วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ภรรยาข้าผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ - บทที่ 28 ห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขา

          มู่หรงหยุนชูทอดถอนใจออกมาอย่างปลดปลง   เสี่ยวเอ้อร์ของโรงเตี๊ยมถือถาดอาหารและเครื่องดื่มเต็มสองมือมาด้วยความพินอบพิเทา   ทยอยวางอาหารทีละจานบนโต๊ะ  จากนั้นจึงเอ่ยเชิญชวนให้รับประทานอาหารตามปกติ  แล้วจึงล่าถอยไป
            มู่หรงหยุนชูปรายตามองอาหารเต็มโต๊ะตรงหน้า  แล้วจึงหยิบตะเกียบเริ่มลงมือกิน  คนที่เหลือจึงเริ่มลงมือกินตามบ้าง   ตาเฒ่านักเล่านิทานยังคงเล่าเรื่องพร้อมเล่นดนตรีประกอบต่อไป  พรรณาถึงการต่อสู้ฟาดฟันของเหล่าจอมยุทธ์ในยุทธภพเป็นส่วนใหญ่   คนทั้งกลุ่มที่มาด้วยกันต่างนั่งล้อมวงกินอาหาร พร้อมทั้งฟังคนเล่านิทานไป  ด้วยความเพลิดเพลินนัก

ทว่า  ขณะที่หลายคนกำลังเพลิดเพลินกับฉากที่เล่าอยู่   ก็มักจะมีสิ่งที่ไม่น่ายินดีเกิดขึ้นอยู่เสมอ
มู่หรงหยุนชูวางชามข้าวและตะเกียบลง  พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเหล่าอสูรกายตัวโตหน้าตาดุร้าย 5 ตนยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่เบื้องหน้าโต๊ะอาหาร  หญิงสาวจึงถามขึ้นอย่างผู้มีมรรยาทดี “จะให้ข้าหาที่นั่ง 5ที่ให้ไหม?
            “ข้ามาจับตัวท่าน”  ในหนึ่งในห้าคนที่ยืนท้าวสะเอวเอ่ยขึ้น
            มู่หรงหยุนชูเบนสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามไปยัง หนึ่งในนั้นที่มีแขนทั้งสองข้างใหญ่กว่าขานาง  แล้วย้ายสายตาไปยังผู้คุมกฏทั้งสี่ที่รูปร่างเล็กว่า  พลันก็ให้รู้สึกสิ้นหวัง  ดังนั้นหญิงสาวจึงหยิบชามข้าวและตะเกียบขึ้นมากินต่อ
            “นี่!  ข้าบอกว่าจะมาจับตัวท่านนะ  ท่านได้ยินหรือไม่?
            มู่หรงหยุนชูยังคงละเลียดอาหารต่อไป  จนกระทั่งหลังกลืนข้าวคำสุดท้ายลงไป   จึงวางชามข้าวและตะเกียบลงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “เท่าไร?
            “อะไรเท่าไร?
            “พวกเจ้าอยากลักพาตัวข้า  ไม่ใช่เพื่อต้องการเงินรึ?
            “เพ้ย! พวกเรา ห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาจะกลายเป็นพวกหิวกระหายเงินทองได้อย่างไร!”
            มู่หรงหยุนชูนิ่งคิด  แล้วเอ่ยว่า “หรือว่าจะมาปล้นสวาท?
            พอเอ่ยวาจานี้ออกมา  ทุกคนในที่นั้นเหงื่อแตกพลั่กทันที  ไฉนนางถึงได้กล่าวประโยคนั้นออกมาได้อย่างเยือกเย็นเช่นนี้....
            ห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น  “พวกเราไม่สนใจรูปร่างแบบท่านหรอก  ตัวกะเปี๊ยกเท่านี้  เนื้อหนังมังสาแทบไม่เห็น  กอดทีคงเจ็บเพราะกระดูกทิ่มเป็นแน่”  พอกล่าวจบก็หัวเราะต่อ  หัวเราะฮาฮาไม่บันยะบันยังอย่างกับคนโง่งม
            ทันใดนั้น  ก็มีเสียงดังปังตามมา ปังๆๆๆ  เสียงปังดังรัวขึ้นติดๆกัน   รอยยิ้มบนใบหน้าของเหล่าห้าพยัคฆ์พลันแข็งค้าง  ฝ่ามือสีเลือดปรากฏบนใบหน้าของเหล่าห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาแต่ละคน  ในขณะเดียวกัน  ผู้คุมกฏทักษิณที่เพิ่งจะซัดฝ่ามือใส่คนเหล่านั้น  พลันกุมท้องแล้วกระอักเลือดสีดำออกมาคำหนึ่ง  ใบหน้ามีสีคล้ำขึ้นจางๆด้วย
            พอเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้   ใจของมู่หรงหยุนชูพลันดิ่งลง  เกิดเรื่องใหญ่ซะแล้ว
            “พี่ใหญ่ทักษิณ!”  ผู้คุมกฏปัจจิมพลันช่วยขับพิษให้เขาทันที  เพลิงโทสะลุกโหมอย่างไม่รู้ตัว  พิษโจมตีที่หัวใจ  จึงทำให้กระอักเลือดออกมา  เป็นเลือดที่มีสีแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสีดำ
            ผู้คุมกฏพายัพเห็นดังนี้จึงหมายจะเข้าไปแลกหมัดสักตั้ง  ทว่าเจอผู้คุมกฏบูรพาสะกัดไว้  “อย่าบุ่มบ่ามเอาตัวไปเสี่ยงเลย   หาไม่แล้วคงได้โดนพิษโจมตีหัวใจอีกเป็นคนที่สอง”
            ผู้คุมกฏพายัพตกใจใหญ่หลวง  “ในน้ำและอาหารมีพิษรึ?!”
