วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 139 ความจริง

                        เหลียนฟางโจวจับจ้องเฉียวซื่อด้วยสายตาเรียบนิ่ง  แต่ก็ทำให้เฉียวซื่อรู้สึกถึงความกดดันที่แผ่ออกมา   ซึ่งส่งผลให้นางรู้สึกหายใจแทบไม่ออก
                        “พูดมาสิ   เกิดเรื่องอันใดขึ้น   หากท่านไม่ปริปากบอกความจริงออกมา  อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ   ข้าจะให้โอกาสท่านเพียงคราเดียวเท่านั้น และจงอย่าเสียเวลาเล่นเล่ห์กับข้าเลย!”  เหลียนฟางโจวจ้องหน้าป้าใหญ่เขม็ง  เอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง

    เส้นเลือดในกายของหญิงวัยกลางคนจับแข็ง  ทั่วทั้งร่างชาหนึบจนรู้สึกไม่สบายตัวอย่างที่สุด   แถมยังถูกเชือกมัดรัดตัวแน่นขนาดนั้น   ทำให้นางไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิด   เพราะกลัวจะพาลให้ปวดร้าวมากขึ้น   ประกอบกับพื้นที่เย็นเยียบนี้   ทำให้นางรู้สึกคล้ายว่าไอเย็นได้ทะลุทะลวงเข้าไปในไขสันหลังนางแล้ว   อันเป็นความหนาวเย็นประหนึ่งได้สัมผัสน้ำแข็ง!
                        ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่เช่นนี้   ตราบใดที่ยังมีความหวังจะได้รับการแก้มัดให้เป็นอิสระอยู่   นางยังจะกล้าอมพะนำอะไรอีกได้หรือ?
                        “ข้าจะบอก  ข้าจะบอก!”  เฉียวซื่อผงกศีรษะทันใด  เมื่อเย็นวานสองสามีภรรยาต่างปรึกษาหารือกันมาเป็นอย่างดี  คุยกันว่าวันนี้เหลียนลี่จะเป็นฝ่ายไปยึดที่ดิน   ส่วนนางจะคอยหาโอกาสเหมาะเข้าไปค้นหาเงินและโฉนดที่ดินทางนี้เอง  ไม่ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะทำสำเร็จทั้งคู่  หรืออาจทำสำเร็จเพียงฝ่ายเดียว  ก็นับว่าไม่สูญเปล่าแล้ว!
                           “ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก! “  เหลียนฟางโจวเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ให้ลุงใหญ่ไปล้งเล้งกับข้า  ส่วนท่านก็มุ่งหมายของผู้อื่นเหลือคณา   ของพวกนี้หาใช่ของท่านแต่ใดไม่   ไยยังไม่รู้จักปล่อยวางอีก   คิดอยากได้ไปก็เสียเวลาเปล่าๆ!”
                        “ใช่แล้ว  ใช่แล้ว!   ข้าจะบอกเขาอย่างแน่นอน!”  เฉียวซื่อยามนี้ไหนเลยจะสนใจอะไรอื่นเล่า?  ทำได้แต่เพียงพยักหน้าหงึกๆ  ยอมรับผิดอย่างหน้าชื่นตาบานเท่านั้น  พอคิดขึ้นมาถึงตอนนี้ หากจะให้นางก่นด่าใส่เหลียนลี่สักหนึ่งยก  นางจะไม่รีรอที่จะทำเช่นนั้นเลย
                        เหลียนฟางโจวได้ยินเพียงวาจาของนางว่าจะไปบอกเหลียนลี่  ทว่าสิ่งที่พูดกลับมิได้มาจากใจจริงแท้เลย   จึงนึกเหยียดหยันในใจ    จากนั้นจึงผินกายเบือนหน้าไปด้านนอก พลางเอ่ยว่า “ลุงใหญ่  ท่านมาพาป้าใหญ่กลับไปได้แล้ว!”
                   เฉียวซื่อพลันตกตะลึงตาค้าง  ครั้นแล้วประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกดังโครม  เหลียนลี่เข้ามาจากด้านนอกห้องด้วยสีหน้าดำทะมึน  โดยข้างๆประตูมีป้าสาม  เหลียนเซ่อ  อาเจี่ยนและคนอื่นๆ  รวมทั้งป้าจางและลุงหลี่สองสามีภรรยายืนคุมเชิงอยู่ด้วย
                        พอนึกถึงวาจาที่ตนกล่าวออกไปให้คนนอกเช่นป้าจางและลุงหลี่คงได้ยินเต็มสองหู  ใบหน้าเฉียวซื่อพลันแตกเป็นเสี่ยงๆ
                        สีหน้าเหลียนลี่เย็นเยียบประดุจน้ำแข็ง  เขาเข้ามาช่วยแก้มัดภรรยาตนเอง  แล้วพยุงนางให้ยืนขึ้น
    เนื่องจากพึ่งได้รับอิสระ  ร่างกายของเฉียวซื่อจึงยังคงตึงแข็งและชาอยู่บ้าง  นางยืนโงนเงน  พิงร่างเหลียนลี่โดยทิ้งน้ำหนักลงไปเต็มๆ   ส่งผลให้ทั้งสองคนเกือบสะดุดหกล้ม
