วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 178 ป้าสามมีเรื่องมาฟ้อง


           รายการอาหารเที่ยงที่บริเวณสถานที่ก่อสร้างก็เหมือนเช่นเคย  คือมีหมั่นโถว  เล่าปิ่งชุบไข่  น้ำแกงตุ๋นกระดูกหมูท่อนใหญ่ที่เข้มข้นหอมกรุ่น  ซ้ำยังมีน้ำราดถั่วเหลืองหมักข้นที่เคี่ยวไว้เหลืออยู่  จึงเอามาใช้เป็นน้ำจิ้มหมั่นโถวได้พอดี
            ฉินเฟิงและซูจื่อจี้นั้น ไม่กล้าไปนั่งตีเสมอกินอาหารร่วมโต๊ะกับคนในบ้านสกุลเหลียน   เพราะชายทั้งสองคิดว่าธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆไม่อาจถูกละเลยได้  “แม้ว่าแม่นางจะใจดีมีเมตตาต่อพวกเรา  ทว่าต่อไปสมบัติพัสถานของตระกูลแม่นางก็ต้องเพิ่มพูนขึ้น   บรรดาข้ารับใช้ก็จะทวีจำนวนมากขึ้น  หากพวกเราเป็นเหตุให้ที่นี่มีการผิดธรรมเนียมขึ้นมา   ภายหน้าแม่นางจะควบคุมดูแลบริวารได้อย่างไรเล่า!”