            ผู้คุมกฏบูรพาพยักหน้าอย่างหนักหน่วง
            “แล้วท่านฮูหยินเล่า.....”  ผู้คุมกฏบูรพาให้หวาดหวั่นนัก  พลางตวัดสายตาไปยังมู่หรงหยุนชู
            “ข้าไม่เป็นอันใด “  มู่หรงหยุนชูเอ่ยเสียงเนิบ “พิษนี้มีผลเฉพาะกับผู้ที่ใช้กำลังภายในเท่านั้น”
            “ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อใด?”
            “ตอนข้าดื่มชา”
            ทั่วทั้งใบหน้าของผู้คุมกฏบูรพาพลันมืดครึ้ม  “ไฉนท่านจึงไม่บอกพวกเราเล่า?”
            “ข้านึกว่าพวกเจ้ารู้แล้ว”  ไหนเลยนางจะรู้ว่าผู้มีวรยุทธ์แก่กล้าถึงขนาดเป็นผู้คุมกฏจะตรวจจับพิษในอาหารไม่ได้เล่า.....
            ผู้คุมกฏบูรพามุมปากกระตุกด้วยความโมโห  โพล่งออกมา “ท่านฮูหยิน....พวกเราซึ้งในน้ำใจท่านจริงๆ”
            ใบหน้าผู้คุมกฏที่เหลือทั้งสามคนเต็มไปด้วยความโศกสลดอย่างสุดซึ้ง  ฮูหยินนะฮูหยิน  ท่านรู้ดีว่าในอาหารและน้ำมียาพิษ   เห็นปานนี้น่าจะบอกพวกเราสักคำ   จิตใจของท่านทำด้วยอะไร !
            เมื่อเจอกับคำกล่าวหาของบุรุษทั้งสี่  มู่หรงหยุนชูจึงรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย  ดังนั้นจึงกล่าวปลอบโยน  “อันที่จริง  พิษนี้ก็มิได้ร้ายแรงถึงเพียงนั้นหรอก  ก็แค่ทำให้สูญสิ้นวรยุทธ์  ไม่ถึงกับตายสักหน่อย”
            สีหน้าของผู้คุมกฏทั้งสี่คนพลันเปลี่ยนเป็นทั้งซีดทั้งคล้ำ  ซีดเซียวอย่างน่ากลัว  สูญสิ้นวรยุทธ์นั่นมิยิ่งกว่าอยู่มิสู้ตายรึ!   นึกถึงที่ช่วยท่านประมุขมารก่อกรรมทำเข็ญมาอย่างยาวนาน   ผู้คุมกฏพรรคโม่เจี่ยวนับว่าสร้างศัตรูไว้นับไม่ถ้วน  เมื่อสูญสิ้นวิทยายุทธ์   คงมีชะตาลงเอยด้วยการตายอย่างขมขื่นทรมาน  มีคนเป็นอันมากอยากกินเลือดกินเนื้อพวกเขานัก  พวกเขาคงโดนจับไปลงทัณฑ์ห้าม้าแยกร่าง  จนตายแบบร่างกายแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี  แม้แต่เหล่าเซียนยังต้องสวดภาวนาให้  พระโพธิสัตว์ยังต้องฉายแสง........
