เหลียนฟางโจวพอจะเข้าใจแล้วว่าสกุลซูที่เหลียนลี่กล่าวถึงคือสกุลซูไหน ใจเธอเริ่มเย็นเยียบและงุนงงสับสน
ทว่าก็ยังไม่แสดงออกมาทางสีหน้า หญิงสาวเอ่ยพร้อมแย้มยิ้มบาง
“ที่แท้ก็คนสกุลซูมานี่เอง! ป้าใหญ่คิดว่าตัวข้าต้องแสดงปฏิกิริยาอันใดหรือ?”
อย่าบอกนะว่าเปี่ยวเจี่ย(ญาติหญิงผู้พี่) ส่งคนมา? หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเขาไม่ควรมาหาพวกเธอหรอกหรือ? ไฉนถึงได้ตรงดิ่งไปบ้านลุงใหญ่ได้เล่า?
เหลียนฟางโจวอดนึกฉุนในใจไม่ได้
บางทีลุงลี่อาจเล่นตุกติกพาคนที่มาถามหาเธอไป แล้วบอกว่าตนเองเป็นลุงแท้ๆแซ่เดียวกับเธอก็เป็นได้? คนจากสกุลซูไหนเลยจะรู้ว่าบ้านลุงกับบ้านเธอตัดขาดกันแล้ว? เรื่องราวน่าจะเป็นไปในทำนองนี้แน่!
พวกเขามีความสามารถบิดเบือนเรื่องให้เป็นเช่นนี้ได้อยู่แล้ว ลึกๆแล้วไม่รู้ว่าไฉนเปี่ยวเจี่ยถึงได้ส่งคนมา
ซ้ำยังไม่รู้เลยว่าแต่ละฝ่ายเจรจาอะไรกันไว้?
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นมาอย่างไร
เหลียนลี่อยากจะบอกอะไรเธอนะ ซ้ำอาจกล่าวตู่ว่าเป็นคำพูดของคนสกุลซูก็เป็นได้ เหลียนฟางโจวยังไม่ปักใจเชื่อ เธอใคร่ครวญดูแล้ว ควรถามเอากับเปี่ยวเจี่ยดีกว่า?
“เอาล่ะ! เจ้าคงรู้ว่าสกุลซูที่เดินทางมาคือใคร!” เหลียนลี่โบกมือขัดจังหวะฮูหยินเฉียว วันนี้เขามีเรื่องสำคัญมาแจ้ง คือการยึดอำนาจการจัดการ ซ้ำไม่อยากเสียเวลากับเรื่องปลีกย่อยอันไม่สลักสำคัญมากเกินไป เพราะมันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
ทั้งยังไม่มีความหมายอันใดด้วย!
ตราบใดที่เงินและที่ดินตกมาอยู่ในกำมือเขาแล้ว เรื่องราวจะเป็นอย่างไรก็ช่าง?
ฮูหยินเฉียวไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ
หน้าบึ้งแค่นเสียงออกมา พลางตวัดสายตาไปทางเหลียนลี่ ทว่าก็มิได้ต่อต้านหรือกล่าววาจาคัดค้านอันใด
สีหน้าของเหลียนลี่ดูเด็ดเดี่ยวนัก จ้องเหลียนฟางโจวเขม็ง พลางเอ่ยว่า “คุณชายซูทิ้งคำพูดไว้ เจ้าจงฟังให้ดีนะ คุณชายซูบอกว่า เรื่องธุรกิจฝ้ายในภายภาคหน้า ให้ข้าเป็นคนเข้ามาจัดการดูแล
และให้เจ้าเอาเงินและโฉนดที่ดินและอะไรต่อมิอะไรทั้งหมดมามอบให้ข้าเสีย! เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ หาใช่สิ่งที่เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนอย่างเจ้า จะพึงทำได้หรอก ให้ข้าออกโรงเป็นตัวตั้งตัวตีในธุรกิจฝ้ายนี้ถึงจะถูกต้องเหมาะสม! เงินทองของคนสกุลซูจะได้ไม่ปลิวหายวับไปในสายลม
และเหนือสิ่งอื่นใด ข้ามิอาจนิ่งดูดายชมดูเจ้าผลาญเงินจนเกลี้ยงไปต่อหน้าต่อตาข้าได้หรอกนะ!”
“อะไรนะ?” ดวงตาเหลียนฟางโจวเบิกกว้าง ให้ฉงนสนเท่ห์มากกว่ารู้สึกประหลาดใจ
เธอจ้องหน้าเหลียนลี่นิ่งไปพักหนึ่งจึงตั้งสติได้ ไม่รู้ว่าตนเองจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี!
