วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ภรรยาข้าผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ - บทที่ 27 เมื่อโจรทำการค้า

                       ท้องฟ้ากระจ่างใส  ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้า  แม้ล่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงอย่างเป็นทางการแล้ว   ทว่าสภาพอากาศยังคงร้อนอบอ้าวนัก  โดยเฉพาะยามนั่งอยู่ในห้องโดยสารบนรถม้าที่ปิดทึบแน่นหนา   อากาศแทบจะเล็ดรอดเข้ามามิได้เลย   ช่างพาให้ร้อนและเหนียวตัวยิ่งนัก   ความร้อนในฤดูใบไม้ร่วงมิอาจดูแคลนได้จริงๆ   มู่หรงหยุนชูล้วงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผาก  แล้วยกกระโปรงขึ้น   พลางย่อตัวมุดออกจากห้องโดยสาร และไปนั่งข้างนอกเคียงข้างคนขับรถม้า

                        “นายหญิง  ท่านออกมาทำไมขอรับ?”  เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้ใกล้ชิดธิดาคนโตของสกุลเศรษฐีขนาด  ‘กระทบไหล่กัน’  คนขับรถม้าให้รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก
                       “ในรถร้อนอบอ้าวนัก   ข้าเลยออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์”
                        “คุณหนู เมื่อไรพวกเราจะถึงเมืองชาผิงเพื่อไปสมทบกับท่านเขยเล่าเจ้าคะ?”  ลู่เอ๋อร์สาวใช้เหนื่อยหอบถามขึ้นด้วยเสียงอ่อนระโหยโรยแรง  นางนั่งอยู่ในรถม้ามากว่าสิบวัน  จนก้นจะแข็งเป็นหินไปหมดแล้ว
                        มู่หรงหยุนชูทอดสายตามองออกไปเบื้องหน้าก็ยังไม่เห็นปลายทางของถนน  หญิงสาวพรูลมหายใจอย่างห่อเหี่ยว  พลางเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”  หากขี่ม้าเป็นก็คงดี  ไม่เพียงจะเร็วขึ้น  ซ้ำยังเย็นสบายดีด้วย
                        “เบื้องหน้าคือเมืองหน้าด่านของเขตชายแดนตะวันตก  เรากำลังมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหน้าด่านนี้แล้ว  หากเรายังวิ่งด้วยความเร็วเช่นนี้   คงอีกครึ่งเดือนกว่าจะไปถึงที่นั่น   คงแค่ไปทันงานประลองยุทธ์เท่านั้น “  เฟิ่งเฉิงที่อยู่บนหลังม้าตอบพวกนาง
                        “ตั้งครึ่งเดือน อา....” ลู่เอ๋อร์ลากเสียง อายาวเป็นพิเศษ
            มู่หรงหยุนชูพลันเกิดความหดหู่ในใจ  บางทีอากาศคงจะร้อนเกินไป   และบางทีการเดินทางครานี้คงคล้ายกับการระเหเร่ร่อนแสนเหนื่อยยาก   นางรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้สาหัสสากรรจ์ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ  เส้นทางที่วิ่งไปดูคล้ายว่าจะไม่มีจุดสิ้นสุดเอาเลย
                        เฟิ่งเฉิงคลี่ยิ้มให้กับสองนายบ่าว  เอ่ยว่า “เดินทางไปอีกสิบลี้ก็ถึงเมืองหน้าด่านจิ้งเปียน  พวกเราจะพักค้างคืนที่นั่น  พอรุ่งขึ้นก็เร่งเดินทางต่อ”
                        พอได้ยินว่าจะได้พักหนึ่งคืน  ลู่เอ๋อร์ตะโกนออกมาด้วยความดีใจ “เยี่ยมเลยเยี่ยมเลย...คุณชายเฟิ่งเฉิงช่างรู้ใจผู้อื่นจริงๆ!”
