เหลียนฟางโจวจับจ้องเฉียวซื่อด้วยสายตาเรียบนิ่ง แต่ก็ทำให้เฉียวซื่อรู้สึกถึงความกดดันที่แผ่ออกมา
ซึ่งส่งผลให้นางรู้สึกหายใจแทบไม่ออก
“พูดมาสิ เกิดเรื่องอันใดขึ้น หากท่านไม่ปริปากบอกความจริงออกมา อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ ข้าจะให้โอกาสท่านเพียงคราเดียวเท่านั้น! และจงอย่าเสียเวลาเล่นเล่ห์กับข้าเลย!” เหลียนฟางโจวจ้องหน้าป้าใหญ่เขม็ง เอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง
เส้นเลือดในกายของหญิงวัยกลางคนจับแข็ง ทั่วทั้งร่างชาหนึบจนรู้สึกไม่สบายตัวอย่างที่สุด แถมยังถูกเชือกมัดรัดตัวแน่นขนาดนั้น ทำให้นางไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิด เพราะกลัวจะพาลให้ปวดร้าวมากขึ้น ประกอบกับพื้นที่เย็นเยียบนี้ ทำให้นางรู้สึกคล้ายว่าไอเย็นได้ทะลุทะลวงเข้าไปในไขสันหลังนางแล้ว อันเป็นความหนาวเย็นประหนึ่งได้สัมผัสน้ำแข็ง!
ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่เช่นนี้ ตราบใดที่ยังมีความหวังจะได้รับการแก้มัดให้เป็นอิสระอยู่ นางยังจะกล้าอมพะนำอะไรอีกได้หรือ?
“ข้าจะบอก ข้าจะบอก!” เฉียวซื่อผงกศีรษะทันใด
เมื่อเย็นวานสองสามีภรรยาต่างปรึกษาหารือกันมาเป็นอย่างดี
คุยกันว่าวันนี้เหลียนลี่จะเป็นฝ่ายไปยึดที่ดิน ส่วนนางจะคอยหาโอกาสเหมาะเข้าไปค้นหาเงินและโฉนดที่ดินทางนี้เอง ไม่ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาจะทำสำเร็จทั้งคู่ หรืออาจทำสำเร็จเพียงฝ่ายเดียว ก็นับว่าไม่สูญเปล่าแล้ว!
“ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก! “ เหลียนฟางโจวเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ให้ลุงใหญ่ไปล้งเล้งกับข้า ส่วนท่านก็มุ่งหมายของผู้อื่นเหลือคณา ของพวกนี้หาใช่ของท่านแต่ใดไม่ ไยยังไม่รู้จักปล่อยวางอีก คิดอยากได้ไปก็เสียเวลาเปล่าๆ!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! ข้าจะบอกเขาอย่างแน่นอน!” เฉียวซื่อยามนี้ไหนเลยจะสนใจอะไรอื่นเล่า?
ทำได้แต่เพียงพยักหน้าหงึกๆ ยอมรับผิดอย่างหน้าชื่นตาบานเท่านั้น พอคิดขึ้นมาถึงตอนนี้ หากจะให้นางก่นด่าใส่เหลียนลี่สักหนึ่งยก นางจะไม่รีรอที่จะทำเช่นนั้นเลย
เหลียนฟางโจวได้ยินเพียงวาจาของนางว่าจะไปบอกเหลียนลี่ ทว่าสิ่งที่พูดกลับมิได้มาจากใจจริงแท้เลย จึงนึกเหยียดหยันในใจ จากนั้นจึงผินกายเบือนหน้าไปด้านนอก
พลางเอ่ยว่า “ลุงใหญ่
ท่านมาพาป้าใหญ่กลับไปได้แล้ว!”
