วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561

ภรรยาข้าผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ -บทที่ 29 ศัตรูที่ยากจะเลี่ยง

มู่หรงหยุนชูคลี่ยิ้มยาว  เอ่ยว่า “ท่านมีฝืมือเทียบเท่าท่านหมอฮั่วโต๋วตามที่เขาร่ำลือกันหรือไม่?  หากชื่อพิษอะไรยังไม่อาจบอกได้   เขายังสู้หน้าอยู่ในโลกยุทธภพได้อย่างไร?
            เฟิ่งเฉิงเอ่ยแย้มยิ้ม  “ท่านไม่ได้ตั้งใจลากข้าลงน้ำจริงๆใช่หรือไม่”
            “ข้าไม่กล้าทำลายชื่อเสียงอันแข็งแกร่งสูงส่งปานป้อมปราการของท่านหรอก”  มู่หรงหยุนชูโต้กลับ
ผู้คุมกฏทิศพายัพหันมาจ้องหน้าเฟิ่งเฉิงด้วยความฉงน  “ท่านก็กินดื่มอาหารเหล่านี้เช่นกัน  ไฉนจึงมิโดนพิษเล่า?
            เฟิ่งเฉิงเลิกคิ้ว  เอ่ยขึ้น “ก็เพราะข้าเลือกกินจานที่ไม่มีพิษไง”

           พอได้ยินเช่นนั้น  ในใจของผู้คุมกฏบูรพา  ทักษิณ ปัจจิม รวมทั้งพายัพ ต่างเห็นพ้องต้องกันโดยมิได้นัดหมาย  รู้สึกคล้ายว่าพวกตนคือเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทิ้งๆขว้างๆ ประหนึ่งวัชพืชริมทาง   โอย...คิดถึงท่านประมุขขึ้นมาเสียจริง  แม้เขามักแกล้งวางยาพิษในอาหารให้พวกเขากินบ่อยๆ   ทว่าหากลูกน้องถูกวางยาพิษโดยผู้อื่น  เขาคงมิอาจทนมองดูเหล่าลูกน้องกินอาหารมีพิษโดยไม่รู้สึกรู้สาแบบนี้ได้
มู่หรงหยุนชูไม่สนใจสีหน้าอันระทมทุกข์ของบุรุษทั้งสี่เลย  หญิงสาวเหลือบมองห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาแวบหนึ่ง   แล้วเอ่ยกับเฟิ่งเฉิง “คงต้องรบกวนท่านแล้ว”
    เฟิ่งเฉิงผงกศรีษะนิดหนึ่ง  เบนสายตาตั้งคำถามไปยังห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขา  พลางถามมู่หรงหยุนชู “จะให้แก้มัดคนไหน?
             “เอาตามที่ท่านพอใจ  เอาคนที่ท่านมองแล้วรู้สึกถูกตาถูกใจก็แล้วกัน”
   “อันที่จริง ข้ารู้สึกว่าทุกคนล้วนขัดหูขัดตาข้านัก”
    ใบหน้ามู่หรงหยุนชู ยังคงเรียบนิ่ง  พลางพึมพำเบาๆว่า “เอาคนทางด้านขวานั่นแล้วกัน”
    “ได้”  เฟิ่งเฉิงผลักหนึ่งในห้าพยัคฆ์คนที่ตัวใหญ่ที่สุดและมีรอยฝ่ามือเลือดประทับเต็มใบหน้า

คนผู้นั้นมีสีหน้าดีขึ้นเพราะจะได้รับอิสระในเวลาอันใกล้  สิ่งแรกที่หนึ่งในห้าพยัคฆ์ผู้ตัวใหญ่สุดทำคือเหลือบมองผู้คุมกฏทักษิณแล้วร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก  “เจ้าคือฝ่ามือเลือดกัวเจ่าฉือ!”
            “นั่นมันเมื่อก่อน”  ผู้คุมกฏทักษินเอ่ยเสียงห้วน
    “เจ้า.....ไยถึงเป็นเจ้า.....กัวเจ่าฉือผู้กล้าหาญหาใครเทียมทาน  กลับมาลดตัวกลายเป็นสุนัขรับใช้จอมมารได้อย่างไร.....”
