มู่หรงหยุนชูทอดถอนใจออกมาอย่างปลดปลง เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมถือถาดอาหารและเครื่องดื่มเต็มสองมือมาด้วยความพินอบพิเทา ทยอยวางอาหารทีละจานบนโต๊ะ จากนั้นจึงเอ่ยเชิญชวนให้รับประทานอาหารตามปกติ แล้วจึงล่าถอยไป
มู่หรงหยุนชูปรายตามองอาหารเต็มโต๊ะตรงหน้า แล้วจึงหยิบตะเกียบเริ่มลงมือกิน คนที่เหลือจึงเริ่มลงมือกินตามบ้าง ตาเฒ่านักเล่านิทานยังคงเล่าเรื่องพร้อมเล่นดนตรีประกอบต่อไป พรรณาถึงการต่อสู้ฟาดฟันของเหล่าจอมยุทธ์ในยุทธภพเป็นส่วนใหญ่ คนทั้งกลุ่มที่มาด้วยกันต่างนั่งล้อมวงกินอาหาร
พร้อมทั้งฟังคนเล่านิทานไป ด้วยความเพลิดเพลินนัก
ทว่า ขณะที่หลายคนกำลังเพลิดเพลินกับฉากที่เล่าอยู่ ก็มักจะมีสิ่งที่ไม่น่ายินดีเกิดขึ้นอยู่เสมอ
มู่หรงหยุนชูวางชามข้าวและตะเกียบลง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเหล่าอสูรกายตัวโตหน้าตาดุร้าย
5 ตนยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่เบื้องหน้าโต๊ะอาหาร หญิงสาวจึงถามขึ้นอย่างผู้มีมรรยาทดี “จะให้ข้าหาที่นั่ง
5ที่ให้ไหม?”
“ข้ามาจับตัวท่าน” ในหนึ่งในห้าคนที่ยืนท้าวสะเอวเอ่ยขึ้น
มู่หรงหยุนชูเบนสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามไปยัง
หนึ่งในนั้นที่มีแขนทั้งสองข้างใหญ่กว่าขานาง แล้วย้ายสายตาไปยังผู้คุมกฏทั้งสี่ที่รูปร่างเล็กว่า พลันก็ให้รู้สึกสิ้นหวัง
ดังนั้นหญิงสาวจึงหยิบชามข้าวและตะเกียบขึ้นมากินต่อ
“นี่! ข้าบอกว่าจะมาจับตัวท่านนะ ท่านได้ยินหรือไม่?”
มู่หรงหยุนชูยังคงละเลียดอาหารต่อไป
จนกระทั่งหลังกลืนข้าวคำสุดท้ายลงไป
จึงวางชามข้าวและตะเกียบลงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “เท่าไร?”
“อะไรเท่าไร?”
“พวกเจ้าอยากลักพาตัวข้า ไม่ใช่เพื่อต้องการเงินรึ?”
“เพ้ย!
พวกเรา ห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาจะกลายเป็นพวกหิวกระหายเงินทองได้อย่างไร!”
มู่หรงหยุนชูนิ่งคิด แล้วเอ่ยว่า “หรือว่าจะมาปล้นสวาท?”
พอเอ่ยวาจานี้ออกมา ทุกคนในที่นั้นเหงื่อแตกพลั่กทันที ไฉนนางถึงได้กล่าวประโยคนั้นออกมาได้อย่างเยือกเย็นเช่นนี้....
ห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น “พวกเราไม่สนใจรูปร่างแบบท่านหรอก ตัวกะเปี๊ยกเท่านี้ เนื้อหนังมังสาแทบไม่เห็น กอดทีคงเจ็บเพราะกระดูกทิ่มเป็นแน่” พอกล่าวจบก็หัวเราะต่อ หัวเราะฮาฮาไม่บันยะบันยังอย่างกับคนโง่งม
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังปังตามมา ปังๆๆๆ เสียงปังดังรัวขึ้นติดๆกัน รอยยิ้มบนใบหน้าของเหล่าห้าพยัคฆ์พลันแข็งค้าง ฝ่ามือสีเลือดปรากฏบนใบหน้าของเหล่าห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาแต่ละคน ในขณะเดียวกัน
ผู้คุมกฏทักษิณที่เพิ่งจะซัดฝ่ามือใส่คนเหล่านั้น พลันกุมท้องแล้วกระอักเลือดสีดำออกมาคำหนึ่ง ใบหน้ามีสีคล้ำขึ้นจางๆด้วย
พอเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ใจของมู่หรงหยุนชูพลันดิ่งลง เกิดเรื่องใหญ่ซะแล้ว
“พี่ใหญ่ทักษิณ!” ผู้คุมกฏปัจจิมพลันช่วยขับพิษให้เขาทันที เพลิงโทสะลุกโหมอย่างไม่รู้ตัว พิษโจมตีที่หัวใจ จึงทำให้กระอักเลือดออกมา เป็นเลือดที่มีสีแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสีดำ
ผู้คุมกฏพายัพเห็นดังนี้จึงหมายจะเข้าไปแลกหมัดสักตั้ง ทว่าเจอผู้คุมกฏบูรพาสะกัดไว้ “อย่าบุ่มบ่ามเอาตัวไปเสี่ยงเลย หาไม่แล้วคงได้โดนพิษโจมตีหัวใจอีกเป็นคนที่สอง”
ผู้คุมกฏพายัพตกใจใหญ่หลวง
“ในน้ำและอาหารมีพิษรึ?!”
