วันพุธที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 134 พูดให้กระจ่างต่อหน้าทุกคนเลย

                         เหลียนฟางโจวเอ่ยขึ้น “ข้าก็ยืมเงินมาจากสกุลซู”
                        “พวกท่านได้ยินหรือยังเงินเป็นของสกุลซู!”เหลียนลี่แค่นเสียง “หากสกุลซูไม่มีเหตุผลอันควร  พวกเขาจะให้เงินเจ้ายืมไปทำอะไรเล่ามิใช่เพราะเพื่อทำโครงการนี้หรือเจ้าเป็นคนในหมู่บ้านนี้  ผู้อื่นเขาถึงได้คิดว่าคงได้รับความสะดวก  หากให้ผืนดินนี้ใส่ชื่อในโฉนดเป็นชื่อเจ้า   มันกลายเป็นของเจ้าเมื่อไรเล่าฟางโจวเอ๋ย   ชาวไร่ชาวนาเช่นเรา ย่อมต้องยึดถือความสัตย์ซื่อ  อย่าได้คิดเล่นเล่ห์เพทุบายเลย!”
                        คงมิอาจใช้เหตุผลได้กับคนผู้นี้ได้เสียแล้ว!

                        สีหน้าเหลียนฟางโจวครึ้มลงนิดหนึ่ง  หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย “ข้านี่แหละ จริงใจสัตย์ซื่อที่สุดแล้ว  ลุงใหญ่..อย่าบอกนะว่าท่านไม่รู้ ตัวข้าทำไม่ลงหรอก  ที่จะไปขอร้องพวกอันธพาลให้มารุมบังคับขู่เข็ญคนที่เราจ้างมาทำงาน!   ข้าอยากถามลุงนัก   ว่าท่านเปิดปากพาทีเรื่องอันใดกับคุณชายซูบ้าง  แล้วสามีของเปี่ยวเจี่ย(ญาติสาวผู้พี่)ข้ามาเยือนเมื่อใดกัน   ไยข้าถึงไม่รู้เล่า?
                        เหลียนฟางโจวเอ่ยเสียงก้อง  “พี่เขยข้าคนนี้ไม่เคยรู้จักท่าน  ครอบครัวข้ากับเปี่ยวเจี่ย (ญาติฝ่ายหญิงผู้พี่)  ต่างมิได้ไปมาหาสู่กันมาหลายปีดีดักแล้ว   พึ่งจะมีครั้งก่อนหน้าที่ข้าไปเยี่ยมสกุลซูมา  เปี่ยวเจี่ยรู้จักเพียงข้ากับอาเซ่อ   แล้วที่ท่านพี่เขยมาที่หมู่บ้านเรา   ข้ากับอาเซ่อไฉนจึงไม่รู้เล่า?  แล้วไฉนถึงกลายเป็นว่าลุงใหญ่เป็นผู้ต้อนรับแขกเล่า?  จริงๆแล้ว..ผู้นั้นน่ะเป็นญาติข้างฝั่งมารดาข้านะ  ข้าใคร่ครวญดูแล้ว  ครอบครัวลุงใหญ่กับพวกเขาไม่ถือว่าเป็นญาติกัน!”
                        เหลียนลี่แค่นเสียง  “อย่าบอกนะว่า..แม่เจ้ามิใช่น้องสะใภ้ของข้าและป้าใหญ่?  แล้ว จะบอกว่าไม่ใช่ญาติกันได้อย่างไร  คุณชายซูคุ้นเคยเป็นอันดีกับข้าตั่งแต่เห็นกันแวบแรก  พูดได้ว่าสนิทสนมกันเป็นพิเศษยิ่ง  นี่และที่เรียกว่าฟ้าบันดาลให้มาเจอกัน!   มิใช่ว่าจะต้องขึ้นอยู่กับการเป็นญาติกันเท่านั้น!”
                        เหลียนฟางโจวเอ่ยแย้มยิ้ม  “ถ้อยคำเหล่านี้เกรงว่าจะเป็นเรื่องเล่าเข้าข้างตนเองของลุงฝ่ายเดียวกระมัง ข้าไม่เห็นสามีเปี่ยวเจี่ยของข้ามาเยือนกับตา!   ไม่รู้ว่าท่านจับพลัดจับผลูไปคว้าใครที่คิดว่าเป็นคนสกุลซู   แล้วถักทอแต่งเรื่องเป็นตุเป็นตะหรือไม่!”
                   เหลียนลี่เอ่ยปากสาบานทันทีว่าคุณชายสกุลซูมาจริง   ซ้ำยังยืนกรานว่าเขาต้องได้คที่ดินมาเป็นกรรมสิทธิ์เท่านั้น   เหลียนฟางโจวก็ยืนยันว่าไม่เคยเห็นสามีของเปี่ยวเจี่ยมาด้วยตาตนเอง   นางไม่อาจเชื่อเรื่องที่เขาเล่ามาได้ 