            ลู่เอ๋อร์เห็นสีหน้าของผู้คุมกฏทั้งสี่คล้ายตัวเองใกล้จะลงนรกอยู่รอมร่อ   พลันกระจ่างถึงพฤติกรรมทำเลยเถิดของคุณหนูของตน  เฮ้อ....นางไม่รู้ว่าคุณหนูกล่าววาจาแบบนี้มากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว  คุณหนูอย่าได้พยายามปลอบใจใครเลยจะดีกว่า   อย่างไร...เหตุการณ์นี้ก็ยังไม่ถือว่าเลวร้ายที่สุดหรอก  นางจำได้ว่าครั้งหนึ่ง   อนุสี่แม่เลี้ยงคุณหนูพลาดลื่นล้มจนขาหัก  คุณหนูก็บอกว่าไม่เป็นไร  ก็แค่เดินไม่ได้    สำนักมู่หรงของพวกเราจ้างคนมาดูแลให้ได้   ต่อไปอยากจะไปที่ไหนก็ให้บ่าวแบกไป  จนแม่สี่เชื่อว่าตนเองพิการจริงๆ   เลยร่ำไห้โหยหวนทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน
            เรื่องปลอบโยนคนนี้  มิใช่ใครนึกอยากจะทำก็ทำได้   ลู่เอ๋อร์เหลือบมองเจ้านายตนเอง  จึงเอ่ยกระซิบ “คุณหนู   นิ่งเสียตำลึงทองดีกว่านะเจ้าคะ”
            มู่หรงหยุนชูพยักหน้านิ่งๆ  เห็นด้วยกับคำกล่าว  ภายหลังจึงเบนสายตาไปยังบรรดาห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาที่โดนซัดฝ่ามือซึ่งจ้องตาปริบๆมาโดยไม่พูดอันใด  แล้วเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “ยาถอนพิษ”
            ห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาถลึงตาใส่  ท่าทางเดือดดาลอย่างที่สุด  นอกจากใบหน้าแล้วก็ไม่มีร่างกายส่วนใดขยับ  คล้ายว่าได้กลายเป็นท่อนไม้ไปแล้ว
            “พวกเขามีรอยฝ่ามือเลือดของผู้คุมกฏทักษิณประทับเต็มใบหน้า   ยกเว้นบริเวณดวงตา  เมื่อใดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งบนใบหน้าขยับเพียงเล็กน้อยก็คล้ายกับโดนมดนับพันตัวกัดกินหัวใจ  ยิ่งกว่าตายทั้งเป็นนัก “ผู้คุมกฏบูรพาเอ่ยอธิบาย
            ห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาทีแรกก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดแค่ตบหน้า ถึงทำให้เจ็บปวดเจียนตายนัก  ยามนี้พอได้ยินคำกล่าวถึงรอยฝ่ามือเลือด  ก็พลันหวาดผวาจนแข้งขาอ่อนยวบ   ล้มลงไปนั่งกองบนพื้นทันที  แผดเสียงคำรามกึกก้อง  ปานขุนเขาถล่มแผ่นดินทะลาย  บรรดาถ้วยชามและ ตะเกียบบนโต๊ะพากันสั่นสะเทือนส่งเสียงดังเคร้งคร้างไม่หยุด
            ห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาแต่ละคน  อยากกลายร่างเป็นลูกหมูนัก  ไม่รู้ว่าพอจะมีราคาค่างวดเท่าไร  มู่หรงหยุนชูทั้งออกคำสั่งทั้งปรายตามองพวกเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม  เอ่ยอีกครั้ง  “ยาถอนพิษ”
            ห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาพยายามฝืนลุกขึ้นยืน   แต่ละคนต่างมองหน้ากัน  แล้วออกฝ่ามือพร้อมกัน   พุ่งตัวหมายจะจับคนตรงหน้า
            มู่หรงหยุนชูเอ่ยขึ้น  “ช้าก่อนทุกท่าน  จะจับตัวคนย่อมสามารถทำได้  ทว่าได้โปรดชี้แจงให้ข้ารู้เหตุผลก่อนได้หรือไม่?” 
            ห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาได้แต่ท่านมองข้า  ข้ามองท่าน   ในที่สุดหนึ่งในห้าพยัคฆ์ก็ใช้นิ้วจิ้มปากตนเอง  เป็นนัยว่าไม่อาจพูดเป็นคำได้
            “ผู้คุมฏทักษิณ  ท่านมีฝ่ามือเลือดแบบแก้อาการได้หรือไม่?”  มู่หรงหยุนชูถามขึ้น
            ผู้คุมกฏทักษิณตอบ “ต้องใช้พลังภายในรอยดัชนีขั้นล้ำลึกไปขับปากให้เปิดออก  ทว่าพวกเราทั้งสี่คนไม่อาจเสี่ยงได้”
            มู่หรงหยุนชูพยักหน้า  แล้วพยักเพยิดถาม “แล้วคุณชายเฟิ่งมีพลังภายในอะไรนั่นไหม?”
            “พอจะมี  ทว่าเขามิได้ถูกวางยาพิษด้วยใช่หรือไม่?”

            มู่หรงหยุนชูคลี่ยิ้มกว้าง เอ่ยว่า  “ท่านจะเปรียบตัวเองกับท่านหมอฮั่วโต๋วผู้มีชื่อเสียงได้อย่างนั้นหรือ?”  หากพิษนี้  ตนเองยังไม่อาจบอกได้   เขาจะยังมีหน้าท่องอยู่ในโลกยุทธภพได้อย่างไร?
     ------------------------------------------------------------------
    ขอบคุณทุกคอมเมนต์ และการติดตามค่ะ ^-^

3 ความคิดเห็น: