วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 159 ฝูงผึ้ง


                     เหลียนฟางโจวนิ่งคิดชั่วอึดใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ย่อมรอดแน่นอน  ยามนี้พวกเราเพิ่งจะปลูกลงไปเอง  ถึงมีเพียงลำต้นปราศจากกิ่งและใบก็ไม่เป็นอุปสรรค  คอยถึงฤดูใบไม้ผลิ ได้น้ำได้ปุ๋ย  ก็จะฟื้นคืนชีพอย่างรวดเร็วแล้ว!”
                       แน่นอนยามนี้รดน้ำไม่ได้  เพราะล่วงเข้าฤดูหนาวแล้ว  หากรดน้ำต้นไม้ทั้งๆที่อุณหภูมิลดฮวบในตอนกลางคืน  บางทีพื้นดินอาจจับตัวเป็นน้ำแข็ง  จะทำให้รากเสียหายเอาได้
                       “อ้อ” เหลียนเซ่อพยักหน้าขึ้นคราหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “แล้วเราจะเอาตอไม้พวกนี้ไปปลูกตรงไหนดีถึงจะเหมาะสมเล่า?

                       เหลียนฟางโจวสบตาเหลียนเซ่อกับอาเจี่ยน  พลางเอ่ยแย้มยิ้ม “ในภายหน้าข้าตั้งใจปลูกหน่อพลับเกือบทั้งเขาฮวากั่วซานน้อยๆนี้  ส่วนผลไม้อื่นๆนั้นจะเอามาปลูกแซมไปกับต้นพลับ  หรืออาจแยกปลูกเดี่ยวเป็นหย่อมดีหรือไม่?
                       เหลียนเซ่อบอกว่าได้ทั้งนั้น  อาเจี่ยนนิ่งคิดสักครู่  จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หรือจะปลูกแยกเป็นหย่อมๆดี!  มิใช่ว่าท่านอยากสร้างเรือนไม้ไว้บนยอดเขารึ?  ข้ามองว่าปลูกต้นผลไม้บนยอดเนินไล่ระดับลงมา แล้วโอบล้อมรอบเรือนไม้  ทำแบบนี้ยามต้นไม้ออกดอก จะบานสะพรั่งดูงดงามนัก  ภายหน้าเมื่อออกผลจนสุกได้ที่ก็จะเก็บได้ง่ายอีกด้วย!”
                       “ที่พี่เจี่ยนกล่าวมาข้าดูแล้วมีเหตุผลนัก!” เหลียนเซ่อเอ่ยแย้มยิ้ม  นึกถึงตอนดอกไม้ผลิบาน   พอมองไปรอบๆ  คงงดงามน่าหลงไหลประหนึ่งอยูในความฝันนั้นเทียว”
                       “เช่นนั้นข้าเอาด้วย! “   เหลียนฟางโจวพยักหน้าหัวเราะ  พลางรู้สึกว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย
                       ทั้งสามชีวิตต่างพากันเดินขึ้นไปบนยอดเนินเขา
                       หลุมสำหรับปลูกผลไม้ถูกขุดไว้เรียบร้อยมาก่อนหน้าแล้ว  ถึงเวลาปลูกจึงก็จะช่วยให้เสร็จไวขึ้น
                       ให้คนๆหนึ่งไปพรวนดินที่ก้นหลุมเสียหน่อย  คลุกเคล้าให้เข้ากัน  ส่วนอีกคนใช้สองมือประคองต้นไม้ลงดินอย่างระวัง  แล้วให้คนที่สามกลบหลุมให้มิด  สุดท้ายออกแรงย่ำเท้าบนหน้าดินให้แน่นสักหน่อย  ก็เป็นอันใช้ได้
                       สามคนต่างเข้าใจดีทีเดียวโดยไม่ต้องเอ่ยปาก  แต่ละคนรับผิดชอบในหน้าที่ของตน  ตอไม้หลายสิบต้น  ใช้เวลาปลูกไม่นานเพียงครึ่งชั่วยามก็เสร็จสิ้น
                       เมื่อมองดูแถวยาวเหยียดของตอไม้  ซึ่งสูงเพียงครึ่งหนึ่งของมนุษย์  ที่โกร๋นไม่มีใบ  ซ้ำมีฝุ่นเกาะ  เหลียนฟางโจวก็ปรบมือ  หัวเราะร่าชอบอกชอบใจ “อยากให้ฤดูใบไม้ผลิมาถึงพรุ่งนี้จัง  มันจะได้ไม่มีสภาพเช่นนี้!”
                       ตอผลไม้ป่าย่อมทาบกับกิ่งผลไม้ป่าได้อย่างแนบสนิท  ยามลมฤดูใบไม้ผลิพัดมา  พระอาทิตย์อันอบอุ่นส่องแสง  กิ่งอ่อนนั้นก็จะพากันแตกใบอ่อนได้ทุกวัน!
