วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 130 ช่วงชิงอำนาจ

                        “เอาล่ะ”  เหลียนฟางโจวผงกศีรษะ   แย้มยิ้มและเอ่ยว่า “ที่ท่านผู้อาวุโสกล่าวมานี่ดูมันล่องลอยขาดเหตุผลสนับสนุนอยู่นะ!    จึงยังไม่เพียงพอให้ความกระจ่างในเรื่องนี้ได้!   แล้วอีกอย่างเพียงคำพูดปากเปล่า  ย่อมมิอาจใช้เป็นข้อพิสูจน์ได้  เฮ้อ!” 
                        “ไยจะพิสูจน์ไม่ได้เล่า?”  เหลียนลี่โมโหจนตัวสั่น  “พยานบุคคลก็มี หลักฐานก็มี!”
                        “ลุงใหญ่  อันที่จริงนะ  ท่านไปพาคุณชายซูมาให้ข้าเห็นหน้าค่าตาหน่อยเถิด   จะไม่ทำให้เรื่องกระจ่างแจ้งกว่าหรือ?”  เหลียนฟางโจวอมยิ้มแล้วเอ่ยถามขึ้น

                        “เจ้ากล่าวถูกแล้ว!”  เหลียนฟางโจวนึกไม่ถึงว่าเหลียนลี่จะเห็นด้วยกับวาจาของเธอ   ทว่าเพียงเห็นสีหน้าก็เทียบไม่ได้กับความเสียใจมากล้นที่เจือมาในน้ำเสียงยามเอ่ยออกมา “ยามนั้นตอนที่ข้าได้คุยกับคุณชายซู  ก็มัวแต่อารามดีใจไปหน่อย   ไม่นึกเลยว่าจะลืมเรื่องสำคัญยิ่งเช่นนี้ไปได้   พอคุณชายท่านจากไปแล้ว  ข้าถึงได้นึกออก !”
                        เขาบ่นเสร็จก็แค่นเสียงหัวเราะ “เจ้ากำลังสงสัยว่าข้ากล่าวปดหรือ   ต่อให้เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง   เจ้าคิดว่าข้าไม่มีหัวคิดหรือไง   นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่  ข้าจะปดเจ้าได้อย่างไรเล่าคุณชายซูบอกข้าไว้ว่า   อีกสักพักเขาจะมาเยี่ยมข้าอีก!”
                        เหลียนฟางโจวอดเหล่ตาขึ้นมองเหลียนลี่ไม่ได้   ดวงตาหญิงสาวเป็นประกายวาววับ
                         เหลียนลี่เห็นเหลียนฟางโจวในที่สุดก็ให้ความสนใจขึ้นมาแล้ว   จึงแค่นเสียงในใจ   นึกในใจว่า  ยามนี้ข้าเห็นแล้วว่าจุดอ่อนเจ้าคืออะไร!   เจ้าคิดว่าเจ้าจะเอาตัวรอดได้รึ!
                          เหลียนลี่มิรู้จริงๆว่า   เหลียนฟางโจวคิดอะไรในใจ     ซึ่งในใจของหญิงสาวคิดว่า เมื่อถึงเวลา   เรื่องคงจะลงเอยไม่มีปัญหาแน่   หากเป็นเช่นนั้น   เธอก็มิจำเป็นต้องถ่อสังขารไปถึงเมืองชวงหลิวหรอก    และในยามนี้เธอก็มีงานยุ่งรัดตัว   เกินกว่าที่จะปลีกตัวได้อีก!   คิดได้เช่นนั้นหญิงสาวจึงเบาใจ   เพียงรอให้คนที่ว่ามาก็พอ   แล้วค่อยคิดจัดการ  แก้ปัญหาเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก็ยังไม่สาย
                        หญิงสาวมั่นใจมากว่า    ความจริงของเรื่องมิได้เป็นอย่างที่เหลียนลี่เอ่ยมาแน่นอน 
                        เหลียนลี่คิดชุบมือเปิบจะเป็นฝ่ายเอาเรื่องไปดูแลเอง   ลุงนางกลับขาวเป็นดำ  เริ่มหมายใจจะเข้ามายึดครอง  สีหน้าเขาหมกมุ่นอย่างหนัก   นั่งหน้าเคร่งเครียด   ไม่เอ่ยอันใด
                          เขากำลังคอยให้เหลียนฟางโจวเป็นฝ่ายยอมรับปากก่อน