  ใบหน้าผู้คุมกฏทักษิณดำทะมึน เอ่ยขึ้น  “เจ้าคงอยากลิ้มรสฝ่ามือข้าบนหน้าอีกสักฉาดหนึ่งใช่หรือไม่?
พยัคฆ์ร่างโตส่ายหน้าด้วยความหวาดกลัว  ร่างเขาสั่นสะท้านแล้วทรุดฮวบลง  เมื่อนึกได้ว่าร่างเขาโดนพิษร้ายแรงอยู่  แต่ก็อดไม่ได้ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มยโสโอหัง  “มิคิดเลยว่าวันหนึ่งจอมยุทธ์ฝ่ามือเลือดกัวเจ่าฉือจะมาตกอยู่ในเงื้อมมือข้าได้!”
 แม้ว่ามือเจ้าจะใหญ่มหึมา   ทว่าคิดจะบดขยี้เขา  ข้าเกรงว่าคงเป็นแค่ความฝัน”  มู่หรงหยุนชูเอ่ยเสียงเย็น
ใบหน้าพยัคฆ์ร่างใหญ่เผยความตื่นตระหนก “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความอันใด?
            มู่หรงหยุนชูเอ่ยคลี่ยิ้มชอบใจ    “ท่านคงลืมไปแล้วว่าฝ่ามือเลือดที่ประทับบนใบหน้าท่าน  กำลังจะแยกเป็นเสี่ยงๆใช่หรือไม่?
            พยัคฆ์ตัวใหญ่พลันตระหนักขึ้นมาได้   จึงเบนสายตาไปหาเฟิ่งเฉิง เอ่ยว่า “เมื่อครู่ก่อนนางเพิ่งเปรียบท่านเป็นคู่แข่งของท่านหมอฮั่วโต๋วอยู่หยกๆ  อย่าบอกนะว่าท่านคือเฟิ่งเฉิงที่เป็นคู่แข่งของหมอฮั่วโต๋วจริงๆ?
            เฟิ่งเฉิงหันหน้ากลับมา “ข้าคือเฟิ่งเฉิง  ทว่ามิได้เป็นคู่แข่งของหมอฮั่วโต๋วอีกต่อไปแล้ว”
“ใช่แล้ว  ข้านึกออกแล้ว  สามปีก่อนท่านเจอฉู่ฉางเกอขับไล่”  พยัคฆ์ตัวโตเอ่ย  “เช่นนั้นคงเพราะ   ท่านไม่อาจช่วยเหลือคนของประมุขมารได้ใช่หรือไม่? 
ไม่ใช่”
“เช่นนั้นก็ดี”
เฟิ่งเฉิงเอ่ยต่อไป  “พวกเขาทั้งสี่คนเจ้าอยากจัดการก็ตามใจ  สำหรับมู่หรงหยุนชู  ยามนี้นางคือคนไข้ของข้า  ก่อนหน้านี้นางอยู่ภายใต้การดูแลรักษาของข้ามาก่อน  นางไม่อาจตายได้”
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา  พวกเราจับนางเพื่อแลกยาแก้พิษใจมืดทมิฬกับฉู่ฉางเกอเท่านั้น   มิคิดสังหารนางแต่อย่างใด  มิหนำซ้ำ  องค์รัชทายาทก็ไม่อนุญาตให้พวกเราทำร้ายนางจนบาดเจ็บด้วย”
มู่หรงหยุนชูได้ยินว่าผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังคือรัชทายาท   หญิงสาวพลันมุ่นคิ้ว เอ่ยว่า  “องค์รัชทายาทอยู่ในเมืองจิ้งเปียนด้วยหรือ?
