น่าขยะแขยงจริงๆ
ตอบลบต้องรีบอ่านผ่านๆ เพื่อให้มันผ่านช่วงอิลุงอิป้ามหาภัยเร็ว ขยะแขยงมากมาย
ตอบลบชุยเฉ่าชี...นายสมควรเป็นได้แค่พระรองเท่านั้นละ เคืองมากมาย
สู้พระเอกเราก็ไม่ได้ ขนาดความจำเสื่อมยังฉลาด ทำงานให้นางเอกได้สบาย
ลบอิลุงป้านี่น่ารังเกียดไม่มีที่สิ้นสุด เมื่ไหร่จะกำจัดไปพ้นๆแบบถาวรสักที ย้ายบ้านเลยไหมฟางโจวววว
ตอบลบสงสารคุณชายนางนี้จริงๆ มโนไปไกล แต่เสียใจฟางโจวมีคนจองแล้วเหอะ ฮึ่ม
อยากกระโดดถีบขาคู่ใส่อีลุงป้ามาก
ตอบลบคุณชายก็ทั้งโชคร้ายและซื่อบื้อ ต้องให้นางเอกลุยเองหมดหรือไงเนี่ยยยยย
โถๆๆ นี่พระรองหรือตัวประกอบ คือขนาดบทพระเอกเจือจางขนาดนี้ยังเด่นกว่าเลย ทั้งฉลาดทั้งแกร่งทั้งละมุน อร๊ายยยย -////-
ตอบลบโอ...เห็นเค้าลางยุ่งยากมารำไรแล้วคุณชายชุ่ยมุ้ยมาเยี่ยมหรือมาสร้างปัญหากันละนี่ เห็นชัดละที่นางเอกไม่อยากติดต่อด้วย ก็พ่อเล่นเซ่อๆโง่ๆมึนๆไปเรื่อย เฮ้อ...เหนื่อยใจแทนนางเอก
ตอบลบสงสารพระรอง//เกลียดอิลุงกับป้ามากกกเลวไม่พอยังหนาด้านอีก
ตอบลบควายแท้ๆ เดี๋ยวนางเอกก็เดือดร้อนเพราะความโง่เง่าเต่าตุ่นของคนๆนี้อีก
ตอบลบไอ้งั่งเอ้ย... หลักฐานอะไรก็ไม่มี หมูหมากาไก่ที่ไหนมาอ้างเป็นญาติกับนางเอก พ่อก็เชื่อไปโดยไม่ระแวงไม่ฉุกคิดสักนิดว่าใช่ตัวจริงไหม ไม่ต้องว่ากันถึงเรื่องที่ลุงป้ามันสันดานเลวหรอกนะ ต่อให้ลุงป้าเป็นคนดี แต่ สมมติว่าคนที่ไปเจอไม่ใช่ลุงใหญ่จริง ๆ แต่เป็นมิจฉาชีพคนอื่นมารับสมอ้างเป็นญาตินางเอก ไอ้ซื่อบื้อโลกงดงามนี่ก็ยังต้องเชื่อว่าเป็นญาตินางเอกตัวจริงแหง ... บอกว่าชอบเขาแต่ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเขาก็ไม่รู้เลยสักอย่าง ยังจะเรียกว่าชอบได้อีกรึ ก่อนหน้านี้ก็เซ่อซ่าทำของมีค่าราคาเป็นหมื่นหล่นหายไปทั้งห่อ นอกจากมีบุญที่เกิดมารวยแล้วช่างเป็นคนไม่ได้ความจริง ๆ จะเรียกเป็นพระรองยังไม่ได้เลย ปกติพระรองมันต้องเป็นผู้งานดีมีคุณภาพพอจะแข่งกับพระเอกได้สิ เจ้างั่งนี่น่าจะเป็นแค่ดาราสมทบมากกว่า
ตอบลบบ้านลุงมหญ่ของนางเอกคือหน้าด้านมากกกกกกกก
ตอบลบ