                         “ในเมื่อเป็นเช่นนี้”  เหลียนฟางโจวยกมือขึ้นเสยผมที่ระข้างแก้มเบาๆ   ยอมรับปากในคนละความหมายกับเหลียนลี่   หัวเราะและเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็คอยไปก่อน  แล้วพอคุณชายอะไรนั่นมาให้เห็นหน้าอีกครั้ง  ก็ค่อยเจรจากันอีกทีก็แล้วกัน!   ลุงใหญ่   ท่านคิดว่าดีหรือไม่?
                         “เจ้า!” เหลียนลี่พลันผุดลุกยืนขึ้นทันที  แล้วยกมือชี้หน้าหลานสาวด้วยความโมโหโกรธา  “เจ้าตั้งใจจะไม่ส่งมอบทรัพย์สินพวกนั้นให้ข้าหรือ?
                        “ส่งมอบอันใดหรือ?  ไฉนข้าต้องส่งมอบให้ด้วยเล่า?”  เหลียนฟางโจวตอบคำถาม
                         “เจ้ากล้าไม่นำพาคำของคุณชายซูรึ!  เหลียนฟางโจว  ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้านัก!  เจ้าอย่าลืมสิว่า  ที่พวกเจ้ามีทุกสิ่งในตอนนี้  ล้วนมาจากใคร! “  ฮูหยินเฉียวเอ็ดเสียงเขียว
                        เหลียนฟางโจวทำสีหน้าเบื่อหน่ายมิอยากตอบโต้   เพียงหันไปเอ่ยกับเหลียนลี่ “ลุงใหญ่...ท่านยังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่?” 
              “ฮึ!  ดีมาก!”  เหลียนลี่โกรธจนตัวสั่น    เรื่องที่เขามั่นใจว่าสำเร็จแน่  กลับไม่เป็นอย่างที่คิดเสียแล้ว   เรื่องกลับกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!
                         เหลียนลี่อยากตรงเข้าไปยื้อแย่งเงินและของมาเสียจริงๆ   หลานสาวเขาปกติมักเป็นคนดื้อแพ่งไม่มีเหตุผล   ไฉนยามนี้ถึงเกิดพูดจามีหลักมีการขึ้นมาได้เล่า
                         ทว่าเขารู้ดีว่า   ต่อให้คิดอยากยื้อแย่งมาเพียงได   ก็ไม่อาจเอ่ยคำอื่นใดได้อีก   เหตุผลง่ายๆก็คือมีอาเจี่ยนผู้นี้อยู่   พวกเขาสองคนผัวเมียคงไม่อาจใช้กำลังเพื่อยื้อแย่งมาเป็นของตนเองได้แน่! 
                        ต่อให้เขาจะขุ่นแค้นมากเพียงไร  หรือไม่เต็มใจเพียงไหน  ก็จำต้องยอมรับไปก่อนชั่วคราว   ใจเขาไม่รู้จะระบายถ้อยคำมากมายออกมาอย่างไรดี  ได้แต่เอ่ยออกมาว่า  “แล้วจะได้เห็นดีกัน!” 
                         “คอยดูเถอะ”  เหลียนลี่หน้าถอดสี   แค่นเสียงเย็น “ คอยให้คุณชายซูมาก่อนเถอะ   ข้าจะคอยดูสิว่า   เจ้าจะแก้ตัวกับคุณชายสกุลซูว่าอย่างไร  จะถอนผมคนมีอำนาจย่อมใช้พลังมากกว่า  เจ้าสะบั้นเอวเจ้าเสียอีก!  ข้าอยากเห็นนักว่าเจ้าจะแก้ปัญหาอีท่าไหน!  พวกเรากลับ!” 
                        เหลียนลี่ตะโกนเรียกฮูหยินเฉียว แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปด้วยความคลั่งแค้น
                        “ไยเรื่องนี้จึงลงเอยเช่นนี้ได้!”  ป้าสามออกไปปิดประตูรั้วแล้วกลับเข้ามาในเรือน  เอ่ยถามขึ้น  “น้ำเสียงของพี่ใหญ่นั้น   ทั้งถ้อยคำเหล่านั้น   ไฉนข้าฟังดูแล้ว  คล้ายว่ามิได้โกหกเลยนะ!....”
