วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ภรรยาข้าผู้ร้ายกาจเจ้าเล่ห์ -บทที่ 30 โรงเต๊ยมยุทธภพ


หลินฉู่เอ๋อร์ขึงตาใส่มู่หรงหยุนชู พลางเอื้อนเอ่ย “เงื่อนไขประการแรกสำหรับผู้ที่จะย่างเท้าเข้ามาในโรงเตี๊ยมยุทธภพได้   จำต้องเป็นชาวยุทธ์  เจ้าเป็นด้วยรึ?
“มิใช่”
“เช่นนั้นเจ้าก็มิสมควรเข้าไป?  ใบหน้าของหลินฉู่เอ๋อร์บึ้งตึงนัก
 มู่หรงหยุนชูตวัดสายตาเฉยเมยใส่ฟางหงเฟยที่ยืนเคียงข้างภรรยาแวบหนึ่ง  แล้วจึงหันไปถามผู้คุมกฏทั้งสื่ทางด้านหลัง  “โรงเตี๊ยมยุทธภพคือโรงเตี๊ยมของพรรคมาร  หรือสำนักคุ้มภัยเจิ้นหย่วน?

 “มิใช่ทั้งคู่ขอรับ  ผู้ก่อตั้งโรงเตี๊ยมยุทธภพคือศิษย์ผู้มีชื่อเสียงของวัดเส้าหลิน”  ผู้คุมกฏบูรพาเฉลย
มู่หรงหยุนชูถาม  “วัดเส้าหลินรับศิษย์หญิงด้วยรึ?
“ไม่รับ”  ผู้คุมกฏปัจจิมตอบ
พอได้ยินเช่นนั้น  มู่หรงหยุนชูเอ่ยขึ้นคล้ายเข้าใจในที่สุด  “ดูท่าฮูหยินหลินจะเจ้ากี้เจ้าการเกินไปหน่อยนะ”  น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยเรื่อยเฉื่อยทีเดียว  คล้ายกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ อย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าหลินฉู่เอ๋อร์ขึ้นสีแดงก่ำ  ปากคอสั่นเป็นนาน  ใจนึกอยากสวนกลับ ทว่าไม่อาจทำได้  นางคิดอยากอาละวาดใส่ฝ่ายตรงข้าม  ทว่าพอเห็นใบหน้าท่าทางที่ดูเป็นมิตร  คล้ายว่ายิ่งนางต่อความยาวสาวความยืดเท่าใด ยิ่งคล้ายนางเป็นฝ่ายจงใจหาเรื่องเสียเอง  เมื่อไม่มีที่ระบายโทสะเข้าจริงๆ  หลินฉู่เอ๋อร์จึงหันไปถลึงตาใส่ฟางหงเฟยแทน “ยังไม่รีบเข้าไปอีก   มัวยืนทำซากอะไรอยู่ตรงนั้นเล่า!”
“ฉู่เอ๋อร์  เจ้าอย่าโมโหสิ  ใครๆก็รู้  มู่หรงหยุนชูผู้นี้ปากร้ายจะตาย  อย่าลดตัวไปวอแวกับนางเลย “   ฟางหงเฟยปลอบโยนอีกฝ่ายด้วยถ้อยคำเอาอกเอาใจ  แล้วเป็นฝ่ายตามภรรยาเข้าไปในโรงเตี๊ยมยุทธภพ
มู่หรงหยุนชูมิได้ปริปาก  รอจนพวกเขาเดินห่างไปหลายก้าวแล้ว  จึงเลิกคิ้วถามลู่เอ๋อร์สาวใช้ประจำตัว  “ข้าปากร้ายมากนักหรือ?
“มากทีเดียวเจ้าค่ะ!”  ลู่เอ๋อร์พยักหน้าหงึกหงัก
“จริงหรือ?  นางออกจะสุภาพกับผู้คนมากทีเดียว
“จริง!”  ผู้คุมกฏบูรพา ทักษิน ปัจจิม พายัพต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน
มู่หรงหยุนชูครั้นได้ยินเข้า  ก็เหลือบมองพวกเขาด้วยสายตาตั้งคำถามด้วยความประหลาดใจ  “หากข้าปากคอเราะร้ายจริงๆ   เห็นทีไม่ต้องกระเตงแฝดนรกทั้งสี่มาด้วยแล้วล่ะ”
“.....”  นี่เรียกว่าพูดได้จี้ใจดำนัก  บุรุษทั้งสี่พลันลมหายใจสะดุด เงียบงันไปทันที  ต่างเหลือบมองหน้ากันและกัน  แล้วทำหน้าเหยเกโดยพร้อมเพรียงกัน  พลางแอบบ่นในใจว่า หากพวกเขามีบิดามารดาเดียวกัน  เช่นนั้นขอยอมเกิดจากกระบอกไม้ไผ่ หรือกลายเป็นเด็กกำพร้ายังจะดีเสียกว่า