                        เฟิ่งเฉิงเหล่มองมู่หรงหยุนชูคราหนึ่ง  แล้วจึงหันไปส่งยิ้มเอ่ยว่า “มิใช่ว่าท่านเขยของสกุลท่านรู้ใจผู้อื่นหรือ “  น้ำเสียงค่อนข้างขมขื่นแฝงความเจ็บปวด
                        มู่หรงหยุนชูเม้มริมฝีปากแน่น  ทำปากยื่นชื่นชมทัศนียภาพสองข้างทางเงียบๆ  ทว่าลึกๆในใจบังเกิดความหวั่นไหวตลอดเวลา   ทำอย่างไรนางก็มิอาจขับไล่ความฟุ้งซ่านไปได้
                        นางไม่เคยคิดเลยว่าฉู่ฉางเกอจะมีความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น  ทั้งๆที่จริงแล้วเขาลงมือทำเรื่องแต่ละเรื่อง  แต่ละคำที่พูด  ล้วนมีส่วนทำให้ใจนางปั่นป่วนสับสน คล้ายว่าสวรรค์ส่งคนผู้นี้มาทำให้นางเสียศูนย์  และไม่ว่าจะเขาพูดอะไร  นางไม่อยากจำนนยอมรับ   บางครั้งบางหลักการก็ต้องดึงดันเอาไว้   คล้ายว่าการดื้อแพ่งถึงจะสมเป็นธิดาคนโตของสำนักมู่หรง  เจ้าของสำนักแลกเงินไฮ่เฟิ่งเฉียง   ถึงแม้นางจะเป็นเพียงสามัญชนที่ทำงานตามคำบัญชาของโอรสสวรรค์   และอยากจะต้านทานอำนาจจนถึงตอนจบด้วยก็ตาม 
                        ในมุมมองของนางคล้ายว่า   ในชีวิตของคนๆหนึ่ง  ควรมีรักได้เพียงหนึ่งเดียว  ไม่ว่าเพราะเหตุผลกลใดก็ตาม  ล้วนไม่ควรตกหลุมรักผู้อื่นได้อีก   หากในใจยังมีคนผู้หนึ่งอยู่เต็มหัวใจ  ผู้มาทีหลังจะอยู่ในสายตาได้อย่างไร และยิ่งเป็นบุคคลที่สูงส่งด้วยแล้ว ก็ยิ่งมิต้องคาดหวัง  พวกเขาจะสามารถมีรักหนึ่งเดียวได้อย่างไร วิถีความรักในหมู่ผู้สูงศักดิ์แบบนี้  จะเรียกว่ารักอย่างไรได้?
                        บางทีเรื่องนี้เป็นเพียงเพราะว่า นางยังมิเคยมีประสบการณ์   จึงบังเกิดความคิดอคติ  ทว่าความคิดอคติแบบนี้   หาได้หายไปจากใจนาง  รวมทั้งเรื่องที่นางเป็นคนรักความสะอาดยิ่งชีวิตด้วย   มิหนำซ้ำบุรุษผู้นั้นยังมีผู้อื่นสลักเสลาอยู่เต็มหัวใจ   ถึงแม้เขาจะดูดี  นางคงมิอาจมอบใจให้เขาได้
                        หรืออาจกล่าวได้ว่า  นางคงไม่อาจทะลายกำแพงในใจบุรุษผู้นั้นได้ 
         *
                        เมืองจิ้งเปียนเป็นเมืองเล็กๆที่กั้นชายแดนทางทิศตะวันตก   แม้ว่าจะปลอดจากไฟสงครามมากว่าสองสามปีแล้ว  ทว่าด้วยสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และสถานภาพทางการเมือง ได้ส่งผลให้เมืองเล็กๆนี้ถูกโดดเดี่ยว   ถนนในเมืองที่ควรจะมีชาวเมืองออกมาเดินเตร็ดเตร่   ถูกแทนที่ด้วยแถวของกองกำลังทหารที่คอยป้องกันเมืองอย่างเข้มงวดกวดขัน   ในมือทหารหาญถือหอกยาวติดพู่ห้อยสีแดงตั้งเด่นเป็นสง่า  เสียงเท้ากระทบพื้นดังก้องกังวานทรงพลังยิ่ง  ขวัญกำลังใจแกล้วกล้า  ใบหน้าค่อนข้างอ่อนเยาว์ของทหารแต่ละนายเต็มเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจและความเชื่อมั่น  มือกุมด้ามหอกประหนึ่งมันคือที่พึ่งสุดท้ายของชีวิต
                        “คุณหนู  ท่านอยากเข้าร่วมสงครามบ้างไหมเจ้าคะ?”  ลู่เอ๋อร์ถามขึ้น