                       เหลียนเซ่อผู้มีความปรารถนาเต็มใบหน้า ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “สมแล้วที่มีชื่อว่าเขาฮวากั่วซาน (เขาดอกผลไม้)!”
                       “พูดได้ถูกเผง!” ทั้งสามหัวเราะออกมาพร้อมกัน  จากนั้นจึงพากันลงเขาเดินทางกลับบ้าน
                       ส่วนไก่ฟ้าสีทองนั่น  ย่อมกลายเป็นอาหารประจำมื้อเย็นนี้ไปโดยปริยาย
                       ป้าสามได้ทราบเรื่องจากเหลียนฟางฉิงและเหลียนเซ่อแล้ว   นางรีบมาตั้งหม้อต้มน้ำแต่หัววัน  รอว่าพอไก่ฟ้าสีทองมาถึงบ้าน  นางจะได้จับถอนขน
                       นอกจากนี้ยังเอาเห็ดตากแห้งสองสามดอกแช่น้ำไว้  มื้อเย็นนี้ย่อมจะทำไก่ฟ้าสีทองตุ๋นเห็ด
                       พอเห็นทั้งสามชีวิตกลับมาถึง  ป้าสามกุลีกุจอออกมายิ้มร่าต้อนรับ  สิ่งที่ทำก่อนเพื่อนคือเอ่ยชมเหลียนเซ่อว่าเก่งกาจเป็นที่หนึ่ง  จากนั้นก็รับไก่ฟ้าสีทองไป  แล้วผินหน้าไปหาเหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยความไม่พอใจ  “เจ้าก็ด้วย  ไฉนไม่ยอมให้พวกเด็กๆเอาไก่กลับมาก่อนเล่า?  หากเอากลับมาแต่เนิ่นๆ  ยามนี้ก็ตุ๋นเจ้าไก่ฟ้านี่เสร็จแล้ว  พวกเจ้าคงต้องคอยกันสักพักละนะถึงจะได้กินกัน!”
                       “ป้าสาม”  เหลียนฟางโจวหัวเราะขำ  เอ่ยเสียงเบา “ข้าเองก็ไม่กะให้ใครรู้เหมือนกัน!  ฉิงเอ๋อร์กับเช่อเอ๋อร์ยังเด็กเพียงนี้  หากไปพบเจอใครที่พูดจาไม่ระวังปากเข้าจะเป็นผลดีได้อย่างไร!”
                       เรื่องที่พวกเขาขึ้นไปเก็บเห็ดบนเขาเซียนเถิงซานล้วนเป็นความลับสุดยอด  คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ยังไม่มีใครรู้
                       ป้าสามตระหนักทันใด “จริงด้วย! “ พอพูดจบนางก็เอาไก่ฟ้าสีทองเข้าไปจัดการต่อในบ้าน   ติดตามด้วยเหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อต่างก็หารือกันว่าจะถอนขนหางสีสันแสบตาของไก่ฟ้าสีทองมาเล่นกัน
                       ส่วนเหลียนเซ่อนั่งอยู่ในลานบ้าน  ถือผ้าขี้ริ้วชุบน้ำมาเช็ดทำความสะอาดคันธนูในมืออย่างทะนุถนอม  พลางหันไปคุยกับอาเจี่ยน   ชายหนุ่มซึ่งนั่งดูอยู่ข้างๆไม่รู้จะพูดอะไรตอบเด็กหนุ่มดี   อาเจี่ยนได้แต่เป็นผู้ฟังพลางพยักหน้าเออออเป็นพักๆ
                       เหลียนฟางโจวได้แต่หัวเราะเงียบๆ  พลางปลีกตัวเดินจากไป
                       วันรุ่งขึ้นแต่ละคนกระวีกระวาดขึ้นเขาเซียนเถิงซานแต่เช้ามืด  วันนี้อยากพุ่งไปให้ถึงเร็วๆใจจะขาด จะได้มีเวลาล่าสัตว์เพิ่มอีกนิด  กรอปกับเมื่อวานได้สำรวจแหล่งผลไม้ป่าไว้ดีแล้ว  วันนี้จึงลงมือขุดได้อย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ
                       ทุกคนต่างกระตือรือร้นยิ่งนัก   ลงท้ายขุดตอไม้ได้เกือบ 60 ต้นในเวลาอันรวดเร็ว  หลังจากนั้นทุกคนได้ส่งสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังไปให้อาเจี่ยน
                       เส้นทางเดินลึกเข้าไปในภูเขา  อาเจี่ยนจะเป็นผู้กำหนด