กล่าวหาว่านางไม่เหมาะสม แล้วมาพูดอ้างอำนาจชอบธรรมในการดูแล ทว่าเงินนี้มีหลักฐานชัดเจนอยู่แล้ว คือเงินที่เธอไปหยิบยืมกับเปี่ยวเจี่ยมา การจะใช้เงินอย่างไรย่อมเป็นเธอเองที่เป็นผู้วางแผน
สามีของเปี่ยวเจี่ยไม่มีเหตุผลที่จะเข้ามาก้าวก่าย!
ยิ่งมาได้ยินที่ลุงใหญ่ชี้แจงแถลงไขไว้ เงินเจ้าปัญหานี้คล้ายว่ามิใช่เงินที่เธอไปหยิบยืมมา ตรงกันข้ามดูราวกับว่าเป็นเงินของสกุลซูเอง
พี่เขยผู้นั้น
เธอได้ยินว่าแต่ก่อนขึ้นชื่อลือชาว่าเป็นคุณชายเจ้าสำอางแห่งเมืองชวงหลิว สนใจแต่เรื่องกินดื่มเที่ยว เสพสุขไปวันๆ
ชีวิตสมบูรณ์พูนสูขเยี่ยงนี้ ไม่เห็นมีเหตุอันใดให้ออกจากจวนของตระกูลได้ หากแม้นว่าเขาเดินทางมาจริงๆ ก็น่าจะมาโดยรถม้าพร้อมข้าทาสบริวารกลุ่มใหญ่อย่างเอิกริกด้วยซ้ำ
หากลงอีแบบนี้ ไยตัวเธอเองถึงไม่ระแคะระคายเลยเล่า?
พอคิดได้ดังนี้แล้ว เหลียนฟางโจวยิ่งเอนเอียงว่าเหลียนลี่ท่าจะพูดปด ทว่าไฉนเขาถึงยืนยันหนักแน่นเช่นนั้นเล่า? ไม่น่าเป็นไปได้!
หญิงสาวจึงทำเพียงยิ้ม
และไม่เอื้อนเอ่ยอันใด
“ที่ข้าพูดมานี่ยังไม่กระจ่างอีกหรือ?”
เหลียนลี่ย่นคิ้ว เสียงเข้มขึ้น เอ่ยเสียงเย็นเยียบ “เจ้ารีบเอาโฉนดที่ดินออกมา พร้อมส่งเงินที่เหลืออยู่มาให้ข้าด้วย เงินที่เจ้าผลาญไปก่อนหน้า จงอธิบายข้ามาว่าเอาไปซื้ออะไร! นี่คือวาจาที่คุณชายซูทิ้งไว้ เจ้ากล้าไม่เชื่อฟังรึ?”
ป้าสามได้ยินเหลียนลี่เอ่ยออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจปานนั้น จึงชักวิตกกังวล อดชำเลืองมองเหลียนฟางโจวไม่ได้ แต่พอเห็นหลานสาวยังดูสงบนิ่งอยู่ ใจนางจึงพลอยสงบตามไปด้วย
“คุณชายซูล่ะหรือ?”
เหลียนฟางโจวถามขึ้น
“ถูกต้อง!” เหลียนลี่คิดว่านางคงเสียศูนย์ไปแล้ว จึงเอ่ยอย่างหยิ่งผยองเลยทีเดียว “เจ้ารีบส่งมอบทุกสิ่งทุกอย่างออกมาเสียเถิด หาไม่แล้วจะทำให้สกุลผู้ดีอย่างเขาขายหน้าเอาได้!”
เหลียนฟางโจวเหยียดยิ้ม เอ่ยเสียงเนือย
“ท่านบอกว่าคนสกุลซูที่มาคือคุณชายซูหรือ?
ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าเป็นความจริง
หรือเป็นท่านเองที่โป้ปดข้า? เช่นนั้นปากท่านบอกเองว่าเป็นดำริของคุณชายซู
แล้วไยท่านไม่พาเขามาหาข้าที่นี่ด้วยเล่า จะได้คุยเรื่องการมอบอำนาจกันต่อหน้า? ท่านมาทำเช่นนี้ พูดจาปากเปล่าไม่มีสิ่งใดรับประกัน
แล้วจะให้ข้าเชื่อถือท่านได้อย่างไร?”
“เจ้านี่มันไร้ยางอายเสียจริง!” ฮูหยินเฉียวอดก่นด่าไม่ได้
เหลียนฟางโจวแค่นเสียง “ไม่มีหลักฐานรับรอง แต่กลับกล้ากล่าวออกมาเช่นนี้ ข้าไม่รู้ว่าผู้ใดที่ไร้ยางอายกันแน่!”