            “เป็นเช่นนั้น  ทรงประทับอยู่ในจวนท่านโหว แม่ทัพใหญ่เมืองจิ้งเปียนที่ปกป้องชายแดนตะวันตก”
 “ดี  ข้าจะตามพวกท่านไปพบเขา”
            **
ในเวลาอันสั้น  คนทั้งกลุ่มก็มาถึงจวนท่านโหว  ยามนั้นท่านโหวเมืองจิ้งเปียนกำลังหารืออยู่กับเหล่าแม่ทัพน้อยใหญ่  พอทราบว่าห้าพยัคฆ์เจาะขุนเขาจับกุมมู่หรงหยุนชูได้  จึงหยุดการหารือทันที  พลันให้เชิญองค์รัชทายาทฮั่วหลิงเทียนเสด็จมา
  “องค์รัชทายาท   ผู้ที่ฝ่าบาทอยากให้จับตัว มาแล้วพะยะค่ะ  “  พยัคฆ์ใหญ่เจาะขุนเขาทำงานได้สำเร็จตามที่พูดจริงๆ
  ฮั่วหลิงเทียนผงกศีรษะ  แล้วจับจ้องมู่หรงหยุนชู   ภายในดวงตาเต็มไปด้วยคำพูดนับพัน  ทว่าสุดท้ายบุรุษหนุ่มเพียงเรียกชื่อหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง  “หยุนชู”
    สีหน้าของมู่หรงหยุนชูไร้คลื่นอารมณ์ใดๆ  เอ่ยเสียงกระด้างเย็นชา “ข้าน้อยถวายพระพรองค์รัชทายาท”
  “ระห่างเจ้ากับข้า  ไม่จำเป็นต้องสำรวมเช่นนี้  จงเรียกข้าว่า’พี่ชาย’ เหมือนเมื่อก่อนเถิด”
    “ข้าน้อยมิกล้า”
    “หยุนชู...เจ้า...”  ฮั่วหลิงเทียนอยากพูดต่อ  ทว่ากลับหยุดชะงัก  ในที่สุดก็พรูลมหายใจ เอ่ยขึ้น “เจ้ามิเคยเป็นแบบนี้มาก่อน”
แพขนตาของมู่หรงหยุนชูกระพริบถี่ๆ  หญิงสาวเอ่ยเนิบช้า  “ฝ่าบาท  แต่ก่อนยามประสงค์จะพบข้า  ทรงมิเคยลากผู้อื่นมากมายมาเกี่ยวข้องด้วยเช่นนี้”
พอได้ยินคำกล่าว  สีหน้าฮั่วหลิงเทียนพลันปรากฏความอึดอัดใจ  “ข้าเองไม่มีทางเลือก    ข้างกายเจ้า ยามนี้มีสุนัขรับใช้ของพรรคมารคอยตามติด  จะพบเจ้า พูดมันง่าย ทว่าทำยากนัก!”
พอได้ยินคำว่า สุนัขรับใช้ ผู้คุมกฏบูรพา ทักษิณ ปัจจิม และพายัพ พลันหน้าเปลี่ยนสีทันใด   ผู้คุมกฏพายัพเอ่ยด้วยโทสะ “อยากเจอตบสักหน่อยไหม  ปากจะได้สะอาดขึ้น! “
ใบหน้าฮั่วหลิงเทียนดิ่งลง  ค่อยๆหันกลับมาและจับจ้องใบหน้าฝ่ายตรงข้ามเป็นนาน   บุรุษสูงศักดิด์บดกรามแกร่ง  เอ่ยเสียงรอดไรฟัน  “เด็กๆ  ตบปากมัน!”
   พยัคฆ์ใหญ่เจาะขุนเขาถลกแขนเสื้อ  ยกมือขึ้น  หมายจะซัดฝ่ามือใส่หน้าของผู้คุมกฏพายัพ  พลันได้ยินมู่หรงหยุนชูตวาดให้หยุด  จึงชะงักมือทันใด   หันไปสบตาฮั่วเหลิงเทียน  “องค์รัชทายาท.....”
ฮั่วหลิงเทียนส่งสัญญาณให้เขาหยุดมือ
มู่หรงหยุนชูเอ่ยขึ้น “รัชทายาททรงนึกอยากจะลิ้มรสชาติ  กับการที่เจอประมุขมารไล่ล่าสังหารรึ?
 “เจ้าขู่ข้ารึ?”  สีหน้าฮั่วหลิงเทียนบึ้งตึงหนักขึ้นไปอีก
  มู่หรงหยุนชูเผยอปากเพียงนิด  เอ่ยน้ำเสียงนุ่มนวลกระจ่างใส “ข้าน้อยเพียงแค่เตือนองค์รัชทายาท  ให้คิดให้ถ้วนถี่ก่อนทำสิ่งใด  เพราะเขาคือผู้คุมกฏของพรรคมาร  วันนี้หากท่านตบหน้าเขา   ท่านเดาสิ   ลูกน้องเขาย่อมไม่พ้นต้องรายงานความขัดแย้งนี้”  หญิงสาวหยุดนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยต่อ “กล่าวกันว่า  คนพรรคมารนั้นไม่เพียงไม่ฟังเหตุผล ซ้ำยังรักศักดิ์ศรียิ่งชีพอีกด้วย  จะต้องตามราวีแก้แค้นกับความขุ่นข้องใจนี้เป็นแน่”
    เส้นเลือดบนหน้าผากฮั่วหลิงเทียนปูดโปนขึ้นมาเล็กหน่อย  ชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์จ้องมองหญิงสาวเขม็ง “หยุนชู   เจ้าเปลี่ยนไปนะ”
  “พี่ชาย  แล้วท่านเล่า?