                       ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด  พอมีอาเจี่ยนอยู่ด้วย   บรรดาน้องๆรวมถึงเหลียนฟางโจวผู้เป็นพี่สาวคนโต  ล้วนรู้สึกอุ่นใจเหลือจะกล่าว  จิตใจแน่วแน่ไม่หวั่นไหว
                       พวกเขาไม่คิดอันใดมาก  ซ้ำยังหยุดออกความคิด  และมอบหมายให้อาเจี่ยนเป็นผู้ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว
                       อาเจี่ยนเดินไปอธิบายไป  ทุกการแสดงออกเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจ
              อาเจี่ยนเป็นผู้นำทาง  คนทั้งกลุ่มต่างพูดคุยเฮฮากันมุ่งหน้าเดินเข้าไปในป่า  ดวงตาหลายคู่คอยสอดส่องมองหาเหยื่อไปทั่วทุกบริเวณ
                       ฤดูกาลนี้ในป่ามืดสลัวเย็นยะเยือกนัก  ตรงกันข้ามกับนกทั้งหลายที่ต่อสู้กับความหนาวเหน็บ  พวกมันร้องเสียงแหลมบินโผจากกิ่งไม้หนึ่งไปยังอีกกิ่งหนึ่ง  กระนั้นล้วนเป็นนกตัวเล็กตัวน้อยเท่านั้น  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกมันเคลื่อนไหวว่องไวปราดเปรียวนัก  ถึงแม้จะยิงร่วงลงมาได้  คงมีเนื้อไม่พอให้กินแน่  
                       พอเจอสถานการณ์เช่นนี้เข้า   ยามนี้ทุกคนแทบจะถอดใจหมดแล้ว  ในที่สุดโชคก็เริ่มเข้าข้าง  มีไก่ฟ้าทยอยโผล่ออกมา   ทั้งกระต่ายป่ามาปรากฏตัวอยู่ลิบๆ   ไก่ฟ้าบางตัวเดินลงมาตามทาง  เหลียนเซ่อยิงถูกเพียง 2 ตัว   ฝ่ายอาเจี่ยนสุดท้ายสามารถล่ากระต่ายป่าขนเทามาได้ 2 ตัว
                       พวกเขาล่าสัตว์ด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างไปจากซุนฉางซิงผู้ที่ทำเพื่อหาเลี้ยงชีพ  การล่าสัตว์พวกนี้  พวกเขาทำไปเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์เป็นหลัก  ทุกคนล้วนสนุกสนาน  ต่างหารือกันเสียงขรมว่ากลับไปแล้วจะเอาสัตว์ที่ล่าได้ไปย่าง หรือเอาไปตุ๋นเป็นน้ำแกง หรือเอาไปผัดดี 
                       “เกือบได้เวลาแล้ว  พวกเราออกจากที่นี่กันเถิด  ฝั่งนี้น่าจะเป็นหุบเขา  เดินในทิศทางออกจากหุบเขาจะสามารถเดินออกไปนอกเขตป่าได้  พวกเราควรกลับกันได้แล้วล่ะ!”  อาเจี่ยนชี้มือไปทางด้านซ้ายพลางเอ่ยขึ้น
                       เหลียนฟางโจวพยักหน้ายิ้มให้  แล้วแต่ละคนก็ทยอยเดินเรียงกันออกมา
                       เหลียนฟางโจวบังเอิญเงยหน้ามองต้นไม้ข้างหน้า  ดวงตาพลันเป็นประกายวาบ  ชี้นิ้วไปที่ยอดต้นเฟิง(ต้นเมเปิ้ล)  ซ้ำยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ “พวกเจ้าดูสิ!  ผึ้ง  มีผึ้งด้วยล่ะ!”
                       ทุกๆคนมองตาม  จริงๆด้วย!  มันอยู่บนต้นไม้สูงจากพื้นดินราวๆ 2 มี่(เมตร)  บรรดาผึ้งรวมตัวกันเกาะเป็นกลุ่มก้อน  เป็นรูปครึ่งวงกลมสีดำทมึนที่มีแขนยาวเล็กๆ 2-3 กิ่งยึดติดต้นไม้  
                       “ใช่ผึ้งจริงๆด้วย!  มันจะต่อยคนไหมนะ! “  ใบหน้าเล็กๆของเหลียนฟางฉิงซีดเผือด  ก้าวถอยหลังไป 2 ก้าวโดยไม่รู้ตัว
                       “ไม่ต้องกลัวไป เหลียนฟางโจวรีบปลอบโยน  “ในฤดูหนาวผึ้งจะกลัวความหนาว  มันจะไม่ต่อยคนหรอก!”