                        ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมกันจนมาถึงทางตัน  หาข้อสรุปไม่ได้
                        ทุกคนที่ได้ยินล้วนมึนตึบ  เหลียนฟางโจวจัดการงานด้วยความขยันขันแข็ง  ซ้ำยังเอื้อเฟื้อจริงใจ   บอกได้คำเดียวว่า  พวกเขาต่างคล้อยตามหญิงสาวโดยไม่มีข้อสงสัย  ทว่าหากที่เหลียนลี่พูดออกมาคือเรื่องเท็จ   แสดงว่าเขาต้องกุเรื่องมาตั้งแต่ต้น   แต่ไยเขาถึงมีท่าทีมั่นอกมั่นใจถึงเพียงนี้ได้!
                   เหลียนฟางโจวไม่เชื่อถือเขาเลยสักนิด  เธอเห็นสถานการณ์ที่เขาสร้างก็เข้าใจแล้ว   ตั้งแต่เขาบุกเข้ามาที่ไร่ในวันนี้    ตอนนี้เธอกำลังถ่วงเวลา  เพื่อรอหลิวเจี่ยมา
                        ด้วยเหตุนี้  เหลียนฟางโจวจึงทำท่าทางเรื่อยๆเฉื่อยๆ  สีหน้าดูไม่อินังขังขอบ  ไม่รีบเร่งทำอันใดเลย
                        ขณะที่หญิงสาวมีสีหน้าไม่อนาทรร้อนใจ   ทว่าเหลียนลี่กลับมีสีหน้าเคร่งเครียด   เหลียนลี่ทั้งโกรธเกรี้ยวทั้งชิงชัง  ใจนึกอยากจะก่นด่าให้นางยอมจำนน   แล้วคว้าโฉนดมาไว้ในกำมือ   แต่พอเห็นว่าพูดไปนางก็ไม่รู้สึกรู้สา   จิตใจจึงโดนความเคร่งเครียดกังวลเข้าโจมตี  จนกระทั่งอยากจะระเบิดโทสะออกมาอยู่รอมร่อแล้ว
                         หลิวเจี่ยและเหลียนเซ่อมาถึงในที่สุด  ทั้งยังมาพร้อมกับจ้าวลิ่วพันธมิตรทางธุรกิจอีกด้วย
                        พอเห็นพวกเขา   เหลียนลี่ถึงกับชะงักไป   พลันหันไปขึงตาใส่เหลียนฟางโจวทันที
                        เหลียนฟางโจวส่งรอยยิ้มเปี่ยมความมั่นใจให้เขา  แน่ล่ะ  ก็เธอเป็นต้นคิดไปเชิญคนมานี่
                        “น้าลิ่ว  น้าจ้าว!”  เหลียนฟางโจวเอ่ยทักทายผู้มาใหม่
                        คนทั้งสองพอจะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในเมืองอยู่ไม่น้อย   สำหรับหลิวเจี่ยแทบไม่ต้องพูดถึง  การทำหน้าที่ดูแลเรื่องการซื้อขายที่นาที่ไร่รอบๆเมือง    ไม่ว่าหมู่บ้านไหนมีที่ดินแปลงงามอยู่ที่ใด  เขาล้วนไปย่ำดูมาหมดแล้ว   จะไม่มีใครรู้จักเขาได้หรือ   ส่วนจ้าวลิ่วเป็นนายหน้าจัดหาแรงงานไปทำงานในไร่นา  หรือตามแต่ลูกค้าจะจ้าง  ย่อมกว้างขวางรู้จักคนเป็นอันมาก
                        เหลียนลี่ย่อมไม่อาจฝืนต่อต้าน  ได้แต่สาวเท้าเข้าไปหาพวกเขา  พลางค้อมศีรษะยิ้มให้   บรรดาคนงานที่จ้างมาทำงานในไร่  ต่างยิ้มแย้มสืบเท้าเข้ามาหาบุรุษทั้งสอง  พลางกล่าวทักทายเสียหลายคำ
                        เมื่อทักทายกันพอหอมปากหอมคอแล้ว
    บรรยากาศตึงเครียดพร้อมจะเปิดศึกก่อนหน้า  ในเวลาอันสั้นได้คลี่คลายลงไปอีกโข