  “เจ้าเรียกข้าว่าพี่ชายแล้ว....”  ฮั่วหลิงเทียนตื่นเต้นมาก
“หยุนชูหาใช่คนใจดำ “  มู่หรงหยุนชูพรูลมหายใจ  “พี่ชายคล้ายยังจำได้ว่าข้านี้เป็นน้องสาวท่าน  ก็ขอเปลี่ยนเป็นยาถอนพิษให้พวกเขาทั้งสี่คนเถิด”
  “คงมิได้  หากขจัดพิษให้พวกเขา  ข้าก็ยึดตัวเจ้าไว้ไม่ได้”
  “ตอนนี้ท่านก็ยึดตัวข้าไว้แล้ว”  มู่หรงหยุนชูเอ่ยเสียงเนิบ
“หยุนชู  อย่าดูถูกฝีมือองค์รักษ์ของจวนท่านโหว”
มู่หรงหยุนชูได้ยินเช่นนั้น ก็ส่งยิ้มบาง  หันไปถามท่านโหวเมืองจิ้งเปียน  “ขอบังอาจถามท่านโหวสักหน่อย   โทษฐานที่กักขังหน่วงเหนี่ยวเสนาบดีขั้นหนึ่ง  รู้ไหมว่ามีความผิดสถานใด?
ใบหน้าท่านโหวเมืองจิ้งเปียงพลันปรากฏความกระอักกระอ่วนใจ  “เรื่องนี้.....”
 “ข้าเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการปฏิรูปเงินตราตามพระบัญชาของฮ่องเต้  ขัดขวางข้าย่อมเท่ากับขัดขวางองค์ฮ่องเต้   เช่นนั้นท่านโหวยังคิดก่อกวนงานของราชสำนัก  ซ้ำคิดจะฝ่าฝืนราชโองการรึ?”  มู่หรงหยุนชูจ้องหน้าเขาเขม็ง  “จู่ๆข้าก็ตกเป็นเหยื่อภายในเขตปกครองของท่านโหวเมืองจิ้งเปียนโดยไม่นึกไม่ฝัน  ท่านโหวคงไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่?
“ข้า....”   ท่านโหวเมืองจิ้งเปียน  เป็นผู้สืบเชื้อสายจากตระกูลขุนนางฝ่ายบู๊   เจอมู่หรงหยุนชูถามคำถามต้อนจนเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีแล้ว
“เจ้าอย่าตำหนิท่านโหวเมืองจิ้งเปียนเลย  ข้าเป็นคนขอให้เขาส่งคนมาจับตัวเจ้าเอง”  ฮั่วหลิงเทียนพยายามออกหน้าพูดแก้ต่างให้
“ท่านรู้ความผิดหรือยัง  ความผิดต่อขุนนางขั้นหนึ่ง”  มู่หรงหยุนชูยังคงกดดันต่อ
 “หยุนชู..เจ้า....”
“รัชทายาท”  มู่หรงหยุนชูขัดเขา เอ่ยเสียงเนิบ  “หากคิดเป็นศัตรูกับหม่อมฉัน  จะไม่ก่อประโยชน์อันใดต่อฝ่าบาทเลย”
พอได้ยินวาจาหญิงสาว  สีหน้าฮั่วหลิงเทียนพลันเปลี่ยนสี  “ข้าหาได้อยากเป็นศัตรูกับเจ้า”
 “ทว่าพระองค์ก็ยังทรงกระทำเยี่ยงนี้”  พอกล่าวจบ  มู่หรงหยุนชูสบตาเขานิ่งนาน  แล้วพรูลมหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “หากฝ่าบาทจับตัวหม่อมฉัน  ฉู่ฉางเกอก็จะไม่มอบยาแก้พิษใจมืดทมิฬแก่พระองค์”
   ฮั่วหลิงเทียนตื่นตระหนก  “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าต้องการยาแก้พิษ?