“เจ้าอย่ามาทำอ้างนั่นอ้างนี่หน่อยเลย! จงคุยกันแค่เรื่องนี้เท่านั้น!” เหลียนลี่รู้ว่าเหลียนฟางโจวย่อมกัดไม่ปล่อย จึงรีบหยุดการต่อล้อต่อเถียงทันที ซ้ำนางยังมีน้องชายและน้องสาวอยู่ข้างๆด้วย
พวกเขาสองผัวเมียจึงหาใช่คู่ปรับไม่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเจรจาเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายยอมจำนน
ถึงแม้จะคาดมานานแล้วว่าเหลียนฟางโจวอาจปฏิเสธ ทว่าพอมาได้ยินนางพูดกับหู
เหลียนลีจึงมีแต่โทสะคุกกรุ่นในจิตใจ
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยอมรับแต่โดยดีแน่” เหลียนลี่คิดในใจว่า ประเดี๋ยวเถอะ
มาคอยดูกันสิว่าเงินกับโฉนดที่ดินสุดท้ายใครจะได้ไป จึงพยายามสะกดกลั้นโทสะที่พุ่งพล่าน เอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “วันนี้คุณชายซูพร้อมบ่าวรับใช้
ควบม้าตัวโตเข้ามาในหมู่บ้านกันสองคน ข้ามิใช่คนเดียวที่เห็น! เฮอะ และเขายังเอาของขวัญมาฝากบ้านข้าด้วย ล้วนเป็นของดีๆราคาแพงทั้งนั้น ไม่มีทางที่คนที่มีชีวิตอย่างเอ้อระเหยไปวันๆอย่างพวกเรา จะมีเงินหาซื้อมาได้หรอก! นี่ไงล่ะหลักฐาน!
หากเจ้าไม่เชื่อ พวกข้าจะไปหาพยานมายืนยันให้ และเจ้าจะไปดูของฝากที่บ้านพวกข้าให้เห็นกับตาเลยก็ยังได้!”
เหลียนฟางโจวนึกสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาโดยพลัน อดถามขึ้นมาไม่ได้ “ท่านบอกว่าพวกเขามากันสองคนนายบ่าวหรือ? ขี่ม้ามาด้วย?”
อากาศเช่นนี้...ขี้ม้ามานี่นะ ซ้ำยังพาบ่าวมาแค่คนเดียวอีก สามีของญาตินางจะไม่ทำอะไรเยี่ยงนี้เด็ดขาด!
เหลียนฟางโจวเริ่มจะเห็นเค้ารางรำไรๆในใจแล้ว
ดูแล้วเขาไม่น่าจะใช่คนสกุลซู ไฉนลุงใหญ่ถึงยืนยันเสียงแข็งว่าเขาคือ
“คุณชายซู” เล่า? สวรรค์ ตกลงเรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่!
เหลียนฟางโจวอดปวดหัวขึ้นมาไม่ได้ จึงยกมือนวดขมับตนเอง เธอให้งุนงงสับสนไปหมดแล้ว
เหลียนลี่เห็นเหลียนฟางโจวมีสีหน้าเช่นนั้น หลานสาวถามคำถามขึ้นมา แต่แล้วก็หยุดไปเสียดื้อๆ โทสะที่อัดแน่นอยู่ในตัวเขาแทบจะพุ่งออกมา ผู้เป็นลุงตะคอกเสียงต่ำ “ฟางโจว! เจ้านี่มันชอบขัดจังหวะนัก เดี๋ยวก็เปลี่ยนเรื่องไปทางโน้นทีทางนี้ที
จนข้าหลงทาง เอา เลิกปวดหัวได้แล้ว แล้วรีบๆเอาของพวกนั้นส่งมาให้ข้าเสีย!”
“ลุงใหญ่”
เหลียนฟางโจวหัวเราะเอ่ยว่า “คุณชายซูผู้นี้ไม่รู้จักท่าน แล้วเขาจะมาบ้านท่านถูกได้อย่างไร? แล้วยังจะมีของฝากมาให้อีกเล่า?”
“ของทั้งหมดนั่นเขามอบให้เรา!
เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด!”