ระหว่างที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดกันอยู่นั้น  พลันบังเกิดเสียงเย็นเยียบดังขึ้นเบื้องหน้า “สำหรับคนธรรมดา  ต้องขออภัยที่ให้เข้าพักไม่ได้” 
มู่หรงหยุนเบนสายตาไปยังทิศทางของเสียงนั้น  จึงเห็นเด็กหนุ่มทำหน้าบอกบุญไม่รับพอๆกับนี่ฉิงยืนอยู่ตรงกลางทางเข้าโรงเตี๊ยม  ขวางทางฟางหงเฟยและภรรยาไว้
“ข้าคือฟางหงเฟย ประมุขน้อยของสำนักดาบหมิงเจี้ยน   ผู้นี้คือฮูหยินของข้า  ธิดาคนโตของสำนักคุ้มภัยเจิ้นหย่วน  หญิงงามอันดับหนึ่งของยุทธภพ  มีนามว่าหลินชุ่ยเอ๋อร์”  ฟางหงเหยแนะนำตัวด้วยความภาคภูมิใจอย่างหาใดเทียม
ทว่าเด็กหนุ่มนั่นทำเหมือนไม่ได้ยิน  ทวนคำพูดซ้ำอีกครั้ง  “สำหรับคนธรรมดา  ต้องขออภัยที่ให้เข้าพักไม่ได้  เชิญกลับไปเสีย”
“เจ้าไม่เคยได้ยินชื่อทั้งสำนักดาบหมิงเจี้ยนและสำนักคุ้มภัยเจิ้นหย่วนรึ?ใบหน้าฟางหงเฟยขรึมลงยามเอื้อนเอ่ย
“มีเพียงประมุขของสำนักดาบหมิงเจี้ยนและสำนักคุ้มภัยเจิ้นหย่วนเท่านั้นที่เข้าพักได้  นอกนั้นโปรดกลับไปเสีย”  พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ  บิดาท่านมีความสามารถ  มิได้หมายความว่าตัวท่านจะมีความสามารถด้วย  เพราะฉะนั้นพวกท่านมาทางไหน  ได้โปรดกลับไปทางนั้น
ฟางหงเฟยโกรธจนตัวสั่น “ปากดีนัก!  ข้าไม่ยอม วันนี้ข้าต้องเข้าพักในโรงเตี๊ยมยุทธภพให้ได้ ก็ดูสิว่าเจ้าจะทำอะไรข้าได้!”  กล่าวจบ  ก็พุ่งตัวเข้าใส่เต็มพิกัดทันที  หลังออกหมัดไปสิบกระบวนท่า  ทว่าล้วนไม่อาจเข้าถึงตัวเด็กหนุ่มผู้นั้นเลยแม้แต่น้อยแลย  ความกราดเกรี้ยวบนใบหน้าของฟางหงเฟยเลือนหายไป  พลางร้องถามขึ้น “เจ้าคือผู้ใดกันแน่?
“คนทำงานในโรงเตี๊ยม”
 “ข้าไม่เชื่อ  วรยุทธ์ของคนงานในโรงเตี๊ยมคนหนึ่ง  ไฉนถึงได้ล้ำลึกเพียงนี้?
สีหน้าของเด็กหนุ่มยังไร้อารมณ์เหมือนเดิม  น้ำเสียงเย็นชา “เป็นที่วรยุทธ์ของท่านอ่อนด้อยต่างหาก”
ฟางหงเฟยหน้าเขียวด้วยความโกรธ  ชักดาบหมายเข้าประมืออีกสิบกระบวนท่า  ทว่าฝ่ายตรงข้ามไม่เหลือบแลเขาแม้สักนิด  เดินเอื่อยๆเข้าไปสนทนากับมู่หรงหยุนชู  “คุณหนูมู่หรง  เชิญเข้ามาขอรับ  ห้องพักแขกเตรียมไว้พร้อมแล้ว”
มู่หรงหยุนชูค้อมศีรษะเล็กน้อย  “ขอบคุณมาก”
วันนี้หลินชุ่ยเอ๋อร์เจอการเลือกปฏิบัติที่เลวร้าย  พาให้ความเชื่อมั่นตนเองลดฮวบ  จึงตวาดเสียงลั่น  “ไฉนนางถึงเข้าไปได้?  นางไม่นับเป็นคนในยุทธภพเสียหน่อย!”
“เพียงเพราะนางคือมู่หรงหยุนชู”  เสียงนุ่มเปี่ยมด้วยความเบิกบานดังออกมาจากข้างใน   บุคคลผู้มาใหม่  ทั้งร่างสวมชุดคลุมเนื้อหยาบสีเทาตุ่น  เข้าคู่กับมู่หรงหยุนชูนัก เป็นแบบท่วงท่าของชาวยุทธแบบซอมซ่อ  มิหนำซ้ำ ด้วยรูปลักษณ์ที่ซอมซ่อ  ช่างเหมาะสมกับโรงเตี๊ยมแห่งนี้อย่างหาใดเปรียบ 