            เหลียนฟางโจวลองตรึกตรองดู  ก็เห็นว่าถูกต้องตามคำกล่าว  หญิงสาวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “มิคาดเลยว่า  ตัวข้าเองชักจะเลอะเลือนแล้ว!   เช่นนั้นพวกท่านก็กินอาหารกันในครัวต่อไปแล้วกัน!  พวกท่านไม่ต้องพูดอันใดอีกแล้ว  จนกว่าพวกเราจะกินอาหารเสร็จ!”
ฉินเฟิงและซูจื่อจี้น้อมรับคำ
หลังอิ่มหนำกับมื้อกลางวันแล้ว  คนทั้งหลายก็หยุดพักอิริยาบทสักครู่หนึ่ง  เว้นแต่ป้าสามกับน้องเล็กสองคนแล้ว   เหลียนฟางโจวกับพวกทั้งห้าชีวิตได้พากันไปขุดต้นซุ่ยปาเจียวที่ขึ้นเองในสถานที่ที่พวกเขาหมายตาไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว
น้ำของต้นซุ่ยปาเจียวนั้น  จะเพิ่มความชุ่มชื้นมหาศาลให้กับพื้นที่ที่พวกมันขึ้นอยู่  เลยทำให้พวกเขาขุดลำต้นขึ้นมาได้ง่ายดายนัก
ภายในหนึ่งชั่วยาม  ทั้งห้าชีวิตก็ขุดพืชดังกล่าวขึ้นมาได้หกสิบต้น
ครั้นแล้วพวกเขาก็ริดใบออกจนเกลี้ยง  เหลือเพียงลำต้นลื่นๆที่สูงราวครึ่งตัวคนไว้  จากนั้นจึงเอาใบของต้นซุ่ยปาเจียวที่ถูกริดออก มาวางรองในตระกร้าสานไม้ไผ่  แล้วค่อยบรรจงวางลำต้นของมันทับข้างบนอีกที  ครั้นแล้วจึงขนขึ้นไปไว้บนเกวียนเทียมลา  เมื่อทำเช่นนี้ จะทำให้รถเกวียนไม่เปื้อนดินโคลนด้วย
ต้นซุ่ยปาเจียวทั้งหมดหกสิบต้นนี้   จะเอาไปปลูกแถวๆแหล่งน้ำในไร่ที่ทางสามแยกโน่น
ถึงแม้ว่าในไร่ จะมีแหล่งน้ำซึ่งเป็นตาน้ำขนาดใหญ่  มีน้ำผุดขึ้นมาแรง  แถมยังมีถึงสองแห่งด้วยกัน  นอกจากนี้ก็ยังมีคูน้ำเล็กๆที่ลำเลียงน้ำจากนอกไร่เข้ามาสมทบอีกด้วย  กล่าวได้ว่า  ผืนดินที่ทางสามแยกนี้มีน้ำเพียงพอให้ใช้เลยทีเดียว
ทว่าเหลียนฟางโจวเองนั้นยังรู้สึกว่า  มันควรมีน้ำให้มากเกินกว่าแค่พอใช้  และจะต้องมีการปกป้องรักษาแหล่งน้ำบนดินให้ดี   เพื่อพืชผลจะได้งอกงามดีขึ้น!  ทั้งหมดทั้งมวล  ก็เพราะที่ดินผืนนี้มีเนื้อที่กว้างขวางเกิน 1,500 หมู่นั่นเอง!
แล้วยังไร่ที่ลานหินโน่นอีก  เธอตั้งใจจะเอาต้นซุ่ยปาเจียวเข้าไปปลูกด้วย  วันนี้เวลาไม่พอแล้ว  พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปขุดอีกครั้ง  ตกบ่ายค่อยกลับมาสะสางรายการบัญชีค่าก่อสร้างกับกู้สือและคนอื่นๆ   ส่วนวันมะรืนคงสามารถเผาวัชพืชเอาขี้เถ้าได้  รวมทั้งตักโคลนที่เอามาจากบ่อปลาไปหว่านเป็นปุ๋ยบำรุงดินด้วย
พอมีผู้ใหญ่สองคนซึ่งเก่งกาจเรื่องงานในนาในไร่อย่างเอกอุเข้ามาเพิ่ม  ก็ทำให้งานรุดหน้าเสร็จไวกว่าแต่ก่อนนัก  ดวงตะวันเพิ่งจะคล้อยไปทางทิศตะวันตก  ต้นซุ่ยปาเจียวทั้งหมดก็ถูกปลูกลงดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว
พอเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ต้องทำแล้ว  เหลียนฟางโจวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วันนี้พวกเรากลับไปกินมื้อเช้ากันได้แล้ว!  แถมอีก 7-8 วันก็จะถึงเทศกาลเสี่ยวเหนียนแล้วด้วย (ตรุษจีนเล็ก ตรงกับวันแรม 8 ค่ำเดือน 12  และอีกหนึ่งสัปดาห์ ก็คือวันไหว้ หรือ วันสุดท้ายของปี  หลังจากเที่ยงคืนไปแล้วก็จะล่วงเข้าสู่ปีใหม่ คือตรุษจีนปีใหม่อย่างแท้จริง)  ช่วงสองสามวันนี้ พวกเราคงได้ยุ่งหัวหมุนกันเลยเชียวล่ะ!”
แต่ละคนล้วนพยักหน้าขานรับเป็นเสียงเดียวกัน
พอกลับถึงบ้าน  ป้าสามให้ประหลาดใจเล็กน้อย  พลันยิ้มแป้นเอ่ยขึ้น  “แหม..พอมีแรงงานมาเพิ่มอีกสองแรง   งานเลยเสร็จไวดีแท้!  นี่เป็นเพราะท่านชายชุยคนเดียวเลย   ช่างประเสริฐนัก!”
เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้ม  แล้วหันไปเอ่ยกับฉินเฟิงและซูจื่อจี้  “พวกท่านไปอาบน้ำชำระกาย แล้วกลับไปพักผ่อนที่หมู่ตึกเถิด!” 
ทันใดนั้นป้าสามก็ตบหน้าผากตนเองคราหนึ่ง  พลางเอ่ยโพล่งขึ้น  “ใช่แล้ว  มีเรื่องหนึ่งที่ข้าลืมบอกเจ้า...ฟางโจว!”  นางกล่าวจบ ก็ลากตัวเหลียนฟางโจวไปอีกด้านหนึ่ง  แล้วเอ่ยกระซิบกระซาบ  “เช้าวันนี้ บ่าวคนสนิทของท่านชายชุยที่ชื่อชุยอี้อะไรนี่แหละ เล่าให้ข้าฟังว่า  คราวก่อนพวกท่านชายถูกลุงใหญ่ของเจ้าหลอกไปที่บ้าน   ชุยอี้ถามว่าลุงใหญ่เจ้าเอาของขวัญครึ่งหนึ่งที่พวกเขามอบให้มาส่งให้บ้านเจ้าหรือไม่  ข้าได้ยินแล้วก็ฉุนขึ้นมาเลย  ไม่ต้องสงสัย  ลุงป้าคู่นั้นไม่มีทางเอามาให้เราหรอก!  อย่าว่าแต่ครึ่งเดียวเลย  แม้แต่เงาสักเสี้ยวก็ยังมิเคยได้เห็นเลยด้วย!  ชุยอี้พอทราบความจริงเข้า ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ  เลยผลุนผลันออกไปทวงของที่บ้านลุงใหญ่   ชุยอี้บอกว่าลุงใหญ่เจ้ารับปากแล้วว่าจะส่งของขวัญในส่วนของบ้านเรามาให้  ไอ้ข้าก็รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ  ไฉนยังไม่ยอมส่งมาให้เสียที.....”
ป้าสามผู้มีสีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือ  เอ่ยขึ้นอีกคราว่า “ยามนี้เรามีพวกมาก   ไม่ต้องกลัวพวกนั้นแล้ว!  หรือว่า...พวกเราไปทวงถามที่บ้านพวกนั้นกันก่อนดี....”
พอเห็นสีหน้าป้าสามเป็นเช่นนี้  หากไปทวงถามเข้าจริงๆ  นางคงมิได้ถามแบบธรรมดาๆแน่นอน
ดูเหมือนว่าหญิงสาวกับน้องๆต่างก็ประสบเคราะห์กรรมเดียวกัน  คือโดนญาติผู้ใหญ่อย่าง ลุงใหญ่  ป้าใหญ่  ทำร้ายจิตใจให้เจ็บช้ำไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง  บอกได้เลยว่า  เธอและน้องๆไม่มีความเคารพนับถือให้พวกเขาอีกแล้ว   
ที่ป้าสามบอกว่าลุงใหญ่กับป้าใหญ่สองสามีภรรยา ปกปิดเรื่องของขวัญนี้  เหลียนฟางโจวแทบไม่แปลกใจเลย   ก็ในเมื่อชุยเฉ่าซีมาเยี่ยมทั้งที  เขาจะมามือเปล่าได้อย่างไร?  และในเมื่อของขวัญมาถึงมือสองสามีภรรยานั้นแล้ว  สองคนนั่นจะยอมแบ่งของให้ได้หรือ? 
ต่อให้พวกเขาทั้งสองแบ่งของให้   ลึกๆแล้วก็คงตั้งใจหว่านพืช  เพื่อหวังผลในภายหน้า
อย่างไรก็ตาม   ที่ชุยอี้คุยเรื่องนี้กับป้าสามเป็นการส่วนตัว  ซ้ำภายหลังยังไปพบลุงใหญ่เพราะเรื่องนี้ด้วย   มันออกจะเกินความคาดหมายของเหลียนฟางโจวไปมากทีเดียว
หญิงสาวลองคิดตรึกตรองดู  เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งพวกนี้ ชุยเฉ่าซีคงมิได้ใส่ใจแน่   ที่สุดแล้วน่าจะเป็นการตัดสินใจแบบเด็กๆของชุยอี้เอง  เป็นไปได้ว่าพอทราบเรื่อง  ก็เลยบันดาลโทสะ วิ่งไปต่อว่าเสียมากกว่า
เหลียนฟางโจวหลุบตาลงต่ำ พลางครุ่นคิด  เด็กหนุ่มที่ฉลาดเฉลียวอย่างชุยอี้นั้น  การที่เขาคอยประจบอยู่ข้างกายเจ้านายอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้น  กลายเป็นการสร้างปัญหาให้มากกว่า  เพราะเด็กหนุ่มผู้นั้นดูท่าจะชื่นชอบการอวดเบ่งข่มขู่ผู้อื่น  ส่วนลุงใหญ่นั้นจะกล้าต่อกรชุยอี้หรือ?  เขาไม่กลัวจะเป็นปฏิปักษ์กับสกุลชุยหรือไร?  ทำเช่นนี้ดูจะมิใช่อุปนิสัยที่รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางของเขาเลย!
“หรือว่าเราจะเรียกฉินเฟิงกับซูจื่อจี้ไปร่วมด้วยช่วยกันดีหรือไม่?  ไปกันหลายๆคนจะได้เปรียบกว่า!  ป้าสามเอ่ยถามอีกครา
“ไม่ต้องไปหรอก!”   เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้ม เอ่ยขึ้น  “ ในเมื่อชุยอี้บอกเช่นนั้นแล้ว  ไยพวกเราไม่รอไปก่อนเล่า?  และหากลุงใหญ่ไม่ยอมมาจริงๆ  ก็ช่างเขาเถิด!” 
“คิดดีแล้วหรือ?”  ป้าสามทั้งเสียดายทั้งรู้สึกว่าโดนเอาเปรียบ  “ไยถึงปล่อยเลยตามเลย?   ฟางโจวเอ๋ย  ตอนนี้แม้พวกเราจะมีความเป็นอยู่ดีกว่าแต่ก่อนนัก  แต่เราก็ไม่ควรทิ้งขว้างของเช่นนี้นะ!   สำหรับขนมพวกนั้น  ก็ช่างมันเถอะ  เพราะพวกเขาคงกินหมดไปตั้งแต่วันแรกแล้ว  ส่วนของอื่นๆนี่สิ อย่างไรก็ยอมไม่ได้?  บังเอิญว่าพวกเราต้องตัดเสื้อผ้าใหม่เพื่อใส่ฉลองวันตรุษจีนอยู่พอดีเลย!  ได้ผ้าตัดเสื้อมาเพิ่ม  มันไม่ดีหรอกหรือไร!”
“ป้าสาม”   เหลียนฟางโจวโพล่งขึ้น  “ยามนี้บ้านเราก็เป็นที่จับตามองของผู้คนอยู่แล้ว  ไม่รู้ว่ามีคนแอบอิจฉาริษยาพวกเราอยู่มากมายเท่าไร  หากบ้านเราเกิดเรื่องขึ้น  พวกเขาคงตั้งท่าคอยซุบซิบนินทากันสนุกปากเป็นแน่!   ถึงบ้านเรากับบ้านลุงใหญ่จะแตกหักกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  แต่พวกเขาก็ยังมีฐานะเป็นญาติผู้ใหญ่ของบ้านเราอยู่!  ต่อให้บิดามารดาข้ายังอยู่  หรือสิ้นไปแล้ว  ก็ยังมีคนคอยจับผิดในเรื่องนี้อยู่ดี  พวกเราก็คงไม่สะดวกใจมานั่งแก้ตัวหรอกนะ!  แล้วนี่มันก็แค่สิ่งของเท่านั้น   อย่ามัวแต่เอาชนะคะคานกับเรื่องเล็กน้อย  แล้วมาทำให้เสียการใหญ่เลย  ให้มันแล้วไปเถิดนะป้า!”
“ให้เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบนี่นะ?”  ป้าสามยังฮึดฮัดไม่ยอมแพ้
เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้ม “อย่างไรเสีย เดิมทีของพวกนั้นก็หาใช่ของเราไม่  จะใช้คำว่าเสียเปรียบสองคำนี้มิได้หรอกนะ  ลืมๆมันไปเสียเถิดน่า!”
“ปล่อยไปก็ได้!”  ป้าสามพยักหน้า พลางเอ่ยแย้มยิ้ม “ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล  ให้พวกเขาได้เปรียบเราบ้างก็ได้  เฮ่อ!
ถึงจะเอ่ยออกมาเช่นนี้  แต่ป้าสามก็คิดแผนการไว้ในใจแล้ว  รอถึงวันที่ท่านชายชุยกับชุยอี้มาเยี่ยมอีกครั้ง  นางจะเอาเรื่องนี้มาหารือกับชุยอี้อีก   เผื่อว่าสองสามีภรรยาขี้โลภคู่นั้นจะได้รับผลกรรมเสียบ้าง!
พอเจรจาจนสงบศึกได้ชั่วคราวแล้ว  เหลียนฟางโจวจึงสาวเท้าเข้าไปในตัวเรือน 
**
เห็นว่าพอจะมีเวลาอยู่บ้าง  เหลียนฟางโจวจึงขอหารือกับฉินเฟิง และซูจื่อจี้  แรกๆสองคนนั้นยังไม่กล้านั่งลง  เหลียนฟางโจวต้องทั้งปลอบทั้งขู่ สองคนนั้นจึงกล้านั่งทรุดตัวลงนั่ง  แต่ก็ด้วยความรู้สึกผิดอยู่ดี
พอหารือกันไปได้สักพัก  พวกฉินเฟิงจึงค่อยหายเกร็ง  ไม่คอยระวังตัวอีกต่อไป  โดยเหลียนฟางโจวจะคอยตั้งคำถามง่ายๆให้เขาตอบ   บางครั้งก็เป็นคนจั่วหัวเรื่องขึ้นมาเอง
เหลียนฟางโจวจึงได้ค้นพบโดยบังเอิญว่า  ซูจื่อจี้ผู้นี้มีมืออัจฉริยะ  แต่ก่อนเขาเคยพัฒนา ปรับปรุงและประดิษฐ์เครื่องมือการเกษตรที่มีคุณูปการมากหลาย  มีอยู่ปีหนึ่งเขาได้ตามซ่างเฟิงไปตระเวณตรวจตราไร่นาแถบลุ่มแม่น้ำฮวงโห  เขาได้ประดิษฐ์เครื่องทดน้ำเข้านาขนาดยักษ์ ตอนอยู่ที่เมืองไคเฟิง ในจังหวัดเหอหนาน  ส่งผลให้ชาวนาแถบนั้นได้รับประโยชน์มหาศาล  ตอนไปตรวจตราแถบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงตอนล่าง ในเจียงหนาน  เขาก็ได้ปรับปรุงกงล้อปั่นทอในตำบลหนานสุน   จนประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณอีกด้วย....
เหลียนฟางโจวได้ฟังแล้วพลันใจกระตุกวาบ   พร้อมกับลอบวางแผนการในใจทันที
------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ ^_^