มู่หรงหยุนชูเอื้อนเอ่ย  “นอกจากเรื่องยาแก้พิษใจมืดทมิฬแล้ว   หม่อมฉันไม่คิดว่าจะมีผู้อื่นบังคับให้ฝ่าบาทถ่อสังขารมาไกลถึงเมืองหน้าด่านจิ้งเปียน  เพราะหม่อมฉัน”
    “ในเมื่อเจ้ารู้ดีนัก  ก็ยิ่งต้องให้ความร่วมมือเสีย”
   “ได้ยินว่าฉู่ฉางเกอส่งคนมาจับตาดูฝ่าบาท   คงเป็นคนพวกนั้นสินะ?”  มู่หรงหยุนชูพลันเปลี่ยนเรื่องพูดทันใด
  ฮั่วหลิงเทียนแค่นเสียง “ตำหนักบูรพาก็จับตาดูคนพวกนั้นเช่นกัน”
  เป็นแผนจักจั่นลอกคราบดีๆนี่เอง  มู่หรงหยุนชูยิ้มบาง เอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินมาเมื่อสองสามวันก่อนว่า  มีคนมาเอายาแก้พิษมาให้รัชทายาทแล้ว”
ฮั่วหลิงเทียนนิ่งอึ้ง  เอ่ยอย่างไม่ไว้ใจ  “ฉู่ฉางเกอไม่น่าจะมีความปรารถนาดีต่อข้าเช่นนั้น”
ไม่คอยให้มู่หรงหยุนชูอธิบาย  ผู้คุมกฏปัจจิมแค่นเสียงเย็น เป็นฝ่ายเฉลยโดยพลัน “ท่านประมุขหามีความปรารถนาอย่างที่ท่านว่าจริงๆ   ที่ทำไปก็เพื่อขอความรักจากฮูหยิน  ซ้ำยังสามารถกำจัดท่านออกไปให้พ้นทางอย่างง่ายดายอีกด้วยไงเล่า!”
    ฮั่วหลิงเทียนให้สะเทือนใจนัก “ไยเจ้าไม่พูดมาเสียแต่ทีแรก....”
   มู่หรงหยุนชูเพียงยิ้มบาง  ไม่เอื้อนเอ่ยอันใด  จริงแล้วๆใช้คำพูดสามคำว่า ‘ขอความรัก’  ช่างเกินไปจริงๆ   พลันนางนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาได้   ตอนที่นางกำลังว่างๆอยู่  ไม่มีอะไรทำ หญิงสาวนึกอยากรู้ว่า  ประมุขของบรรดาผู้คุมกฏทั้งสี่วางแผนให้รัชทายาทป่วยหนักนานเพียงใด  คำตอบคือพรุ่งนี้   ผู้คุมกฏบูรพารีบรี่เข้ามารายงานนางให้ทราบโดยทันทีว่า  ยาแก้พิษนั้นได้ส่งมอบให้องค์รัชทายาทแล้ว
“ห้ำหั่นกันมาครึ่งวัน   ที่แท้ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน” ท่านโหวเมืองจิ้งเปียนเอ่ยแย้มยิ้ม “ยังโชคดีที่ได้ธิดาคนโตของสำนักมู่หรงแห่งเมืองจินหลิงช่วยคลี่คลาย  ถึงเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็นับว่าคุ้มค่า  แม่นางมู่หรง  ข้า...ท่านโหวขอเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านในคืนนี้เพื่อเป็นการตอบแทน  และขออภัยด้วย  ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร?