                       เหลียนเช่อพลันโพล่งขึ้นด้วยความประหลาดใจ  “ในเมื่อมันกลัวหนาว   ไฉนพวกมันจึงไม่บินกลับเข้ารังเล่า?”
                       เพราะพวกมันถูกไล่ออกมานะสิ!  พูดอีกนัยหนึ่งก็คือมันเป็นธรรมเนียมของผึ้งที่ต้องแตกฝูงออกมา  โดยทั่วไป  ผึ้งจะแตกฝูงออกมาในฤดูใบไม้ผลิ  ทว่าก็ไม่ได้มีกฏตายตัวว่าในฤดูหนาวผึ้งจะถูกบังคับให้แตกฝูงไม่ได้  ฤดูหนาวในชาติภพก่อน เหลียนฟางโจวได้เคยเห็นปรากฏการณ์นี้มาก่อนแล้ว  ขณะที่เธออยู่ในช่วงทำการศึกษาค้นคว้าและวิจัยงานในแถบชนบท
                       ฝูงผึ้งถูกขับไล่ให้ออกจากรังผึ้งในฤดูหนาวแบบนี้ ย่อมไม่มีที่พักพิงให้หลบภัยจากความหนาวเย็น  ยิ่งไม่สามารถหาอาหารจำพวกน้ำหวานมากินได้  ซ้ำยังไม่มีทางที่จะไปเก็บน้ำหวานจากดอกไม้ได้อีกด้วย  หากไม่มีมนุษย์สร้างรังเทียมและหาอาหารให้   พวกมันคงประสบเคราะห์กรรม  ตายหมดยกฝูงสถานเดียว!
                       ทว่าเหลียนฟางโจวไม่อยากพูดอะไรมากมายต่อหน้าเหลียนเช่อ รวมทั้งอาเจี่ยนนัก    เธอจึงสั่นหัวพลางเอ่ยว่า  “ข้าก็ไม่รู้หรอก!  เพียงแต่ ข้ากำลังคิดจะเลี้ยงผึ้งสัก 2-3 รัง  ในเมื่อยามนี้ก็ได้พบแล้ว  นับว่าเป็นสิ่งดี!”
                       “เลี้ยงผึ้งรึ?  เช่นนั้นภายหน้าบ้านเราก็มีน้ำผึ้งให้กินแล้วสิ?”  ดวงตาเหลียนฟางฉิงเปล่งประกายเจิดจ้า
                       “อื้ม”  เหลียนฟางโจวพยักหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเอาผึ้งไปเลี้ยงบนเขาฮวากั่วซานน้อยกันเถิด!  ยามต้นไม้ออกดอก  ผึ้งก็สามารถไปเก็บน้ำหวานจากดอกไม้ได้ด้วย!”
                       เดิมทีเหลียนฟางโจวมีแผนจะเลี้ยงผึ้งอยู่แล้ว  ซ้ำยังคิดจะให้ผึ้งผสมเกสรดอกไม้ให้มากๆ
                       คนของสวนผลไม้สกุลหลินสามารถผสมเกสรดอกไม้ด้วยมือมนุษย์ได้หรือไม่นะ  เหลียนฟางโจวไม่ทราบ แต่เดาว่าน่าจะไม่  ไม่ว่าอย่างไร  นี่คือยุคสมัยที่ต้องพึ่งพิงธรรมชาติในการหาเลี้ยงชีพ!  เธอไม่เคยเห็นรังผึ้งในสวนผลไม้พวกนั้น หรือแถวละแวกบ้านเลย   แม้แต่การเลี้ยงผึ้งพวกเขาก็คงไม่ทำ
-------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ
ต้องขออภัยที่หายไปนาน เนื่องจากช่วงนี้งานเร่งค่ะ^_^


13 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณนะคะ

    ตอบลบ
  2. ฟางโจวสุดยอดแม้แต่ผึ้งนางก็จะเอามาเลี้ยง

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณมากค่ะ รอได้ค่ะ

    ตอบลบ
  4. เยี่ยมมากอาโจวมองอะไรก็สร้างอาชีพได้

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณคะ ไม่เป็นไร คะ อ่านวนๆๆไปได้ชอบๆๆๆ

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณมากค่ะ ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ

    ตอบลบ
  7. ขอบคุณมากค่ะไรท์ อ่านแล้วมีความสุข

    ตอบลบ
  8. ขอบคุณไรท์มากนะคะ นิยายเรื่องนี้สนุกดี แถมยังทำให้หิวอีกด้วย 55555

    ตอบลบ
  9. อ่านเรื่องนี้ไปเรื่อยๆคิดว่าคงได้ความรู้ ออกไปทำสวนได้เลย ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