17 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณค่ะ ได้ผู้ช่วยสองคนมาเป็นโชคดีมหาสารจริงๆ

    ตอบลบ
  2. เรื่องดำเนินเร็วขึ้นขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  3. ตอนที่ฟางโจวแต่งงาน ครอบครัวพวกนางมีฐานะรวยแล้วหรือยังคะ????
    ฐานะครอบครัวนี้เริ่มมีเงินใช้หนี้คืนหมื่นตำลึงในตอนที่เท่าไหร่คะ??

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ตอนที่ฟางโจวแต่งงาน ตอนนั้นเป็นระดับอภิมหาเศรษฐี รวยสุดของเมืองยู่เหอ มีเงินหลายล้านตำลึงเลยค่ะ ส่วนว่านางคืนเงินให้ญาติเมื่อไร ไม่แน่ใจค่ะ แต่ตั้งแต่บทที่ 383 เป็นต้นไป นางเอกเอานวัตกรรมผ้าฝ้ายที่ทอมาให้ญาติผู้พี่ สุกลซูดู และ ตกลงถ่ายทอดเทคโนโลยี่การผลิดผ้าฝ้าย การปลูกเมล็ดฝ้าย ให้สกุลซูเข้าหุ้นด้วย ซึ่งให้กลับคืนมากกว่าเงินหมื่นตำลึงที่ยืมไปอีกค่ะ

      ลบ
    2. แบบนี้ต้องสนุกเพิ่มข้ึนเรื่อยๆแน่ๆค่ะ
      ขอบคุณมากๆ

      ลบ
  4. ตื่นเต้นๆ ได้คนมีความสามารถมาอยู่ในมือ โชคดีจริงๆ

    ตอบลบ
  5. รอดูความสำเร็จของฟางโจว โปรเจคเธออลังมาก

    ตอบลบ
  6. คนดี พระคุ้มครองจริง ๆ

    ตอบลบ
  7. ดีจังได้คนเก่งมาช่วยแบ้ว

    ตอบลบ
  8. ต้องผลิตเครื่องทอผ้าแบบทันสมัยแน่ รวยๆๆๆๆๆๆๆๆ

    ตอบลบ
  9. ขอบคุณค่ะแปลดีขึ้นๆเรื่อยๆค่ะ

    ตอบลบ
  10. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  11. ขอบคุณที่สละเวลามาแปลให้อ่านค่ะ🌸😊🙏🏻

    ตอบลบ