“ท่านโหวกล่าวหนักไปแล้ว  พอดีข้ายังมีธุระที่คั่งค้างอยู่   ต้องรีบเดินทางโดยด่วน  คงไม่อาจรับน้ำใจท่านได้”  มู่หรงหยุนชูปฏิเสธอย่างนิ่มนวล
“เช่นนั้น....ก็ตามใจ  ข้าจะให้คนพาท่านออกนอกกำแพงเมือง”
“ขอบคุณยิ่งนัก”  มู่หรงหยุนชูคารวะขอบคุณท่านโหวจิ้งเปียน  ทั้งยังเอ่ยกับฮั่วหลิงเทียน  “พี่ชาย  ฟังหยุนชูแนะนำสักคำ   จงอย่าได้เป็นศัตรูกับพรรคมารเด็ดขาด”
“แล้วถ้าเป็นศัตรูจะเป็นอย่างไร?”  ฮั่วหลิงเทียนถามอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าย่อมยืนอยู่ข้างฝ่ายฉู่ฉางเกอโดยไม่มีข้อแม้”
“หยุนชู  เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ  ถึงพวกเราจะเป็นพี่ชายและน้องสาวนอกสายเลือด  ทว่าก็เติบโตเล่นหัวด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก”
   “แต่เป็นเขาช่วยเหลือข้ามาตลอด”  มู่หรงหยุนชูเฉลยในที่สุด
**
ออกจากเมืองหน้าด่านจิ้งเปียน   มู่หรงหยุนชูไม่นึกหยุดพักอีกต่อไป  ทั้งคณะรีบเร่งเดินทางโดยไม่หยุด  ในที่สุดก็บรรลุถึงเมืองชาผิงก่อนเริ่มงานชุมนุมชาวยุทธ์สามวัน
รถม้าค่อยๆชะลอความเร็วจนหยุดนิ่งหน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง  มู่หรงหยุนชูยกผ้าม่านขึ้น  แค่แวบแรกก็เห็น   ป้ายสี่เหลี่ยมที่ประตูสลักอักษรตัวใหญ่ว่า ‘โรงเตี๊ยมยุทธภพ’  ตัวอักษรสีดำบนพื้นขาว  ช่างสะดุดตายิ่งนัก
เพียงเท่านี้  มู่หรงหยุนชูก็ยกยิ้ม  ในใจรู้สึกตื่นเต้นจนอยากจะบรรยาย
“คุณหนู  ที่นี่คือโรงเตี๊ยมยุทธภพที่ท่านเขยเคยบอกไว้ใช่ไหมเจ้าคะ?
“อืม”
“ทว่า   ดูแล้วคล้ายว่า....เอ่อ....เอ่อ...โกโรโกโสยิ่งนัก!”  ลู่เอ่อร์เอ่ยอย่างหดหู่
“อืม  พวกชาวยุทธ์ล้วนพักอยู่ในโรงเตี๊ยมสับปะรังเคเช่นนี้  เจ้าอย่าใส่ใจเลย”
“....บ่าวเปล่าเจ้าค่ะ” สาวใช้ตัวน้อยรู้สึกผิดหวังมาก  ใครๆต่างร่ำลือกันว่าโรงเตี๊ยมยุทธภพหรูหราวิเศษนัก  แต่ดูแล้วคล้ายว่ายังเทียบกับกระต๊อบของสำนักมู่หรงมิได้เลย......
มู่หรงหยุนชูหรี่ตาเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง  กำลังจะเดินเข้าประตู  พลันได้ยินเสียงร้องเรียกจากด้านหลัง  “มู่หรงหยุนชู  เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”  พอหันกลับไปคราแรกก็เห็น  ผู้มาใหม่คือฟางหงเฟยและภรรยา  ส่วนผู้ที่ออกคำสั่งกับนาง  นั่นคงเป็นฮูหยินของฟางหงเฟย  ธิดาคนโตของสำนักคุ้มภัยเจิ้งหย่วนเปียว  นามว่าหลินฉู่เอ๋อร์

  ช่างเป็นศัตรูที่ยากจะเลี่ยงจริงๆ  มู่หรงหยุนชูหันหน้ากลับมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ  กับการที่ต้องมายืนอยู่ในสถานที่เดียวกับพวกเขา
 ----------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ ^-^

2 ความคิดเห็น:

  1. รออ่านต่อนะคะ เพิ่งมาเจอเรื่องนี้ เห็นแปลตอนสุดท้ายไว้ตั้งแต่ 4 ม.ค. ตอนนี้ ก.พ. แล้ว ไม่ทราบนักแปลจะแปลต่อไหมคะ กำลังสนุกเลยค่าา

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ช่วงนี้งานยุ่งค่ะ แต่ก็แปลต่อค่ะ ไว้คอยติดตามนะคะ

      ลบ