เฉียวซื่อพลันตกตะลึงตาค้าง ครั้นแล้วประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกดังโครม เหลียนลี่เข้ามาจากด้านนอกห้องด้วยสีหน้าดำทะมึน โดยข้างๆประตูมีป้าสาม เหลียนเซ่อ
อาเจี่ยนและคนอื่นๆ
รวมทั้งป้าจางและลุงหลี่สองสามีภรรยายืนคุมเชิงอยู่ด้วย
พอนึกถึงวาจาที่ตนกล่าวออกไปให้คนนอกเช่นป้าจางและลุงหลี่คงได้ยินเต็มสองหู ใบหน้าเฉียวซื่อพลันแตกเป็นเสี่ยงๆ
สีหน้าเหลียนลี่เย็นเยียบประดุจน้ำแข็ง
เขาเข้ามาช่วยแก้มัดภรรยาตนเอง แล้วพยุงนางให้ยืนขึ้น
เนื่องจากพึ่งได้รับอิสระ
ร่างกายของเฉียวซื่อจึงยังคงตึงแข็งและชาอยู่บ้าง นางยืนโงนเงน
พิงร่างเหลียนลี่โดยทิ้งน้ำหนักลงไปเต็มๆ
ส่งผลให้ทั้งสองคนเกือบสะดุดหกล้ม
คอยสักประเดี๋ยว เหลียนลี่ก็พาเฉียวซื่อเดินออกไปจากห้อง
เหลียนฟางโจวคอยจนทุกคนในห้องไปยืนอยู่นอกห้องทั้งหมด แล้วจับจ้องป้าใหญ่กับลุงใหญ่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง
ป้าจางถอนหายใจดังเฮือก ลงท้ายไม่รู้จะพูดอันใดออกมาดี
ส่วนเหลียนลี่บังคับตนเองอย่างสุดความสามารถให้หันไปค้อมศีรษะให้ลุงหลี่กับป้าจาง ครั้นแล้วแล้วก็ประคองภรรยาเดินออกไป ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งมืดทะมึนตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เหลือบแลเหลียนฟางโจวและเหล่าสมาชิกคนอื่นๆในบ้านแม้สักแวบเดียว
ฝ่ายเหลียนฟางโจวเองเดิมทีก็มิได้คาดหวังว่าลุงนางจะกล่าวอะไรที่น่าฟังอยู่แล้ว จนถึงบัดนี้เขาก็มิเคยกล่าวอะไรที่น่าพอใจเลย จึงมิได้เอ่ยอะไรแม้สักครึ่งคำ!
หญิงสาวยังมีกิจธุระสำคัญๆอีกมากที่จะต้องรีบเร่งไปจัดการ จึงไม่มีแรงจะใช้เวลาทั้งวันไปทะเลาะเบาะแว้งกับลุงใหญ่อย่างแต่ก่อนได้แล้ว
แล้วเหตุที่เธอเชิญป้าจางกับลุงหลี่มา หลักๆก็เพื่อให้มาเป็นพยาน หาไม่แล้ว
เหลียนฟางโจวจะต้องประสบปัญหาหนักเป็นแน่
เพราะภายหลังเหลียนลี่อาจจะมาใส่ร้ายป้ายสี หรือไปเที่ยวพูดว่าพวกเธอไปล่วงเกินป้าใหญ่ผู้เป็น
‘ญาติผู้ใหญ่’เอาได้
“เด็กดี ช่างลำบากพวกเจ้าแท้ๆ!” ป้าจางอดเอ่ยปากออกมาไม่ได้
พลางเอามือตบหลังมือของเหลียนฟางโจวเบาๆ
ทว่าตรงกันข้ามเหลียนฟางโจวกลับเป็นฝ่ายเผยความรู้สึก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่คิดมากเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว พวกเขาทำอันใดข้ามิได้หรอก! ตรงกันข้ามข้ากลับได้สร้างความยุ่งยากให้กับป้าจางและลุงหลี่เสียแล้ว!”
“เรื่องนี้ไม่เป็นอันใดเลย! ที่พวกเขามาทำเช่นนี้ คงกลัวคนจะเห็น!” ป้าจางโบกไม้โบกมือไปมา ส่วนลุงหลี่ก็พยักหน้าเห็นพ้อง
เหลียนฟางโจวยิ้มขอบคุณ
แล้วจึงนำข่าวดีของหลิวเจี่ยมาบอกกล่าวลุงหลี่ ว่าพรุ่งนี้ให้นำถ่านไปขายได้เลย
ลุงหลี่กับป้าจางนั้นรู้สึกดีใจระคนแปลกใจ ลุงหลี่เอ่ยแย้มยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้ข้ากับเจ้า
และก็ป้าจางไปเปิดเตาเผาถ่านกันเถิด
แล้วให้เจ้า พี่ชายและพี่สะใภ้
รวมสามคนเอาถ่านบรรทุกเกวียนเทียมวัวของบ้านข้าไปส่งลูกค้า!”