                        มู่หรงหยุนชูไม่ได้ตอบคำถามสาวใช้ทันที   พลางจับจ้องกองทหารที่เดินลาดตระเวณไปตามถนนหลายสายอย่างเข้มงวดเป็นเวลานาน   ดวงตาทอดมองไปไกล พลางเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “บางทีนะ”  การป้องกันเมืองหน้าด่านจิงเปียน  ช่างเข้มงวดกว่าปกติ  หากเมืองหน้าด่าน  ไม่มีสิ่งใดประหลาดนัก  ก็จะมีไว้เพียงเพื่อเป็นกันชนจากข้าศึกภายนอก  การวางกำลังเข้มงวดกว่าปกติก็ยิ่งดีเท่านั้น  ทว่าเมืองหน้าด่านจิ้งเปียนนี้กั้นเขตแดนแคว้นฉู่ที่ปกครองโดยราชวงศ์ถงฉู่  ว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว  มิควรต้องตั้งระวังเตรียมพร้อมมากเช่นนี้  ในยามปลอดสงคราม
                        ลู่เอ๋อร์ได้ยินว่าคุณหนูอยากเข้าร่วมรบจริงๆ  พลันส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดขึ้นมา  “คุณหนู  พวกเรารีบหนีเอาตัวรอดกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ  กลับไปเมืองจินหลิงกันเถิด!  เมืองจินหลิงมิได้เข้าร่วมสงคราม”
                        “ไม่กลับ”
                        “ไฉนจึงไม่กลับเจ้าคะ”  สาวใช้เอ่ย
                        “พอดีข้าทิ้งปัญหาการเงินของแคว้นเอาไว้ที่นั่นน่ะ”  มู่หรงหยุนชูเอ่ยเช่นนั้น ด้วยสีหน้าสบายๆ
                        ลู่เอ๋อร์ถึงกับปาดน้ำตา  “คุณหนู ถึงเราจะเปิดกิจการสำนักแลกเงินก็ตาม  ทว่าท่านไม่อาจใช้ชีวิตแบมือขอเงินไปวันหนึ่งๆได้นะ....เฮ้อ!”
                        “ข้ามิทำหรอก”
                        ลู่จีพรูลมหายใจ  ไม่ดีแน่   สำนักมู่หรงของพวกเราหาได้ขาดแคลนเงินทอง  ปัญหาการเงินของแคว้นเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย   แต่กลับไม่มีค่าให้เอ่ยถึง  สาวใช้ลู่เอ๋อร์รู้สึกซาบซึ้งถึงกระดูก  เพียงฟังเจ้านายตนเอง เอ่ยว่า “เงินข้าก็อยากได้  ชีวิตข้าก็ยิ่งปรารถนา ”
                        “คุณหนู....ชอบใช้ชีวิตตามแต่ใจตนเอง”
                        “เพราะฉะนั้น ข้าจึงสนใจแต่ชีวิตของตนเอง”
                        “....” นางบอกได้เลยว่ามันก็คือเงิน  เงินตัวเดียวเท่านั้น!
                        พอได้ยินเช่นนี้เฟิ่งเฉิงจึงหันมาส่งสายตาเห็นใจให้ลู่เอ๋อร์  เขาหัวเราะพลางเอ่ยว่า “คุณหนูสกุลเจ้าก็แค่ล้อเจ้าเล่นขำๆน่ะ  อย่าได้จริงจังนักเลย
                        ลู่เอ๋อร์ยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อ  คุณหนูครานี้ดูท่าจะเล่นแรงเกินไปเสียแล้ว
           *
                        เมืองจิ้งเปียนมีเพียงโรงเตี๊ยมเสี่ยวเย่ว ที่ต้อนรับนักเดินทางเพียงแห่งเดียว  ขณะเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม  พวกเขาพลันได้ยินเสียงเฮฮาดังหนวกหูบนชั้นสอง  มู่หรงหยุนชูขมวดคิ้วมุ่น  ลังเลเล็กน้อยก่อนเดินขึ้นชั้นบน  ในใจหวังว่าตกกลางคืนที่นี่คงไม่หนวกหูนะ
                        ยิ่งเดินขึ้นไป  ยิ่งได้ยินเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ  ดวงตาหงส์ของมู่หรงหยุนชูวูบไหวเล็กน้อย  ค่อยๆผ่อนฝีเท้าลง  จนถึงชั้นสองจึงหยุดนิ่งไปครู่  แล้วจึงสาวเท้าเดินไปยังโต๊ะว่างเพียงตัวเดียวริมหน้าต่าง
                        “คุณหนู นั่นท่านตานี่!”  ลู่จีอุทาน
                        “อืม”  นางได้ยินเสียงจากชั้นบน  นางจึงรู้ว่ามีคนผู้หนึ่งอยู่  ผู้มีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ที่โลกไม่เคยลืม  และนางไม่อาจลืม  และเมื่อได้ยินเสียงอีกครา  นางจึงจำได้ทันที