ผู้คุมกฏบูรพาพยักหน้าอย่างหนักหน่วง
“แล้วท่านฮูหยินเล่า.....” ผู้คุมกฏบูรพาให้หวาดหวั่นนัก พลางตวัดสายตาไปยังมู่หรงหยุนชู
“ข้าไม่เป็นอันใด
“ มู่หรงหยุนชูเอ่ยเสียงเนิบ “พิษนี้มีผลเฉพาะกับผู้ที่ใช้กำลังภายในเท่านั้น”
“ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อใด?”
“ตอนข้าดื่มชา”
ทั่วทั้งใบหน้าของผู้คุมกฏบูรพาพลันมืดครึ้ม
“ไฉนท่านจึงไม่บอกพวกเราเล่า?”
“ข้านึกว่าพวกเจ้ารู้แล้ว”
ไหนเลยนางจะรู้ว่าผู้มีวรยุทธ์แก่กล้าถึงขนาดเป็นผู้คุมกฏจะตรวจจับพิษในอาหารไม่ได้เล่า.....
ผู้คุมกฏบูรพามุมปากกระตุกด้วยความโมโห
โพล่งออกมา “ท่านฮูหยิน....พวกเราซึ้งในน้ำใจท่านจริงๆ”
ใบหน้าผู้คุมกฏที่เหลือทั้งสามคนเต็มไปด้วยความโศกสลดอย่างสุดซึ้ง ฮูหยินนะฮูหยิน ท่านรู้ดีว่าในอาหารและน้ำมียาพิษ เห็นปานนี้น่าจะบอกพวกเราสักคำ จิตใจของท่านทำด้วยอะไร !
เมื่อเจอกับคำกล่าวหาของบุรุษทั้งสี่ มู่หรงหยุนชูจึงรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นจึงกล่าวปลอบโยน “อันที่จริง
พิษนี้ก็มิได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้นหรอก
ก็แค่ทำให้สูญสิ้นวรยุทธ์
ไม่ถึงกับตายสักหน่อย”
สีหน้าของผู้คุมกฏทั้งสี่คนพลันเปลี่ยนเป็นทั้งซีดทั้งคล้ำ ซีดเซียวอย่างน่ากลัว สูญสิ้นวรยุทธ์นั่นมิยิ่งกว่าอยู่มิสู้ตายรึ! นึกถึงที่ช่วยท่านประมุขมารก่อกรรมทำเข็ญมาอย่างยาวนาน ผู้คุมกฏพรรคโม่เจี่ยวนับว่าสร้างศัตรูไว้นับไม่ถ้วน เมื่อสูญสิ้นวิทยายุทธ์ คงมีชะตาลงเอยด้วยการตายอย่างขมขื่นทรมาน มีคนเป็นอันมากอยากกินเลือดกินเนื้อพวกเขานัก พวกเขาคงโดนจับไปลงทัณฑ์ห้าม้าแยกร่าง จนตายแบบร่างกายแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี แม้แต่เหล่าเซียนยังต้องสวดภาวนาให้ พระโพธิสัตว์ยังต้องฉายแสง........