เหลียนฟางโจวผงกศีรษะพร้อมรอยยิ้ม เอ่ยขึ้น
“ยามนี้บ้านพวกข้ามีรถเกวียนเทียมลาแล้ว
อาเจี่ยนสามารถขับรถไปส่งด้วยกันได้!”
ทั้งสองฝ่ายต่างหารือกันสักพัก
พอตกลงกันได้เรียบร้อย ลุงหลี่กับป้าจางก็ขอตัวกลับ
ตกกลางคืนหญิงสาวยังมิได้บอกกล่าวใดๆ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเมื่อแต่ละคนตื่นแล้ว อาเจี่ยนก็รีบจัดแจงเอารถเกวียนเทียมลาไปบ้านสกุลหลี่
เดิมทีวางแผนไว้ว่าขนถ่านขึ้นรถให้เรียบร้อยก่อนจึงค่อยกลับมากินข้าว แล้วค่อยออกเดินทาง แน่นอนพวกป้าจางมิอยากให้ชายหนุ่มไป บอกให้เขามานั่งกินข้าวด้วยกัน อาเจี่ยนอยากปฏิเสธ ทว่าก็ได้แต่หัวเราะจำต้องตอบรับโดยไม่มีทางเลี่ยง
ป้าจางได้ให้หลี่จวนไปแจ้งข่าวที่บ้านสกุลเหลียน
เหลียนฟางโจวมิได้เอ่ยอะไร เพียงยิ้มและบอกว่าทราบแล้ว!
อาเจี่ยนได้รีบเร่งขับรถเกวียนเทียมลา โดยมีหลี่ซานเหอและภรรยาขับรถเกวียนเทียมวัวตามหลังออกจากหมู่บ้านต้าฟาง
อาเจี่ยน หลี่ซานเหอและภรรายาหารือกันไว้ว่า รถเกวียนเทียมลาวิ่งได้เร็วกว่า จึงให้อาเจี่ยนนำหน้าไปก่อน จะได้สามารถขนของได้สองเที่ยว ส่วนหลี่ซานเหอและภรรยาจะตามมาทีหลัง แล้วเป็นฝ่ายเอาสินค้าไปส่งยังสถานที่ของลูกค้าเอง ชายหนุ่มได้อธิบายแผนการให้ทั้งสองสามีภรรยาฟังจนแจ่มแจ้งเป็นอย่างดี
หลี่ซานเหอและจ้าวซื่อย่อมไม่ขัดข้อง ในใจของจ้าวซื่ออยากได้รถแบบนี้บ้าง เพราะเห็นรถของอาเจี่ยนไปได้เร็วกว่ามาก จนสามารถวิ่งไปส่งของได้ถึงสองเที่ยว!
ตรงกันข้ามรถที่หลี่ซานเหอขับ กลับเคลื่อนไปอย่างต้วมเตี้ยม เห็นอาเจี่ยนขับรถเกวียนเทียมลาออกตัวไปอย่างว่องไว มิได้ค่อยๆก้าวไปอย่างเชื่องช้าทีละก้าวๆอย่างกับเต่า
นางจึงพยายามสะบัดแส้ใส่วัวเพิ่มอีกนิดหวังให้รถเคลื่อนที่ไปเร็วขึ้น
หลังเหลียนฟางโจว
น้องๆและป้าสามกินข้าวเช้ากันเสร็จ จึงเร่งรีบออกไปบ้าง
เหลียนฟางโจวกับเหลียนเซ่อเดินทางไปถึงบริเวณลานหินในที่สุด
ยามทั้งสองไปถึง บรรดาคนงานทั้งหมดก็ลงมือทำงานกันแล้ว พอเห็นพวกเขาสองพี่น้องมาถึง จึงยิ้มทักอย่างสุภาพว่า ‘นายหญิง’ ‘นายน้อย‘ ต่างโบกมือร้องทักกันเซ็งแซ่
เหลียนฟางโจวและเหลียนเซ่อต่างหัวเราะร้องทักคนงานทีละคน พูดคุยเล่นกับทุกคนพอหอมปากหอมคอ
งานของวันนี้จะเป็นการสับดินก้อนใหญ่ๆบนที่ดินทั้งผืนให้เป็นก้อนเล็กก้อนน้อย ด้วยคนงานทั้งหมดมีสามสิบคน จึงประมาณการว่าต้องลงแรงทั้งหมดราวๆ 2 วัน
เหลียนฟางโจวแย้มยิ้มถามว่าเมื่อวานพวกเขาเลิกงานกลับไปเมื่อใด? จึงได้รู้ว่าวันนั้นกว่าพวกเขาจะกลับไปก็เกือบค่ำแล้ว จึงอดพูดสักสองสามประโยคไม่ได้ “ข้ามิได้บอกหรือไร ว่าวันนี้ให้เข้างานได้สายกว่าเดิม? พวกท่านทั้งหมดไฉนถึงได้รีบมากันแต่เช้าเช่นนี้เล่า!”