                        “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”   จ้าวลิ่วกวาดสายตามองไปรอบๆ   เอ่ยเสียงทีเล่นทีจริง  “แม่นางเหลียนจ้างพวกเจ้ามาทำงาน   ไฉนพวกเจ้าจึงมายืนเอ้อระเหยอะไรที่นี่เล่า?   คิดเล่นตุกติกอันใดกัน!”
                        “เรื่องนี้คงไม่อาจตำหนิบรรดาลุงกลุ่มนี้ได้หรอก”  เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “พอดีข้ามีเรื่องที่ต้องการความกระจ่าง   หากมีหลักฐานมายืนยันได้คงจะดีไม่น้อย!”
                         เหลียนฟางโจวเอ่ยปากตอบ  แต่สายตากลับเหลือบแลไปยังเหลียนลี่
                        เหลียนลี่ทำหน้าบึ้ง  แค่นเสียงเฮอะออกมา
                        พอเห็นหลิวเจี่ยกับจ้าวลิ่ว  มีความสนิทสนมกับเหลียนฟางโจวมากถึงเพียงนั้น  ใจเขาพลันสะดุดกึก  หากปล่อยบรรดาคนงานเหล่านี้กลับไปทำงาน  คอยอีกเดี๋ยว  ตัวเขาคงไม่มีทางเลี่ยง  ต้องยอมประนีประนอมไปก่อนชั่วคราวแน่   ด้วยไม่อยากจะเสียหน้าเช่นนั้น   ยามนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย  เขาไม่อาจยอมลงให้ได้!
                        เหลียนลี่กัดฟันกรอดๆ
       “เป็นไปได้หรือ  มีเรื่องอะไรที่ยังไม่กระจ่าง?”  หลิวเจี่ยสบตาเหลียนฟางโจวด้วยด้วยความแปลกใจ  พลางเอ่ยขึ้น  “ที่ดินผืนนี้หากยังมีปัญหาอยู่  ข้าจะกล้าขายให้เจ้าได้ที่ไหน?   เจ้าหน้าที่ทางการนั่นคงไม่อาจออกโฉนดให้ได้วันนี้หรอก!  สองวันมานี้  ไท่เย่ว(เจ้าหน้าที่ตำบล)ของเมือง  มีงานรัดตัว  ดังนั้น เจ้าหน้าที่จึงออกโฉนดล่าช้า  อีกสองวันให้หลัง ข้าแน่ใจว่าการออกโฉนดคงเสร็จเรียบร้อย!   แม่นางเหลียนที่ดินผืนนี้เป็นของท่านแน่ๆอยู่แล้ว  ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้   แล้วท่านยังมีเรื่องอื่นใดที่ยังไม่กระจ่างอีกหรือ?
                        “ที่ท่านกล่าวมาถูกต้องทุกประการ!”  เหลียนลี่พอได้ฟังที่หลิวเจี่ยพูดมาขนาดนี้  ใจเขาอดขุ่นเคืองและวิตกไม่ได้  เอ่ยว่า  “เหลียนฟางโจวเป็นหลานสาวของข้า  ทรัพย์สินของครอบครัวพวกเขา  มีอะไรบ้างข้าจะไม่กระจ่างหรือหากไม่ใช่เพราะสกุลซู  นางจะเอาเงินจากไหนมาซื้อที่ดิน !  ความจริงจะเป็นผู้บอกท่านเอง   คุณชายซูมาเยือนหมู่บ้านเราเมื่อสองวันก่อน  และประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่า  ที่ดินเหล่านี้จากนี้ไปให้เข้าเข้ามาเป็นผู้ดูแลทั้งหมด  เรื่องโครงการเมล็ดฝ้ายเขาก็ยกให้ข้าเป็นผู้ดูแลอีกเหมือนกัน!  หาใช่เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนคนนี้”
                        เหลียนลี่พลันชี้หน้าเหลียนฟางโจว  “ยังจะทำหน้างุนงงบ้าบออะไรเล่า  ทั้งที่รู้อยู่แกใจดี   ยังจะแสร้งตีสีหน้ามึนงงเพราะไม่อยากเอ่ยเรื่องส่งมอบโฉนดที่ดินออกมาล่ะสิ!”
