วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 133 เกิดเรื่อง (3)

                        ทุกๆคนในที่นั้นต่างตระหนกตกใจขึ้นกว่าเดิม   ส่วนเอ้อร์โก่วจือเองก็หวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว 
                        “ไม่...ไม่กล้าแล้ว....ข้าไม่กล้าแล้ว!”  ผมบนหัวทั้งหมดของเอ้อร์โก่วจือพร้อมใจกันลุกชันพรึบพับ   ถุงน้ำดีน่ากลัวจะหดหายไปหมดแล้วกระมัง
                        “เจ้าไม่กล้าแล้วหรือ?”  เหลียนฟางโจวแค่นเสียง “เจ้ากำลังหาว่าหูข้าเพี้ยน  ฟังผิดใช่หรือไม่?
                   เอ้อร์โก่วจือรีบส่ายศีรษะรัวๆ   รีบเอ่ยย้ำๆซ้ำๆ “ไม่   ไม่กล้า!  ไม่แล้วจ้า!”

                        “ตบปาก!” เหลียนฟางโจวตะคอกเสียงลั่น
                        เอ้อร์โก่วจือตกตะลึงตาค้าง  เหลียนฟางโจวแค่นเสียงเฮอะทีหนึ่ง   เขาหวาดกลัวเสียจนไม่กล้าชักช้า    กลั้นใจยกมือขึ้น   เริ่มตบปากตนเองสลับซ้ายทีขวาที
              ทุกๆคนเห็นเช่นนั้น   ล้วนใจเต้นโลดถึงคอหอย   มองตาค้าง   นิ่งขึงตะลึงไปถ้วนทุกตัวคน!
                        สองสามวันมานี้ทุกๆคนเห็นเพียงด้านที่สุภาพเป็นมิตรของหญิงสาว   กระนั้นจึงยังไม่เคยเห็นด้านโหดเหี้ยมเผ็ดดุเช่นนี้มาก่อน   เดิมทีบรรดาคนงานไม่เคยเชื่อถือข่าวลือต่างๆนาๆของนายหญิงผู้นี้เลยสักคน   ยามนี้คล้ายว่าคงเป็นเรื่องจริงแน่แล้ว!
              “ฟางโจว  เจ้าทำเช่นนี้   ใจคอจะเอาชีวิตเขาหรือไร!  หยุดวู่วามเสียเถิดนะ!”  เหลียนลี่ว้าวุ่นใจกระสับกระสายไม่หยุด   เขาค่อนข้างหวาดหวั่นอยู่บ้าง  ถึงอย่างไร  เอ้อร์โก่วจือกับสมุนทั้งหลายนั้น  เป็นเขาที่ไปชักชวนมา   หากเขาไม่ช่วยพูดอันใดบ้าง  จะกลายเป็นภายหลังอันธพาลพวกนี้จะบาดหมางใจกับเขา   แล้วพลอยกลับมาหาเรื่องหาราวกับเขาภายหลังเอาได้
              “นั่นเสียงลุงใหญ่ของข้าใช่หรือไม่หยุดมือได้แล้ว!”  เหลียนฟางโจวตวัดสายตาไปยังเอ้อร์โก่วจือ
                        เอ้อร์โก่วจือรีบหยุดมือทันที   พลางน้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว  แทบจะส่งเสียงออกมาไม่ได้   พึมพำเสียงอู้อี้พอจับเป็นคำได้ว่า “ขอบพระคุณ...แม่นางเหลียน”
                        “ลุงใหญ่”  เหลียนฟางโจวตวัดสายตามาที่เหลียนลี่  ถามขึ้นเสียงดัง  “เมื่อครู่ก่อนเอ้อร์โก่วจือบอกว่าเขาเป็นปู่ข้า  เช่นนั้นเขาก็เป็นบิดาของลุงใหญ่น่ะสิ!   อย่าบอกนะว่า  เขาไม่ควรโดนสั่งสอนหรือ?
                   ทุกๆคนอดอมยิ้ม  กับวาจายียวนของนางมิได้   พูดเช่นนี้   มันก็จริงของนางนี่นะ
              เหลียนลี่พลันใบหน้าแดงก่ำสลับซีดขาว   ในใจเต็มไปด้วยความเดือดดาล!
                        เดิมทีเขาควร หรือไม่ควรไปข้องแวะกับนักเลงหัวไม้พวกนี้ดีนะ?   เขาไม่น่านำอันธพาลพวกนี้เข้ามายุ่งด้วยใช่หรือไม่เหนือสิ่งอื่นใด  คนเหล่านี้มิได้มีชื่อเสียงดีนัก!