“ชาวไร่ชาวนาไหนเลยจะบอบบางปานนั้น? พอเช้ามืดมาถึงก็นอนอุตุต่อไปไม่ไหวแล้ว มาทำงานแต่เช้า จะได้ทำงานเสร็จเสียแต่เนิ่นๆ!” ทุกๆคนหัวเราะเอ่ยขึ้น
พวกเขาทุกคนล้วนเชื่อว่า งานที่ใช้เวลาสองวัน หากพวกเขาทำให้เสร็จภายในวันครึ่ง นายหญิงก็ยังคงจ่ายค่าจ้างให้พวกเขาเต็มสองวันเช่นเดิม
ลำพัง ยามอยู่ในฤดูเพาะปลูกการกลับถึงบ้านมืดค่ำนับเป็นเรื่องธรรมดามาก เมื่อวานแค่สายนิดหน่อย จะไปเคร่งเครียดอะไรนักหนา?
แม้ใจพวกเขาจะคิดเช่นนั้น ทว่าพอเห็นท่าทางของเหลียนฟางโจวที่แสดงออก
ก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกเห็นใจหญิงสาวมากขึ้น
“เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องรีบเร่งเกินไปนัก พวกท่านควรหยุดพักบ้าง ทำงานหักโหมไป จะบาดเจ็บเอาได้ และไม่ดีต่อสุขภาพด้วย!” เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
บรรดาคนงานหัวเราะเอ่ยขึ้น
“ไม่บาดเจ็บหรอก พวกเรารู้กำลังตัวเองดี!”
พอคุยสัพเพเหระกันสักพัก เหลียนฟางโจวจึงแย้มยิ้มเอ่ยขึ้น “พวกท่านทั้งหมดก็ทำงานในมือต่อไปเถิด! อาเซ่ออยู่ที่นี่ มีเรื่องอันใดก็บอกกับเขาได้เลย!”
หลี่ฉิงกับหวูเสี่ยวเหมาเดิมทียามนี้คิดจะบอกเรื่องการจ้างงานต่อจากนี้ไปกับเหลียนฟางโจว เรื่องงานนี้ตามธรรมดาต้องผ่านจ้าวลิ่ว แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็คิดว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องบอกกล่าวให้เหลียนฟางโจวรู้ด้วย
เห็นเหลียนฟางโจวมีธุระคั่งค้างที่ต้องกลับไปจัดการ ทั้งสองคนต่างแลกเปลี่ยนสายตากัน
คิดตั้งใจคอยหาโอกาสพูดอีกที
ใครจะคิดว่าเหลียนฟางโจวจะมีดวงตาแหลมคม หญิงสาวพลันส่งสายตาเป็นนัยมายังเขาทั้งสองคน เอ่ยแย้มยิ้ม
“น้าหลี่กับน้าหวูจริงๆแล้วมีอะไรอยากคุยกับข้าใช่หรือไม่? เช่นนั้นก็จงพูดออกมาเถิด!”
-------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์ และทุกการติดตามค่ะ ^-^
ขอบคุณค่ะ
ตอบลบรอติดตามตอนต่อไปนะคะ
ขอบคุณคะ สนุกมาก
ตอบลบรอทุกครั้งเลยค่ะ ชอ บเรื่องนี้ สนุกและ แปลดีมาก
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ สำนวนแปลเยี่ยมมากเลยค่ะ
ตอบลบขอบคุณค่ะ อ่านสนุกรอตอนต่อไปนะค่ะ
ตอบลบขอบคุณนะคะ
ตอบลบรออ่านตลอดเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่สละเวลามาแปลให้อ่าน ขอบคุถจริงๆค่ะ
ตอบลบขอบคุณที่แปลให้อ่านนะคะ
ตอบลบขอบคุณค่ะ....อยากอ่านตอนต่อไปต่อจังเลย
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ตอบลบขอบคุณนะคะ....ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ
ตอบลบ