                        “น่าแปลก  พวกเขาไม่ได้ถูกคนของราชสำนักจับไปแล้วหรือเจ้าคะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?” ลู่จีนึกย้อนหลัง
                        มู่หรงหยุนชูยกยิ้มเล็กน้อย  นั่งลงด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย  ไม่ต่างกับที่ทำในเมืองจินหลิง  ยามเจอหน้านักเล่านิทานสองตาหลาน  ยามนี้ ชายแก่ยิ้มให้นาง  ชัดเจนว่าเขาจำนางได้  นางจึงส่งยิ้มตอบกลับไป
                        “คุณหนู น้ำชาเจ้าค่ะ “  ลู่จีรินน้ำชาให้เจ้านายตัวเองหนึ่งถ้วยด้วยท่วงท่าชดช้อย
                        ภาพอันน่าตื่นเต้นของการฟังนักเล่านิทานคล้ายกับที่เคยเห็นในเมืองจินหลิง  ในหมู่ผู้ฟังมีทั้งเด็ก บุรุษ สตรี และคนชราจากทุกชนชั้น  เรื่องราวซุบซิบที่ดึงดูดความสนใจ  เป็นเรื่องราวสุดพิศดารพันลึก  เฟิ่งเฉิงนั่งลงข้างๆมู่หรงหยุนชูอย่างผ่อนคลาย  ยิ้มให้กับผู้เฒ่าด้วย  แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไปบอกคนเดินถนนมาหลายคนล่ะ  หากอยากฟังของแท้  ต้องมาฟังนักเล่านิทานผู้เฒ่าที่นี่”
                        มู่หรงหยุนชูไม่เอ่ยอะไร  เพียงยกถ้วยชาขึ้นจิบ  พลันคิ้วขมวดนิดหนึ่ง  กำมือแน่น  ทำจมูกฟุดฟิด  ครุ่นคิดสักพัก  พลางถือถ้วยชาค้างไว้สักครู่แล้วจึงวางบนโต๊ะอีกครั้ง
                        พอเห็นดังนี้  เฟิ่งเฉิงจึงปรายตามองเนือยๆ  ที่ถ้วยชานั้น  ดวงตาทั้งสองพลันปรากฏรอยยิ้มฉายชัด  แล้วหันกลับไปทอดมองร่างนักเล่านิทานผู้เฒ่าอีกครา  กลับเห็นนักเล่านิทานผู้เฒ่าจับจ้องมู่หรงหยุนชูอยู่  ด้วยสีหน้าและดวงตาแต่งแต้มรอยยิ้มและความเมตตา
                        ในห้วงเวลานี้  นักเล่านิทานอาวุโสพลันตีกลองขึ้นหนึ่งครา เอ่ยว่า “กล่าวได้ว่าประมุขพรรคโม่เจี่ยว ฉู่ฉางเกอภายหลังได้มาถึงแคว้นฉู่  ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามอ๋องเสี่ยวเหลียงทำอะไรอยู่   จึงทำให้ภารกิจชิงยาถอนพิษนั้นง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือเลยทีเดียว   มิหนำซ้ำสองมือของอ๋องเสี่ยวเหลียงยังประคองยาให้กับมืออีกด้วย”
                        แล้วหลานสาวก็ทำตาโต เอ่ยว่า “ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย  อ๋องเหลียงผู้เจ้าเล่ห์  ไฉนถึงได้โดนชิงยาถอนพิษไปได้ง่ายๆเล่า?
                        นักเล่านิทานเฒ่าเอ่ยเสียงเวทนา “เนื่องจากยาถอนพิษนั้นทำได้เพียงแค่ยื้อชีวิตไว้เท่านั้น   เพียงยับยั้งยาเม็ดกลืนวิญญาณมิให้จบชีวิตมู่หรงหยุนชูได้”
                        แล้วหลานสาวก็พูดขึ้น “เขาต้องวางแผนเอาชีวิตมู่หรงหยุนชูเป็นแน่  ไม่งั้นรูปการณ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
                        นักเล่านิทานเฒ่าเอ่ยว่า ”ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันเพียงพูดได้ว่ามีคนเห็นฉู่ฉางเกอเข้าไปที่โถงรับรองของวังอ๋องเหลียง  แล้วอ๋องเสี่ยวเหลียงก็หวาดกลัวจนอุจจาระราด  กลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ  แม้แต่พูดยังไม่เป็นคำเล๊ย”
                        “เหลือเชื่อไปแล้ว
                        ข้าว่าโม้มากกว่า”
                        “ก็อย่างที่เจ้าว่ามา!”