                        คอยสักประเดี๋ยว  เหลียนลี่ก็พาเฉียวซื่อเดินออกไปจากห้อง  เหลียนฟางโจวคอยจนทุกคนในห้องไปยืนอยู่นอกห้องทั้งหมด  แล้วจับจ้องป้าใหญ่กับลุงใหญ่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง 
         ป้าจางถอนหายใจดังเฮือก  ลงท้ายไม่รู้จะพูดอันใดออกมาดี
              ส่วนเหลียนลี่บังคับตนเองอย่างสุดความสามารถให้หันไปค้อมศีรษะให้ลุงหลี่กับป้าจาง   ครั้นแล้วแล้วก็ประคองภรรยาเดินออกไป    ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งมืดทะมึนตั้งแต่ต้นจนจบ  ไม่เหลือบแลเหลียนฟางโจวและเหล่าสมาชิกคนอื่นๆในบ้านแม้สักแวบเดียว
                        ฝ่ายเหลียนฟางโจวเองเดิมทีก็มิได้คาดหวังว่าลุงนางจะกล่าวอะไรที่น่าฟังอยู่แล้ว  จนถึงบัดนี้เขาก็มิเคยกล่าวอะไรที่น่าพอใจเลย  จึงมิได้เอ่ยอะไรแม้สักครึ่งคำ!
              หญิงสาวยังมีกิจธุระสำคัญๆอีกมากที่จะต้องรีบเร่งไปจัดการ   จึงไม่มีแรงจะใช้เวลาทั้งวันไปทะเลาะเบาะแว้งกับลุงใหญ่อย่างแต่ก่อนได้แล้ว
                        แล้วเหตุที่เธอเชิญป้าจางกับลุงหลี่มา  หลักๆก็เพื่อให้มาเป็นพยาน  หาไม่แล้ว  เหลียนฟางโจวจะต้องประสบปัญหาหนักเป็นแน่  เพราะภายหลังเหลียนลี่อาจจะมาใส่ร้ายป้ายสี  หรือไปเที่ยวพูดว่าพวกเธอไปล่วงเกินป้าใหญ่ผู้เป็น ‘ญาติผู้ใหญ่’เอาได้
         “เด็กดี  ช่างลำบากพวกเจ้าแท้ๆ!”  ป้าจางอดเอ่ยปากออกมาไม่ได้  พลางเอามือตบหลังมือของเหลียนฟางโจวเบาๆ
                        ทว่าตรงกันข้ามเหลียนฟางโจวกลับเป็นฝ่ายเผยความรู้สึก  เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “ข้าไม่คิดมากเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว  พวกเขาทำอันใดข้ามิได้หรอก!  ตรงกันข้ามข้ากลับได้สร้างความยุ่งยากให้กับป้าจางและลุงหลี่เสียแล้ว!”
                        “เรื่องนี้ไม่เป็นอันใดเลยที่พวกเขามาทำเช่นนี้   คงกลัวคนจะเห็น!”  ป้าจางโบกไม้โบกมือไปมา  ส่วนลุงหลี่ก็พยักหน้าเห็นพ้อง
      เหลียนฟางโจวยิ้มขอบคุณ  แล้วจึงนำข่าวดีของหลิวเจี่ยมาบอกกล่าวลุงหลี่  ว่าพรุ่งนี้ให้นำถ่านไปขายได้เลย 
                        ลุงหลี่กับป้าจางนั้นรู้สึกดีใจระคนแปลกใจ  ลุงหลี่เอ่ยแย้มยิ้ม  “ในเมื่อเป็นเช่นนี้  พรุ่งนี้ข้ากับเจ้า และก็ป้าจางไปเปิดเตาเผาถ่านกันเถิด  แล้วให้เจ้า  พี่ชายและพี่สะใภ้ รวมสามคนเอาถ่านบรรทุกเกวียนเทียมวัวของบ้านข้าไปส่งลูกค้า!”
                        เหลียนฟางโจวผงกศีรษะพร้อมรอยยิ้ม  เอ่ยขึ้น  “ยามนี้บ้านพวกข้ามีรถเกวียนเทียมลาแล้ว  อาเจี่ยนสามารถขับรถไปส่งด้วยกันได้!”
                        ทั้งสองฝ่ายต่างหารือกันสักพัก  พอตกลงกันได้เรียบร้อย  ลุงหลี่กับป้าจางก็ขอตัวกลับ
                        ตกกลางคืนหญิงสาวยังมิได้บอกกล่าวใดๆ               
                        เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเมื่อแต่ละคนตื่นแล้ว  อาเจี่ยนก็รีบจัดแจงเอารถเกวียนเทียมลาไปบ้านสกุลหลี่ 
                        เดิมทีวางแผนไว้ว่าขนถ่านขึ้นรถให้เรียบร้อยก่อนจึงค่อยกลับมากินข้าว  แล้วค่อยออกเดินทาง   แน่นอนพวกป้าจางมิอยากให้ชายหนุ่มไป  บอกให้เขามานั่งกินข้าวด้วยกัน  อาเจี่ยนอยากปฏิเสธ  ทว่าก็ได้แต่หัวเราะจำต้องตอบรับโดยไม่มีทางเลี่ยง
        ป้าจางได้ให้หลี่จวนไปแจ้งข่าวที่บ้านสกุลเหลียน   
                        เหลียนฟางโจวมิได้เอ่ยอะไร  เพียงยิ้มและบอกว่าทราบแล้ว!
              อาเจี่ยนได้รีบเร่งขับรถเกวียนเทียมลา โดยมีหลี่ซานเหอและภรรยาขับรถเกวียนเทียมวัวตามหลังออกจากหมู่บ้านต้าฟาง