เหลียนฟางโจวยังไม่ทันถามต่อ ฮูหยินเฉียวก็รีบตอบทันที
เหลียนลี่ย่อมไม่รังเกียจที่จะแบ่งของฝากให้
ทว่าไม่คิดว่าฮูหยินเฉียวจะทำตัวน่าไม่อายเช่นนี้ ได้ยินวาจาของฮูหยินเฉียว แล้วมาเห็นเหลียนฟางโจวเหยียดมุมปากอย่างดูแคลนอีกรอบ ใบหน้าอดแดงเรื่อขึ้นมาไม่ได้ จึงขึงตาใส่ฮูหยินเฉียว เอ่ยเสียงเรียบ “หากเป็นคนรู้จักเคารพญาติผู้ใหญ่ ก็คงรู้ธรรมเนียมมรรยาทดี!”
เหลียนเซ่อไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไปแล้ว จึงอดเอ่ยออกมาไม่ได้ “หากไม่ใช่เพราะพวกเรา คนสกุลซูจะรู้ว่าพวกท่านเป็นใครหรือ? มิใช่ว่าพอพวกเขาเจอท่านในหมู่บ้าน ท่านก็เลยอ้างว่ามีศักดิ์เป็นลุงใหญ่ของพวกเรา!”
“เจ้าพูดอะไรออกมา !
สกุลซูให้เกียรติพวกเรานัก เขาย่อมรู้แน่ว่า ต่อไปไห่เอ๋อร์ของบ้านเรา จะได้กินตำแหน่งขุนนาง เช่นนั้นพวกเราจึงคู่ควรที่จะไปมาหาสู่สนิทสนมกับสกุลเขา
หาใช่คนอย่างพวกเจ้าไม่ !” ฮูหยินเฉียวทำสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม
“ป้าใหญ่ พี่ชายไห่ดูเหมือนปีหน้าจะแค่ไปสอบคัดเลือกเป็นซิ่วไฉ
(บัณฑิตระดับอำเภอ) มิใช่หรือ!” เหลียนเซ่อเอ่ยเสียงเนิบ
“สกุลซูเป็นถึงคหบดีร่ำรวยแห่งเมืองชวงหลิว
เขาคงคบหาแต่กวนหยวน
(ขุนนางในราชสำนัก) คงไม่แลเซียงเจิน
(ขุนนางระดับหมู่บ้าน)หรอก!”
เหลียนเซ่อกล่าวจบก็ลอบมองสีหน้าของลุงกับป้า ที่มิได้ด่าตอบกลับมา
ฮูหยินเฉียวยังโมโหไม่หาย อดรนทนไม่ไหว อยากจะเปิดปากด่านัก ทว่าพอปะเข้ากับหน้าเหลียนลี่ จำต้องหุบปากฉับ “วันนี้พวกเรามิได้จะมาพูดเรื่องอื่น เจ้าจงหุบปากเสีย! ฟางโจว
ที่ข้ากล่าวออกมาทั้งหมดนี้ เจ้าพอจะเข้าใจบ้างไหม?”
---------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ ^-^
สำหรับผู้อ่านที่ follow ผ่านเฟซบุค อย่าลืมเพิ่ม option “เห็นโพสต์ก่อน”
(see first) ด้วยนะคะ
ตายๆ ลุงป้าคู่นี้หน้าแหกกลับบ้านอีกแน่นวลลลลล 5555
ตอบลบจัดหนักๆเลยฟางโจว ขยะเปียกจริงๆ
ตอบลบขอบคุณนะคะ
ตอบลบเฟซบุ๊กไม่เตือนเลยค่ะ กดติดตามก็แล้ว ต้องเข้ามารีเฟรชดูทุกวัน วันนี้สมใจเลย
ลุงป้านี่ขี้ตู่ คิดเองเออเองอีกตามเคย เดียวคงรู้สึก 555...ขอบคุณคะ
ตอบลบโอ๊ยยย ปวดหัวกะอีลุงป้าคู่นี้ บางทีก็สติหน่อยไหมมมมม
ตอบลบหนากว่านี้มีอีกมั้ย
ตอบลบเฮ้อ ลุงป้าคู่นี้
ไม่รู้จะใช้คำไหนมาบรรยายลุง-ป้า คู่นี้ มันน่าจริง ๆ เล้ย
ตอบลบดูทรง แล้ว น่าจะหน้า แหก กลับบ้าน ฟางโจ้ว ฟ้องร้อง ขึ้น ศาลซักที สิ ไม่รู้สมัยนั้นมีคดีแพ่ง หรือเปล่า
ตอบลบเหนื่อยใจแทนฟางโจว
ตอบลบหน้าหนากว่านี้มีอีกไหมมม
ตอบลบอ่านแล้วได้แต่คิดในใจ ลุงป้าคู่นี้ นี่มัน สารเลวจริงๆเล้ย!
ตอบลบ