ลู่เอ๋อร์เห็นสีหน้าของผู้คุมกฏทั้งสี่คล้ายตัวเองใกล้จะลงนรกอยู่รอมร่อ พลันกระจ่างถึงพฤติกรรมทำเลยเถิดของคุณหนูของตน เฮ้อ....นางไม่รู้ว่าคุณหนูกล่าววาจาแบบนี้มากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
คุณหนูอย่าได้พยายามปลอบใจใครเลยจะดีกว่า อย่างไร...เหตุการณ์นี้ก็ยังไม่ถือว่าเลวร้ายที่สุดหรอก นางจำได้ว่าครั้งหนึ่ง อนุสี่แม่เลี้ยงคุณหนูพลาดลื่นล้มจนขาหัก คุณหนูก็บอกว่าไม่เป็นไร ก็แค่เดินไม่ได้ สำนักมู่หรงของพวกเราจ้างคนมาดูแลให้ได้ ต่อไปอยากจะไปที่ไหนก็ให้บ่าวแบกไป จนแม่สี่เชื่อว่าตนเองพิการจริงๆ เลยร่ำไห้โหยหวนทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน
เรื่องปลอบโยนคนนี้ มิใช่ใครนึกอยากจะทำก็ทำได้ ลู่เอ๋อร์เหลือบมองเจ้านายตนเอง จึงเอ่ยกระซิบ “คุณหนู นิ่งเสียตำลึงทองดีกว่านะเจ้าคะ”
มู่หรงหยุนชูพยักหน้านิ่งๆ เห็นด้วยกับคำกล่าว ภายหลังจึงเบนสายตาไปยังบรรดาห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาที่โดนซัดฝ่ามือซึ่งจ้องตาปริบๆมาโดยไม่พูดอันใด แล้วเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “ยาถอนพิษ”
ห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาถลึงตาใส่ ท่าทางเดือดดาลอย่างที่สุด นอกจากใบหน้าแล้วก็ไม่มีร่างกายส่วนใดขยับ คล้ายว่าได้กลายเป็นท่อนไม้ไปแล้ว
“พวกเขามีรอยฝ่ามือเลือดของผู้คุมกฏทักษิณประทับเต็มใบหน้า ยกเว้นบริเวณดวงตา เมื่อใดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งบนใบหน้าขยับเพียงเล็กน้อยก็คล้ายกับโดนมดนับพันตัวกัดกินหัวใจ ยิ่งกว่าตายทั้งเป็นนัก “ผู้คุมกฏบูรพาเอ่ยอธิบาย
ห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาทีแรกก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดแค่ตบหน้า
ถึงทำให้เจ็บปวดเจียนตายนัก ยามนี้พอได้ยินคำกล่าวถึงรอยฝ่ามือเลือด ก็พลันหวาดผวาจนแข้งขาอ่อนยวบ ล้มลงไปนั่งกองบนพื้นทันที แผดเสียงคำรามกึกก้อง ปานขุนเขาถล่มแผ่นดินทะลาย บรรดาถ้วยชามและ ตะเกียบบนโต๊ะพากันสั่นสะเทือนส่งเสียงดังเคร้งคร้างไม่หยุด
ห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาแต่ละคน อยากกลายร่างเป็นลูกหมูนัก ไม่รู้ว่าพอจะมีราคาค่างวดเท่าไร มู่หรงหยุนชูทั้งออกคำสั่งทั้งปรายตามองพวกเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม เอ่ยอีกครั้ง
“ยาถอนพิษ”
ห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาพยายามฝืนลุกขึ้นยืน
แต่ละคนต่างมองหน้ากัน แล้วออกฝ่ามือพร้อมกัน พุ่งตัวหมายจะจับคนตรงหน้า
มู่หรงหยุนชูเอ่ยขึ้น “ช้าก่อนทุกท่าน จะจับตัวคนย่อมสามารถทำได้ ทว่าได้โปรดชี้แจงให้ข้ารู้เหตุผลก่อนได้หรือไม่?”
ห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาได้แต่ท่านมองข้า ข้ามองท่าน
ในที่สุดหนึ่งในห้าพยัคฆ์ก็ใช้นิ้วจิ้มปากตนเอง เป็นนัยว่าไม่อาจพูดเป็นคำได้
“ผู้คุมฏทักษิณ ท่านมีฝ่ามือเลือดแบบแก้อาการได้หรือไม่?” มู่หรงหยุนชูถามขึ้น
ผู้คุมกฏทักษิณตอบ
“ต้องใช้พลังภายในรอยดัชนีขั้นล้ำลึกไปขับปากให้เปิดออก ทว่าพวกเราทั้งสี่คนไม่อาจเสี่ยงได้”
มู่หรงหยุนชูพยักหน้า แล้วพยักเพยิดถาม “แล้วคุณชายเฟิ่งมีพลังภายในอะไรนั่นไหม?”
“พอจะมี ทว่าเขามิได้ถูกวางยาพิษด้วยใช่หรือไม่?”
มู่หรงหยุนชูคลี่ยิ้มกว้าง
เอ่ยว่า “ท่านจะเปรียบตัวเองกับท่านหมอฮั่วโต๋วผู้มีชื่อเสียงได้อย่างนั้นหรือ?” หากพิษนี้ ตนเองยังไม่อาจบอกได้ เขาจะยังมีหน้าท่องอยู่ในโลกยุทธภพได้อย่างไร?
------------------------------------------------------------------
ขอบคุณทุกคอมเมนต์ และการติดตามค่ะ ^-^
ขอบคุณมากๆๆๆคะ
ตอบลบขอบคุณมากๆๆๆคะ
ตอบลบขอบคุณค่ะ...รอยาถอนพิษนะค่ะ
ตอบลบ