                        ทว่าเขาได้คิดใคร่ครวญเรื่องนี้มาหลายตลบแล้ว   และตัดสินใจในที่สุดว่าตราบใดที่พาคนพวกนี้มา  เหลียนฟางโจวย่อมเกรงกลัวและยอมอ่อนข้อให้ตนเป็นแน่   รอให้เขายึดครองทุกอย่างมาให้ได้ก่อนเถิด   เพราะเดิมทีเงินกับโฉนดที่ดิน ก็ควรจะเป็นเขาที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่แล้ว   เทียบกับเขาที่มีความสัมพันธ์กับสกุลซูอย่างถูกต้อง  ใครหน้าไหนในหมู่บ้านนี้  จะกล้าไม่เห็นหัวเขาเล่า?   เกรงว่าจะรีบประจบประแจงเขาแทบไม่ทันเสียมากกว่าใครจะไปสนใจเรื่องที่เขาจ้างอันธพาลมาก่อกวนกัน?
                        ทว่าเขาดันลืมอาเจี่ยนไปเสียสนิท!
                   ไม่นึกเลยว่าอาเจี่ยนจะโหดเหี้ยมถึงปานนี้   แม้ว่าในตอนที่พวกมันเคยมาถามหาเหลียนฟางโจวถึงบ้านเขาในคืนนั้น  อาเจี่ยนบุกเข้ามาอย่างอุกอาจ  ทว่าเทียบกันแล้วก็ยังรู้จักยั้งมือไว้บ้าง  เขาไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วอาเจี่ยนจะป่าเถื่อนถึงเพียงนี้!
                         “ลุงใหญ่  ที่ท่านกล่าวมา  ท่านหมายความว่าเขาไม่ควรได้รับบทเรียนหรือไม่ควรโดนตบสั่งสอนหรือ!”  เหลียนฟางโจวไม่ยอมปล่อยให้เหลียนลี่บ่ายเบี่ยงได้   ถามขึ้นด้วยเสียงไม่เบาเลย
                        ภายใต้สายตาของคนเป็นอันมาก   เหลียนลี่สามารถพูดอันใดได้เล่า?  จะเอ่ยว่าไม่ควรได้หรือ?  แล้วเขาจะกลายเป็นตัวอะไรเล่าจะเอ่ยว่าควรได้หรือในเมื่อแท้จริงแล้วเป็นตัวเขาเองที่ไปชักชวนนักเลงหัวไม้พวกนี้มา!
                        เหลียนสีทำสีหน้านิ่งเฉยไม่เอ่ยวาจาสักคำ  ผ่านไปชั่วอึดใจจึงเอ่ยขึ้น “ฟางโจว   เจ้ามาก็ดีแล้ว   ที่ดินผืนนี้...”
                        “ลุงใหญ่!”  เหลียนฟางโจวไหนเลยจะยอมให้เขาเปลี่ยนเรื่องดังเช่นที่เคยเป็นมาในอดีต  เอ่ยถามขัดคำพูดเขาอย่างไม่มีความเกรงใจให้เลยซักกระผีกว่า “เอ้อร์โก่วจือช่างบังอาจนัก  กล้าสะเออะบอกว่าเขาคือบิดาท่าน   ถึงกับดูถูกท่านปู่ของข้า  ท่านกำลังจะบอกว่าเขาไม่ควรโดนตบปากหรือ?”  นางเอ่ยพร้อมแค่นเสียงเฮอะออกมา “คำถามนี้อย่าบอกนะว่าลุงใหญ่จะเอ่ยว่าตอบยาก ท่านยอมรับคำพูดนี้ได้หรือ?”
                        “ใครบอกว่าข้ายอมรับ!”  เหลียนลี่เริ่มเหงื่อตก
              ”เช่นนั้นแล้ว   ข้าขอถามท่านลุงสักคำเถิด  เขาควรหรือไม่ควรโดนตบปาก!”  เหลียนฟางโจวจ้องเขาเขม็งด้วยสายตาทิ่มแทง   สาวเท้าหนึ่งก้าวเข้ามาขวาง  โดยไม่ยอมหลีกไปไหน
                        บรรดาคนงานที่อยู่ที่นั่นด้วยพากันกระซิบกระซาบ  ชี้มือชี้ไม้ไปทางเขา  เหลียนลี่ชักหวั่นวิตก    คนเหล่านี้ล้วนคือคนในหมู่บ้าน หรือไม่ก็มาจากหมู่บ้านใกล้เคียง  หากคนพวกนี้กลับไป  แล้วเอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปโพทะนา   เขาคงไม่อาจสู้หน้าใครได้อีกแล้ว
                        เขาหาเหตุหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย   ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้ว  จึงผงกศีรษะยอมรับอย่างลำบากยากเย็น  เอ่ยเสียงขื่น “ควร...ควรโดนตบ.....”
                        เอ้อร์โก่วจือพลันเงยหน้าขึ้นมองเหลียนลี่ด้วยความขุ่นเคือง