มู่หรงหยุนชูครุ่นคิด  คล้ายว่าบุคคลผู้นี้คงมิใช่เจ้าของโรงเตี๊ยมยุทธภพนี้กระมัง  สวรรค์คงไม่ตาบอดเป็นแน่
“คุณหนูมู่หรง  เป็นเกียรติมากที่ได้พบท่านในที่สุด  ข้าคือเจ้าของโรงเตี๊ยมนี้ นามว่าหลี่หวูไน่”  หลี่หวูไน่หัวเราะเบาๆและเข้ามาทักทายมู่หรงหยุนชู
หลี่หวูไน่?   มู่หรงหยุนซูยกยิ้มบางให้เขา  “คุณชายหลี่มีชื่อเสียงเลื่องลือ  หากข้ากลับได้ยินเป็นคราแรก
หลี่หวูไน่อึ้งไปนิด  ครั้นแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะชอบใจ  “น่าสนใจนัก น่าสนใจนัก  คนผู้นั้นตาถึงนัก  น้องสาวไม่ธรรมดาจริงๆ”
น้องสาว?  มู่หรงหยุนชูนึกฉงนใจโดยพลัน  พลันได้ยินเสียงเฉื่อยเนือยเอื้อนเอ่ยคำสามพยางค์ออกมาจากปากคนที่อยู่ชั้นบนทางขวามือ  ”น้องสะใภ้ต่างหาก”
ฉู่ฉางเกอ!
            มู่หรงหยุนชูคล้ายใจลอยไปชั่วขณะ  ดวงตาของคนทั้งคู่สบประสานกัน  หลังจากสับสนไปชั่วครู่   หญิงสาวจึงหลุดจากภวังค์   พลางเก็บสายตากลับ  รอคอยเขาเดินลงจากบันได
ฉู่ฉางเกอเยื้องย่างลงบันไดมาด้วยใบหน้ารื่นรมย์  ปากพร่ำบ่นพร้อมรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า “ฮูหยิน  ช่างมาสายเสียจริง  พลอยให้สามีไม่มีอะไรจะทำฆ่าเวลาเลย  แล้วดันไปคำนับคนแซ่หลี่ที่ช่วยเป็นธุระอีก  ช่างน่าเบื่อเสียจริง”
ใบหน้าหลี่หวู่ไน่มีริ้วดำพาดผ่าน   เขาเป็นผู้รับเคราะห์ทั้งขึ้นทั้งล่องใช่ไหม!  ไม่รู้ว่าภายหลังยังจะมีใครกล้าเข้ามาพักในโรงเตี๊ยมเฮยเตี้ยน[1]ของเขาอีกไหม  หากเรื่องน้องชายที่คนละแซ่เช่นนี้แพร่สะพัดออกไป  เงินที่หาได้จากธุรกิจมืด  ไม่รู้ว่าจะหดหายลงเพียงไหน  ขาดทุน  ขาดทุนย่อยยับแท้ๆ!
คนตรงข้ามถึงกับทำให้หลี่หวูไน่ตีอกชกหัวอย่างจนใจ   ส่วนมู่หรงหยุนชูยังแสดงท่าทางนิ่งสงบได้อย่างน่ายกย่อง  หญิงสาวส่งยิ้มบาง “แค่คำนับฟ้าดินหาเป็นเรื่องน่าเบื่อไม่”
คำนับ ฟ้า ดิน?!  หลี่หวูไน่รู้สึกว่าตนเองได้ถูกสายฟ้าฟาดเข้าให้แล้ว
ฉู่ฉางเกอยกยิ้มบาง   ใบหน้าเฉยเมยหายไป  แทนที่ด้วยรอยยิ้มร้ายฉายชัดบนใบหน้าอันหล่อเหลาเต็มพิกัด “มิคิดเลยว่าฮูหยินกับสามีช่างใจตรงกันนัก  ในเมื่อเป็นเช่นนี้  มิสู้...ถือโอกาสที่มีคนคึกคักยามนี้  จัดพิธีคำนับฟ้าดินกันดีหรือไม่”
มีบางคนเริ่มสนใจฟัง  จึงไม่ใคร่เข้าใจถ้อยคำที่ชายหนุ่มกล่าวมากนัก  มู่หรงหยุนชูตัดสินใจไม่ต่อล้อต่อเถียงกับบุรุษขี้เล่นแถมใจปล้ำอีกต่อไป  นางจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้

 [1] โรงเตี๊ยมที่เปิดเพื่อฆ่าหรือปล้นผู้มาพัก
--------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ ^_^


1 ความคิดเห็น:

  1. ทั้งสองเรื่องเลิกอัพเดทแล้วหรอคะไรท์ เสียดายจังค่ะ แต่ก็ขอบคุณนะคะที่แปลให้อ่านสนุกมากค่ะชอบ สำนวนดีมีวินัยและภาพประกอบดีมากค่ะทำให้น่าอ่านยิ่งขึ้น

    ตอบลบ