              อาเจี่ยน หลี่ซานเหอและภรรายาหารือกันไว้ว่า  รถเกวียนเทียมลาวิ่งได้เร็วกว่า  จึงให้อาเจี่ยนนำหน้าไปก่อน  จะได้สามารถขนของได้สองเที่ยว  ส่วนหลี่ซานเหอและภรรยาจะตามมาทีหลัง  แล้วเป็นฝ่ายเอาสินค้าไปส่งยังสถานที่ของลูกค้าเอง  ชายหนุ่มได้อธิบายแผนการให้ทั้งสองสามีภรรยาฟังจนแจ่มแจ้งเป็นอย่างดี
                        หลี่ซานเหอและจ้าวซื่อย่อมไม่ขัดข้อง  ในใจของจ้าวซื่ออยากได้รถแบบนี้บ้าง  เพราะเห็นรถของอาเจี่ยนไปได้เร็วกว่ามาก  จนสามารถวิ่งไปส่งของได้ถึงสองเที่ยว!
                        ตรงกันข้ามรถที่หลี่ซานเหอขับ กลับเคลื่อนไปอย่างต้วมเตี้ยม  เห็นอาเจี่ยนขับรถเกวียนเทียมลาออกตัวไปอย่างว่องไว  มิได้ค่อยๆก้าวไปอย่างเชื่องช้าทีละก้าวๆอย่างกับเต่า  นางจึงพยายามสะบัดแส้ใส่วัวเพิ่มอีกนิดหวังให้รถเคลื่อนที่ไปเร็วขึ้น
                        หลังเหลียนฟางโจว น้องๆและป้าสามกินข้าวเช้ากันเสร็จ   จึงเร่งรีบออกไปบ้าง
                        เหลียนฟางโจวกับเหลียนเซ่อเดินทางไปถึงบริเวณลานหินในที่สุด
         ยามทั้งสองไปถึง   บรรดาคนงานทั้งหมดก็ลงมือทำงานกันแล้ว  พอเห็นพวกเขาสองพี่น้องมาถึง  จึงยิ้มทักอย่างสุภาพว่า  นายหญิง’  ‘นายน้อย  ต่างโบกมือร้องทักกันเซ็งแซ่
              เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อต่างหัวเราะร้องทักคนงานทีละคน  พูดคุยเล่นกับทุกคนพอหอมปากหอมคอ
       งานของวันนี้จะเป็นการสับดินก้อนใหญ่ๆบนที่ดินทั้งผืนให้เป็นก้อนเล็กก้อนน้อย  ด้วยคนงานทั้งหมดมีสามสิบคน  จึงประมาณการว่าต้องลงแรงทั้งหมดราวๆ 2 วัน
                        เหลียนฟางโจวแย้มยิ้มถามว่าเมื่อวานพวกเขาเลิกงานกลับไปเมื่อใด?  จึงได้รู้ว่าวันนั้นกว่าพวกเขาจะกลับไปก็เกือบค่ำแล้ว  จึงอดพูดสักสองสามประโยคไม่ได้  “ข้ามิได้บอกหรือไร  ว่าวันนี้ให้เข้างานได้สายกว่าเดิมพวกท่านทั้งหมดไฉนถึงได้รีบมากันแต่เช้าเช่นนี้เล่า!”
         “ชาวไร่ชาวนาไหนเลยจะบอบบางปานนั้นพอเช้ามืดมาถึงก็นอนอุตุต่อไปไม่ไหวแล้ว  มาทำงานแต่เช้า จะได้ทำงานเสร็จเสียแต่เนิ่นๆ!”   ทุกๆคนหัวเราะเอ่ยขึ้น
                        พวกเขาทุกคนล้วนเชื่อว่า   งานที่ใช้เวลาสองวัน  หากพวกเขาทำให้เสร็จภายในวันครึ่ง  นายหญิงก็ยังคงจ่ายค่าจ้างให้พวกเขาเต็มสองวันเช่นเดิม
    ลำพัง  ยามอยู่ในฤดูเพาะปลูกการกลับถึงบ้านมืดค่ำนับเป็นเรื่องธรรมดามาก  เมื่อวานแค่สายนิดหน่อย  จะไปเคร่งเครียดอะไรนักหนา?
                        แม้ใจพวกเขาจะคิดเช่นนั้น   ทว่าพอเห็นท่าทางของเหลียนฟางโจวที่แสดงออก ก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกเห็นใจหญิงสาวมากขึ้น
                        “เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องรีบเร่งเกินไปนัก  พวกท่านควรหยุดพักบ้าง  ทำงานหักโหมไป จะบาดเจ็บเอาได้  และไม่ดีต่อสุขภาพด้วย!”  เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
                        บรรดาคนงานหัวเราะเอ่ยขึ้น “ไม่บาดเจ็บหรอก  พวกเรารู้กำลังตัวเองดี!”     
              พอคุยสัพเพเหระกันสักพัก  เหลียนฟางโจวจึงแย้มยิ้มเอ่ยขึ้น “พวกท่านทั้งหมดก็ทำงานในมือต่อไปเถิดอาเซ่ออยู่ที่นี่   มีเรื่องอันใดก็บอกกับเขาได้เลย!” 
                        หลี่ฉิงกับหวูเสี่ยวเหมาเดิมทียามนี้คิดจะบอกเรื่องการจ้างงานต่อจากนี้ไปกับเหลียนฟางโจว  เรื่องงานนี้ตามธรรมดาต้องผ่านจ้าวลิ่ว  แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็คิดว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องบอกกล่าวให้เหลียนฟางโจวรู้ด้วย
      เห็นเหลียนฟางโจวมีธุระคั่งค้างที่ต้องกลับไปจัดการ   ทั้งสองคนต่างแลกเปลี่ยนสายตากัน  คิดตั้งใจคอยหาโอกาสพูดอีกที