                        “ได้ยินหรือยัง!”  เหลียนฟางโจวถลึงตาใส่เอ้อร์โก่วจือ  เอ่ยบริภาษ “ข้าเป็นตัวแทนลุงใหญ่มาสั่งสอนเจ้า  ใครใช้ให้เจ้ามาพูดจาส่งเดชเช่นนี้ คราวหน้าอยากโดนสั่งสอนอีกไหม?”
                        “ไม่  ไม่กล้า  ไม่กล้าแล้ว!”  เอ้อร์โก่วจือก่นด่าเหลียนลี่ในใจไม่หยุด
                        เหลียนลี่ได้ยินเหลียนฟางโจวพูดเช่นนั้น  ถึงกับจุกแน่นหายใจไม่ออก  ทว่าได้แต่อดทนเพียงเท่านั้น  ไม่อาจพูดอะไรได้
                        “พวกเจ้า...ช่างขวัญกล้าไม่น้อย   มีคนมากันแค่นี้  ยังกล้าสะเออะมาก่อเรื่องในถิ่นข้าได้ยังไม่ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าอีก!”  เหลียนฟางโจวตะคอกเสียงเฉียบ
                        เอ้อร์โก่วจือกับบรรดาลูกสมุนรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก   ไหนเลยจะกล้าอยู่แม้สักอึดใจเล่าพลันตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นทันที   แต่ละคนต่างช่วยกันฉุดดึงพรรคพวก  รีบแจ้นหนีออกไปโดยมิชักช้า    ก่อนจะไป  ยังมิวายหันมาส่งสายตาอาฆาตไปให้เหลียนลี่
              เหลียนมิได้ช่วยพูดให้อันธพาลพวกนั้นเลยแม้เพียงครึ่งคำ   ซ้ำยังโดนเหลียนฟางโจวแขวะเข้าให้อีก  ซึ่งไม่สร้างความแปลกใจให้เหลียนลี่นัก   นางช่างโหดเหี้ยมอำมหิตกับพวกนักเลงหัวไม้จริงๆ   การณ์กลับกลายเป็นว่าพวกเขา  ต้องมารับเคราะห์กรรมทั้งหมดนี้แทนเหลียนลี่
                        เพราะดันไปหลงคารมยอมมาตามคำขอร้องของเหลียนลี่!
                        “ลุงใหญ่...ท่านมาที่นี่  มีเรื่องอันใดรึ?”  เหลียนฟางโจวเอ่ยถามเหลียนลี่เสียงเรียบเรื่อย
                        เหลียนลี่พลันคืนสติกลับมา  ดวงตาเรืองวาบ  ปลุกใจตนให้ฮึกเหิม  ยืดหลังตั้งตรงขึ้น   เปลี่ยนสีหน้าท่าทางให้สมกับเป็นญาติผู้ใหญ่  สบตาเหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยเสียงดังก้อง “ฟางโจว  เรื่องที่ข้ามาทำอะไรที่นี่  เจ้าย่อมรู้ดี!”  เนื้อหาที่กล่าวก็ประมาณว่าเรื่องเมล็ดฝ้ายสกุลซูจะมอบหมายให้เขาจัดการ  และบอกเล่าเก้าสิบในรายละเอียดต่างๆอีกมากมาย 
                        สุดท้ายก็เอ่ยว่า “เงินทั้งหมดที่เจ้าไปเอามานั้น  หากยังคิดคำนวณว่าเอาไปใช้จ่ายเรื่องอะไรบ้างยังไม่จบ  ข้าก็ยังไม่เร่งรัดเจ้า  เจ้าค่อยๆคิดคำนวณไปช้าๆก็ได้  ข้าให้เวลาเจ้าอีกสองวัน อีกสองวันข้าถึงไปทวงเอาคำตอบจากเจ้า  ทว่าที่ดินผืนนี้  จากวันนี้ไปข้าจะเริ่มเข้ามาควบคุมดูแลเอง!  เจ้ามันแค่สตรียังไม่ออกเรือน   แค่มายุ่งเรื่องการงานเช่นนี้  มันไม่เหมาะสมอยู่แล้ว!
                        เหลียนลี่กล่าวจบ  ดวงตาก็จ้องเขม็งไปยังใบหน้าเหลียนฟางโจว   ไม่มีความขลาดกลัวให้เห็นแม้ซักกระผีกริ้น
                        เชาอดชำเลืองมองอาเจี่ยนไม่ได้  แม้บุรุษผู้นั้นจะโหดเหี้ยมป่าเถื่อนปานใด  แต่จะกล้าลงไม้ลงมือกับเขาได้ไฉนเหลียนฟางโจวคือหลานสาวแท้ๆของเขา  แล้วอย่างนี้ความอาวุโสในครอบครัวจะเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนเล่า  นางสามารถสั่งอาเจี่ยนให้มาซ้อมเขาได้หรือ?