                        ป้าสามยังมิทันเอ่ยต่อ   กลับอุทานขึ้น “ไอ้หยา!”
                         รึว่าเป็นเรื่องจริง แล้วจะทำอย่างไรกันดีเล่า
                        เหลียนฟางโจวมองหน้าป้าสาม  และเบนสายตาไปทางอาเจี่ยน  เหลียนเซ่อ และคนอื่นๆ  เอ่ยขึ้นช้าๆว่า “ข้าเชื่อว่า  คงมีการเข้าใจอะไรผิดกระมัง!  ลุงใหญ่ไม่ได้บอกหรือว่าอีกไม่นานคนสกุลซูจะมาหาอีกพวกเราคอยดูกันต่อไปดีกว่า..”
              อาเจี่ยนเลิกคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยว่า “เขาอาจไปทักคุณชายซูผิดคนก็เป็นได้ คุณชายใหญ่สกุลซูออกเดินทางมาทั้งที   ไฉนถึงได้หนีบบ่าวรับใช้มาแค่คนเดียว   อากาศแบบนี้กลับขี่ม้ามา    รถม้าแค่คันสองคันจะไม่มีเชียวหรือ”
                          เหลียนฟางโจวขำพรืด   ทำตาโตหัวเราะ แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านก็คิดเช่นเดียวกับข้าเลย”             
                         อาเจี่ยนนิ่งคิด    แววตาส่อความหมาย   อดเบนสายตาไปมองเหลียนฟางโจวไม่ได้ 
                        เหลียนฟางโจวไม่ทันเห็นสายตาของชายหนุ่ม   ยิ้มและเอ่ยว่า “ช่างวุ่นวายเสียจริง  ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีนะ!   สองสามวันมานี่แทบไม่ได้หยุดหายใจหายคอเลย!   ปล่อยไปก่อนเถิด   พวกเรารีบไปอาบน้ำพักผ่อนนอนหลับกันก่อน!  พรุ่งนี้ยังมีเรื่องที่ต้องเร่งมืออีกมาก!” 
                        วันรุ่งขึ้นแต่ละคนต่างก็รีบเร่งวุ่นวายกันแต่เช้าตรู่   เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อ  รวมทั้งอาเจี่ยน  คนทั้งหมดต่างเข้าเมืองไปซื้อกระดูกหมูท่อนใหญ่   มาไว้ตุ๋นเป็นน้ำแกง  รวมทั้งเนื้อหมู  และผักแบบเดิมๆ   ทั้งหิ้วท้องไปกินข้าวเช้าในตัวเมืองด้วย
                        ภายหลังกลับมาแล้ว  เหลียนเซ่อกับอาเจี่ยน  ก็มุ่งหน้าไปดูงานที่ลานหินต่อ   ส่วนเหลียนฟางโจวรั้งอยู่ที่บ้านเพื่อเป็นลูกมือช่วยทำอาหาร
                        เกือบใกล้เที่ยงแล้ว  คอกสัตว์ที่ลานด้านหลังบ้านก็สร้างเสร็จแล้ว   แรงงานที่เข้ามาช่วยสร้างก็ลากลับไปหมดแล้ว   ลุงหลี่เรียกเหลียนฟางโจวไปชมดูผลงานที่ลานหลังบ้าน
                        เหลียนเช่อและเหลียนฟางฉิงติดตามพี่สาวไปดูด้วย
                        คอกสัตว์มีทั้งหมด 3 ห้องด้วยกัน   ตั้งอยู่ชิดมุมหลังบ้านทางทิศตะวันออกเพื่อกันไม่ให้สัตว์หลุดหนีไปได้   แต่ละห้องมีขนาดยาวราว 2 ถึง 3 มี่ (เมตร)   ความกว้างมากกว่า 2 มี่  หลังคาทำเป็นซี่ไม้ให้แสงลอดผ่าน  ด้านหลังมี 3 ช่อง  แต่ละช่องกรุด้วยแผ่นกระดานตอกตะปูยึดไว้   ส่วนด้านข้างแต่ละช่องกั้นแบ่งด้วยไม้กระดานสูงราว 1 มี่   ด้านหลังและด้านข้างล้วนยึดติดกันด้วยตะปู   โดยด้านบนมีหลังคาคลุม   ส่วนด้านหน้าทำเป็นประตูกรงไม้ซี่ๆเปิดปิดได้   ส่วนพื้นที่ที่เหลือกรุด้วยไม้กระดานสูงราว 1 มี่