              ใครจะคิดว่าเหลียนฟางโจวจะมีดวงตาแหลมคม   หญิงสาวพลันส่งสายตาเป็นนัยมายังเขาทั้งสองคน  เอ่ยแย้มยิ้ม  “น้าหลี่กับน้าหวูจริงๆแล้วมีอะไรอยากคุยกับข้าใช่หรือไม่เช่นนั้นก็จงพูดออกมาเถิด!”
        -------------------------------------------------------------------------
       ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ และทุกการติดตามค่ะ ^-^

11 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณค่ะ
    รอติดตามตอนต่อไปนะคะ

    ตอบลบ
  2. รอทุกครั้งเลยค่ะ ชอ บเรื่องนี้ สนุกและ แปลดีมาก

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณมากค่ะ สำนวนแปลเยี่ยมมากเลยค่ะ

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณค่ะ อ่านสนุกรอตอนต่อไปนะค่ะ

    ตอบลบ
  5. รออ่านตลอดเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่สละเวลามาแปลให้อ่าน ขอบคุถจริงๆค่ะ

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณที่แปลให้อ่านนะคะ

    ตอบลบ
  7. ขอบคุณค่ะ....อยากอ่านตอนต่อไปต่อจังเลย

    ตอบลบ
  8. ขอบคุณนะคะ....ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ

    ตอบลบ