                        คนงานทุกคนได้ยินกันเต็มสองหู  พากันตะลึงนึ่งขึงไปตามๆกัน    ทุกคนล้วนจับจ้องเหลียนฟางโจวโดยไม่รู้ตัว   บางคนเริ่มวิตกกังวลโดยไม่มีสาเหตุ
                        ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลกลใด   แม้เพิ่งจะประสบพบเห็นวิธีการอันโหดร้ายของเหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนไปหยกๆ   ทว่าทุกคนยังคงเต็มอกเต็มใจช่วยหญิงสาวทำงาน   หากเป็นไปได้  หากคนทั้งสองจะเรียกใช้งานพวกเขาอีกเป็นครั้งที่สอง  ก็ให้ทั้งสองมาบอกพวกเขาอีกที! 
                        “ที่ดินทั้งหมดนี้ข้าเป็นผู้ซื้อหามาเอง”  เหลียนฟางโจวเอ่ยช้าๆ  “ลุงใหญ่  ที่ดินผืนนี้ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับสกุลซู!”
                        โฉนดของที่ดินผืนนี้ออกมาช้า  เพราะเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองมีเรื่องสำคัญที่ต้องรีบไปจัดการ     ด้วยเหตุนี้  ในยามนี้นางยังไม่อาจอ้างกรรมสิทธิ์ครอบครองได้เต็มปากนัก   ไม่เช่นนั้น  เหลียนฟางโจวคงไม่ส่งเหลียนเซ่อไปตามตัวหลิวเจี่ยมาหรอก
              เหลียนลี่ไหนเลยจะเห็นด้วยกับเรื่องที่ได้ยินนี้  พลางโบกมือ เอ่ยว่า “ถึงจะบอกว่าเป็นของเจ้า  แต่เงินที่เจ้าเอาไปซื้อที่ดินเป็นของสกุลซู   เป็นไปได้หรือที่เจ้าจะมั่งคั่งร่ำรวยจนมีเงินซื้อที่ดินได้ผืนใหญ่ปานนี้ได้?   ยามนี้จงมอบเรื่องนี้ให้ข้าเป็นผู้ดูแลเสีย   ส่วนที่ดินผืนนี้ก็ควรลงชื่อโฉนดเป็นชื่อข้า พอได้แล้ว....ส่งโฉนดที่ดินมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
                        สีหน้าเหลียนฟางโจวมืดครึ้มไปนิดหนึ่ง  หญิงสาวเอ่ยเสียงเนิบ “ลุงใหญ่ ท่านไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรอกรึ?   ที่บอกว่าที่ดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของข้า  และไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสกุลซู!”
                        “เช่นนั้น  เจ้าเอาเงินจากไหนมาซื้อที่ผืนนี้เล่าคงมิใช่สิ่งที่บิดาและมารดาของเจ้าทิ้งไว้ให้หรอกนะ!  เหลียนลี่แค่นเสียง
        ----------------------------------------------------------------

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และทุกการติดตามนะคะ ^-^





11 ความคิดเห็น:

  1. คนแบบเหลียนลี่พบได้เยอะแยะในสังคม

    ตอบลบ
  2. กำหมัดแน่น อยากชกคนเลวหน้าหนาที่สุดดดดดด

    ขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ
  3. กระทืบเลยเหอะ ทนไม่ไหวแหละ หน้าด้านเกิน😠😠😠

    ตอบลบ
  4. อยากเข้าไปตบตาลุงนี่จริง ๆ

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณค่ะ...รอตอนต่อไปนะค่ะ

    ตอบลบ
  6. เกลียดอิลุงมักได้ใจแคบเห็นแก่ตัวอย่างหน้าด้านๆนี่จริงๆ(อินมากกก)

    ตอบลบ
  7. หน้าด้านจริงอ่าปากก้เห็นลิ้นไก่ละ สันดานโจรจริงๆ

    ตอบลบ
  8. เมื่อไหร่จะอัพเพิ่มอีกรออ่านอยู่นะคะ

    ตอบลบ
  9. ขอบอคุณมากค่ะ รออ่านตลอดค่ะ

    ตอบลบ
  10. ขอบคุณที่แปลให้อ่านนะคะ

    ตอบลบ