                        นักเล่านิทานผู้เฒ่าหัวเราะ หึหึ เอ่ยว่า “ข้าใส่สีตีใข่เพื่อความบันเทิงน่ะ!” พอกล่าวจบ  ยังไม่วายเบนสายตามาทางมู่หรงหยุนซู
                        มู่หรงหยุนชูหลุบตาลงต่ำ  สองมือประคองถ้วยชา  คล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่
                        “คุณหนู  ท่านว่า ท่านเขยทำอะไรอ๋องเสี่ยวเหลียงกันแน่เจ้าคะ?”  ลู่เอ๋อร์ถามขึ้นอย่างใคร่รู้
                        มู่หรงหยุนชูเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น  แพขนตาหญิงสาวกระเพื่อมน้อยๆ  แล้วถามกลับ  “อ๋องที่มักใหญ่ไฝ่สูงผู้หนึ่ง  จะกลัวสูญเสียอะไรที่สุดเล่า?
                        ลู่เอ๋อร์คิดจนหัวเอียง  แล้วตอบตามสามัญสำนึกว่า  “ตำแหน่งอ๋องหรือเจ้าคะ?
                        มู่หรงหยุนชูสั่นหัว  เอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “เขาคิดก่อกบฏ   จะสนใจตำแหน่งอ๋องทำไมเล่า?
                        แล้วเขากลัวสูญเสียอะไรที่สุดล่ะเจ้าคะ?”  ลู่เอ๋อร์สงสัยนัก
                        “กำลังทหาร”
                        "ใช่แล้วไม่มีกำลังทหารในมือ  เขาก็ไม่อาจก่อกบฏได้ท่านเขยสามารถทำลายกองทหารของเขาทั้งหมดได้หรือ? !”  ดวงตาทั้งคู่ของลู่เอ๋อร์เรืองวาบ  เอ่ยขึ้นด้วยสายตาเคารพบูชา
                        มู่หรงหยุนชูเอามือกุมหน้าผาก   นานเท่าไรแล้วนะที่สำนักมู่หรงมีสาวใช้บ้าดีเดือดที่คิดอะไรเพ้อฝันแบบนี้....
                        “อย่าบอกนะว่าไม่ใช่?”  ลู่เอ๋อร์ผิดหวังอย่างแรง
                         ผู้คุมกฏพายัพ  “ท่านประมุขเพียงปล้นชิงป้ายคำสั่งเคลื่อนทัพของอ๋องเสี่ยวเหลียงขอรับ”     
                        “ไม่ได้ปล้น  ท่านประมุขขอซื้อต่างหาก”  ผู้คุมกฏปัจจิมพูดแก้ให้                                                                                                                                                    
                        ผู้คุมกฏพายัพตบหัวตัวเอง เอ่ยว่า “เออใช่  ขอซื้อ  ภายหลังท่านประมุขก็เอาป้ายคำสั่งเคลื่อนทัพไป  แล้วทิ้งตั๋วเงิน100ตำลึงเงินไว้ในกล่องป้ายคำสั่งดังกล่าวแทนขอรับ”

                        มู่หรงหยุนชูอดขำกับสิ่งที่ได้ยินไม่ได้  เงิน100ตำลึงแลกกับกองทหารนับแสน  การซื้อขายครานี้ช่างยุติธรรมเสียเหลือเกิน   การปล้นใหญ่ๆแบบนี้นางเคยเห็นมาก็มาก  แต่แบบที่โจรพก เหตุผลมาด้วย  นางเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก  ในใต้หล้าที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้  คงไม่มีอะไรพิลึกพิลั่นกว่านี้แล้วล่ะ!  
    ------------------------------------------------------------------
    ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามและคอมเมนต์ค่ะ
    ขออภัยที่หายไปนานค่ะ  ^-^

2 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณค่ะดีต่อใจมากเลย นึกว่าเรื่องนี้จะไม่แปลต่อแล้ว

    ตอบลบ