                        เหนือขึ้นไปกั้นเป็นฝ้าเพดาน  สร้างหลังคาเป็นซี่ๆ  แล้วใช้แผ่นไม้กระดานปูอีกชั้นหนึ่ง   สูงจากฝ้าเพดานราว 1 มี่ครึ่ง   เอาไว้ใช้กองฟางหรือหญ้าแห้ง ที่ใช้เป็นอาหารสัตว์  ทั้งยังคุ้มแดดกันฝนด้วย  รวมทั้งให้ความสะดวกในการใช้งาน
                        หลังคาคอกสัตว์คลุมทับด้วยเปลือกไม้สนหนาตากแห้งอีกที  แล้วใช้เส้นตอกพันมัดไขว้เป็นตาราง  ตามด้วยการตอกประตูยึดอีกทีหนึ่ง  ซึ่งทำให้มั่นคงแข็งแรงอย่างยิ่ง
                        เหลียนฟางโจวเห็นแล้วเปี่ยมล้นด้วยความพอใจ   ทั้งยังสาวเท้าเข้าไปขอบคุณลุงหลี่ทันที
                        “ยังมีเงินเหลือเกือบ 1 ตำลึง   คอยข้ากลับไปคิดคำนวณให้ถ้วนถี่อีกรอบ  แล้วจะให้ป้าจางของเจ้าเอาเงินมาส่งให้เจ้า!”   ลุงหลี่กล่าวจบก็หัวเราะ  ทั้งยังเอ่ยต่อไปว่า “ที่นาบ้านเจ้านั้น  ฟางข้าวทั้งหมดข้าให้คนเอามากองไว้แล้ว   รอไว้วันว่างๆไม่รีบ  ค่อยมาขนย้ายไปเก็บไว้ที่บ้านนะส่วนพวกวัวนี่ก็ควรรีบเร่งซื้อได้แล้ว!   ซ้ำจะได้ปุ๋ยคอกที่ละเอียดขึ้นด้วย  เวลาทำที่นอนในคอกสัตว์  ก็ใช้ฟางข้าวนี่แหละปูรองเกลี่ยให้ทั่วนับว่าดีอย่างยิ่ง  ส่วนฟางข้าวก่อนจะเอาไปปูรอง  เอาไปสับด้วยมีดเป็นชิ้นๆก่อนด้วยนะ  ทำเช่นนี้จะทำให้หมักปุ๋ยคอกได้ไวขึ้น  ซ้ำยังให้เกิดฟองอากาศมากขึ้นอีกด้วย!”
                        เหลียนฟางโจวหัวเราะขอบคุณ  และแจ้งว่าคอยไว้วันมะรืนจะหาเวลาหนึ่งวัน เข้าเมืองไปซื้อ
                        การสร้างคอกสัตว์  ใช้เงินไปไม่ถึง 2 ตำลึง จากที่เธอประมาณไว้ทีแรก   ซ้ำหญิงสาวยังรู้นิสัยของลุงหลี่กับป้าจางดี   ว่าสุดท้ายป้าจางต้องนำเงินที่เหลือมาคืนให้แน่   หญิงสาวจึงทำทีเป็นฟังผ่านๆ
                        ยอมรับเงินคืนมาก่อน   แล้วคอยวันมะรืนตอนเข้าไปในเมือง  ไปหาซื้อของขวัญเพื่อแสดงความขอบคุณลุงหลี่และป้าจาง    จะไม่ดีกว่าหรือ?
                        “ไม่ต้องมากพิธีไป ข้าเพียงแค่จะมาเตือนเจ้าเอาไว้   ฮ่าฮ่าฮ่า   เจ้าคงไม่ว่าที่ข้าเจ้ากี้เจ้าการหรอกนะ! “  ลุงหลี่โบกไม้โบกมือเอ่ยขึ้น
                        ”ไฉนจะเป็นเช่นนั้นได้เล่า!    ข้าเสียอีกที่รบกวนท่านเป็นอันมาก!”  เหลียนฟางโจวหัวเราะ
                        ลุงหลี่ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “เจ้าเป็นคนฉลาดมีเหตุมีผล  ข้าถึงได้กล้าพูดแนะนำขนาดนี้!”   พอเห็นว่าไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว  จึงขอตัวกลับ
                        เหลียนฟางโจวกับน้องๆรวมสามคนจึงเดินไปส่ง   ลุงหลี่หยุดเดินเอ่ยขึ้น “เจ้าก็รีบไปทำธุระของเจ้าเถิด   ไม่จำเป็นต้องมาส่งข้าหรอก  ซ้ำข้ายังไม่ใช่แขกอะไรสักหน่อย!”