                        “คุณชายซูหรือ? “  จ้าวลิ่วลูบคางตนเอง  เอ่ยแย้มยิ้ม  “คุณชายซูผู้นี้มีธุรกิจการค้ามากมาย!  หากเป็นเช่นนี้  เขามอบงานนี้ให้สหายเหลียนเช่นท่านทำตั้งแต่ทีแรก  ไม่ดีกว่าหรือ?  ไม่จำเป็นต้องมีปัญหาเช่นนี้!”
                        เหลียนลี่มีสีหน้าอึดอัด เอ่ยขึ้น  “สกุลซูมอบงานนี้ให้นาง  ยามนั้นพวกข้าไม่รู้  แต่ถึงอย่างไร   ข้าแน่ใจว่าเดิมทีคุณชายซูให้นางนำเงินกลับไปส่งให้ผู้ใหญ่ของสกุล  เพื่อให้เข้ามาจัดการงานไม่ใช่เพราะเหตุผลว่างานที่มอบให้นางมันใหญ่เกินตัว  เกินกว่าเด็กสาวตัวเล็กๆที่ยังไม่ออกเรือนจะจัดการได้  ที่ท่านเอ่ยมาหมายถึงเช่นนี้ใช่หรือไม่?
              เหลียนฟางโจวปล่อยให้เหลียนลี่พล่ามไป    หญิงสาวยังคงทำสีหน้าไม่อนาทรร้อนใจ  ซ้ำยังไม่แก้ตัวด้วย   อาเจี่ยนก็ไม่เอ่ยอันใดเหมือนกัน  ส่วนเหลียนเซ่อชักเริ่มกังวล  เหลียนฟางโจวจึงส่งสายตาไปให้น้องชาย  เป็นเชิงให้เขาเงียบไป
                        เหลียนลี่กับหลิวเจี่ยต่างสบตากัน  หลิวเจี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “เรื่องนี้  หากให้คะแนนตัวบุคคล   เด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน  ย่อมไม่อาจทำงานประเภทนี้ได้  ทว่าแม่นางเหลียนแตกต่างจากคนอื่น!  แม่นางเหลียจัดการเรื่องต่างๆอย่างผู้มากฝีมือ  ด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจ  คงไม่มีเด็กสาวที่ไหนเทียบเทียมนางได้แน่!”
                        “ถูกแล้ว”  จ้าวลิ่วคลี่ยิ้มเอ่ยขึ้น “ผู้ที่จัดการงานได้อย่างแม่นางเหลียน   ย่อมพูดได้ว่าเป็นคนที่ชาญฉลาดยิ่ง!   เป็นผู้ที่รู้จักเลือกใช้คน!”
                        เหลียนลี่หงุดหงิดกับเสียงยกย่องชื่นชมทั้งหลาย   ไม่ไหลไปตามข้อประเด็นที่พวกเขาสาธยายอยู่   พยายามสกดกลั้นโทสะที่คุกกรุ่นอยู่ในใจ  “คุณชายซูได้มาเยือนบ้านพวกข้า  และได้ฝากฝังคำพูดไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ  ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้ข้าจะกล้าพูดปดได้อย่างไร  ไม่ต้องวิตกไป  ในภายหน้าคนสกุลซูจะมาปราฏตัวอีก!   คนสองคนไม่อาจดูแลธุรกิจอันเดียวกัน   เรื่องนี้ควรปล่อยเป็นหน้าที่หัวหน้าครอบครัวเช่นข้าจัดการดีกว่า!”
                        หลิวเจี่ยและจ้าวลิ่วได้แต่ลอบแลกเปลี่ยนสายตากันโดยไร้คำพูดใดๆ   เหลียนลี่กล่าวมาเช่นนี้  คนทั้งสองชักไม่แน่ใจแล้วว่า  ควรจะพูดอะไรออกมาดี
                        ยามนี้เหลียนฟางโจวจึงเอ่ยเสียงเนิบ “งานที่ใหญ่โตมากขนาดนี้   หากท่านพี่เขยอยากเปลี่ยนแผนจริงๆ   เขาจะไม่มาอธิบายกับข้าซึ่งๆหน้าให้กระจ่างไปเลยหรือ? ข้ าเชื่อว่า  บางทีลุงใหญ่อาจจะตีความหมายของท่านพี่เขยผิดไป!”