                        เหลียนฟางโจวหัวเราะไม่คัดค้าน   เฝ้ามองจนลุงหลี่เดินคล้อยหลังไป

    --------------------------------------------
   ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ ^-^
   ถ้า follow facebook แล้วไม่ขึ้นแจ้งเตือน  ก็ เพิ่มการ follow ในกูเกิ้ลพลัส หรือบล๊อก นี้เพิ่มได้นะคะ

13 ความคิดเห็น:

  1. สนุกมากจร้าขอบคุณค่ะไรท์

    ตอบลบ
  2. ลุงข้างบ้านอย่างกับเป็นญาตแท้ๆ กลับชัดๆ
    รอให้คุณชายซูมาอีกครั้ง....โดนแน่ๆ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ24 กันยายน 2560 เวลา 06:42

    สนุกทุกตอนค่ะ
    ชอบลุงหลี่เหมือนกัน
    ตอนนี้มาเร็วกว่าที่คาดมาก ขอบคุณนะคะ

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ24 กันยายน 2560 เวลา 09:39

    ขอบคุณคะ

    ตอบลบ
  5. อยากเห็นลุงกับป้าหน้าแตกตอนความจริงถูกเผยจริงๆ ว่าแต่คุณชายซูกำมะลอจะมาอีกเมื่อไรละ

    ตอบลบ
  6. อยากอ่านทุกวันเลย

    ตอบลบ
  7. อยากอ่านทุกวันเลยค่ะ

    ตอบลบ
  8. ลุงแท้ๆนี่สุดยอดความหนาเลย ส่วนลุงหลี่นี่ดีมากๆ

    ตอบลบ
  9. ลุงแท้ๆร้ายกาจ ยังดีที่เจอลุงข้างบ้านดีๆ
    ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  10. คนนอกยังดีกว่าญาติแท้ๆ ซะอีก สงสารครอบครัวนี้จริงๆ งืออออ

    ตอบลบ
  11. โดนเกลียดกว่าเดิมแน่ชุยเอ้ยยยย​ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง

    ตอบลบ