   เหลียนฟางโจวแค่นเสียงในใจ  ที่เป็นเช่นนี้  ก็เพราะท่านฝังหัวไปแล้วว่าผู้ที่มาเยือนคือคนสกุลซู   ข้าจึงต้องเออออตามท่านไป  ยามนั้น  ข้าแค่อยากดูว่าท่านจะกล่าวอะไรบ้าง!
         -------------------------------------------------------------
    ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ ^-^





15 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ11 ตุลาคม 2560 เวลา 20:52

    ขอบคุณนะคะ
    รอจุดจบของอิลุงป่าคู่นี้
    อยากเอารองเท้าฟองน้ำให้เป็นรางวัลจริงๆ

    ตอบลบ
  2. ทำไมหน้าด้านแบบเนี่ย อิลุง

    ตอบลบ
  3. เมื่อไหร่นางจะจัดการลุงป้าอสรพิษนี่ให้เด็ดขาดสะที

    ตอบลบ
  4. อึดอัดแทนฟาวโจว​ เจอคนหน้าหนา วนไปวนมากะทรัพย์สินผู้อื่น

    ตอบลบ
  5. โอย รออ่านมากเลยค่ะ ขอบคุณมากที่แปลให้อ่าน

    ตอบลบ
  6. ของคุณนะคะที่แปลให้อ่าน อิพระรองนี่ก็มาทิ้งขี้ไว้ให้นางเอกอีก ฮึ่ยย ถึงแม้จะเป็นความผิดลุงใหญ่ก็เหอะที่มโนเป็นตุเป็นตะ

    ตอบลบ
  7. เบื่อ ถึงเบื่อมากๆ

    เมื่อไหร่อิลุงป้าคู่นี้จะตายๆ ไปสักที แม่งจ้องแต่จะฮุบสมบัติหลาน เลว

    ตอบลบ
  8. เออ..ความโลภของคนทำให้นึกความเป็นตุเป็นตะใหญ่โต
    ขอบคุณค่ะรอตอนต่อไป

    ตอบลบ
  9. หน้าด้านมากกกกกกกก

    ขอบคุณมากนะคะ

    ตอบลบ
  10. พระรองนี่น่ารำคาญเหมือนคนโง่นำพามาแต่ความยุ่งยาก

    ตอบลบ
  11. จะเอาให้ได้เลยใช่ไหมไอ้ลุงเห็นแก่ตัวไม่ฟังใครเลยหน้าด้านสุดๆ

    ตอบลบ
  12. ขอบคุณคะ เป็นกำลังใจให้นะคะ อย่าเพิ่งเบื่อแปลนะคะ

    ตอบลบ
  13. รออ่านอยากดูคนหน้าแตก ลำไยลุงป้าคุ่นี้มาก อยากให้โดนหนักๆสักที

    ตอบลบ
  14. ลุงป้าคู่นี้ไม่จบสิ้นจริงๆ

    ตอบลบ