วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

จับแม่ทัพไปไถนา บทที่ 199 -เริ่มต้นสั่งงานบ่าวไพร่ (2)


เหลียนฟางโจวลุกขึ้นยืนรอรับอาเจี่ยน  ใบหน้าหญิงสาวระบายยิ้ม ยามทอดมองชายหนุ่ม อาเจี่ยนยิ้มให้หญิงสาว พลางพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าการเดินทางทุกอย่างเรียบร้อยดี  ในใจของเหลียนฟางโจวคล้ายบังเกิดหมอกแห่งความสงบจางๆคลี่คลุม
ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะฐานะของครอบครัวเธอเพิ่งจะหยั่งฐานรากไปเพียงตื้นๆ เรียกว่าแทบไม่มีรากฐานเสียด้วยซ้ำ บ้านเธอเป็นครอบครัวชนบทแท้ๆ จู่ๆก็ซื้อบ่าวไพร่มารวดเดียวเป็นอันมาก หากควบคุมดูแลคนเหล่านั้นไม่ดี จะกลายเป็นการหาเหาใส่หัวให้ตนเองเสียเปล่าๆ
 พวกท่านมากันเร็วยิ่งนัก!”  เหลียนฟางโจวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
อาเจี่ยนแย้มยิ้ม “อาศัยว่าหนทางมิได้ไกลมากมายเท่าใดนัก! ซ้ำท้องฟ้ายังไม่มืดด้วย เอาเป็นว่าเจ้าสั่งให้พวกเขาไปจัดข้าวของๆพวกเขาก่อนเถิด!”

“อื้ม” เหลียนฟางโจวผงกศีรษะ  แล้วจึงสั่งให้บ่าวไพร่หน้าใหม่ทุกคนล้อมวงเข้ามาใกล้ๆ แรกสุดหญิงสาวอธิบายข้อห้ามและข้อปฏิบัติกับบ่าวไพร่ทุกคน ซึ่งไม่มีอะไรนอกจาก ให้ทำงานด้วยความรอบคอบและขยันขันแข็ง  ฝ่ายเจ้านายก็จะปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเที่ยงธรรมด้วย  และถ้ามีใครลักเล็กขโมยน้อย ล่วงประเวณี หรือหนีงานหนีการ มีจิตใจคิดไม่ซื่อ หรือคดโกงผู้เป็นนาย หากพบเข้าเมื่อใด จะขายออกไปทันทีโดยไม่มีการผ่อนปรนเด็ดขาด!
บรรดาบ่าวไพร่ล้วนรับคำกันอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นหญิงสาวจึงสั่งให้พวกเขาเข้าแถวมารับเสื้อผ้า เครื่องนอน และของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆเอาไปจัดเก็บในห้องพักของแต่ละคน
นอกจากนี้เหลียนฟางโจวยังสั่งให้จางซิ่วเอ๋อร์และน้องชายกลับไปจัดเก็บข้าวของในส่วนครอบครัวตนที่เรือนพักด้วย ขณะที่จางเสี่ยวจุนผู้พ่อเข้ามาช่วยฉินเฟิง และซูจื่อจี้ โดยทั้งสามคนช่วยกันขนเตียง ตู้ พร้อมข้าวของที่จำเป็นเข้าไปในที่พัก เหลียนเซ่อและน้องๆ ทั้งสามคนก็อาสาเข้าไปช่วยเหลือด้วย
เมื่อเหลียนฟางโจวเห็นว่างานทั้งหมดที่ตนวางไว้กำลังดำเนินไปได้ด้วยดี เหลียนฟางโจวจึงเดินเข้าไปยืนคุยกระซิบกระซาบกับอาเจี่ยน
 “คนงานพวกนี้ไว้ใจได้ไหม?”  เหลียนฟางโจวสอบถาม
อาเจี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในช่วงเดินทางมาที่นี่ยังไม่เห็นอันใดมากนัก เจ้ากำสัญญาขายตัวของพวกเขาไว้ในมือให้ดีก็แล้วกัน! ถึงอย่างไร ยามนี้เราคงพลิกสวรรค์เค้นหาความจริงออกมาไม่ได้หรอก เจ้าเลิกวิตกกังวลเถิดนะ!”
รอยยิ้มของเหลียนฟางโจวพลันเลือนหายไปโดยไม่รู้ตัว  “ที่ท่านพูดมาก็ถูก! ทว่าข้ายังรู้สึกว้าวุ่นใจไม่เลิก  ซ้ำยังไม่มั่นใจตนเองนัก! ข้าเป็นคนต่ำช้ามากไหม  ถึงได้ซื้อคนกลับมาทีเดียวมากมายปานนี้!”
 “ไม่หรอก” อาเจี่ยนจับจ้องหญิงสาวด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ครั้นแล้วจึงคลี่ยิ้มบาง “เจ้าเป็นคนจิตใจดีเกินไป จึงกลัวว่าหากพวกเขาเกิดไม่เชื่อฟังคำสั่งเจ้าขึ้นมา ก็เลยไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นควรจะทำอันใดดี อันที่จริง เจ้ามิได้บอกพวกเขาไปอย่างชัดเจนแล้วหรือ?  หากมีผู้ใดไม่เชื่อฟัง ก็จะขายออกไป! ในเมื่อภายภาคหน้าเจ้าตั้งใจอาศัยพวกเขาดูแลเรื่องฝ้าย เช่นนั้น..ก็ไม่ควรใจอ่อนเด็ดขาด!”
เหลียนฟางโจวรู้สึกสะท้านเยือกในใจ  ครั้นแล้วจึงพยักหน้า “โชคดีที่ได้ท่านเตือนสติ! ข้าเข้าใจที่ท่านต้องการสื่อแล้วล่ะ!”
อาเจี่ยนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ฟ้ายังไม่มืดนัก แถมยังต้องจัดเตรียมอย่างอื่นให้พวกเขาอีก  พวกเรากลับกันเถิด!”
“อื้ม! ข้าวานป้าสามอุ่นหมั่นโถว  และตุ๋นน้ำแกงร้อนๆอีกหนึ่งหม้อ รอเอาอาหารทั้งหมดมาส่งที่นี่แล้ว  งานของพวกเราก็หมดแล้วล่ะ!” เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
 “เช่นนั้น...ข้าล่วงหน้ากลับไปก่อน  เจ้ารอจนข้าเอาอาหารมาส่งอีกที!  ข้าจะได้รับพวกเจ้ากลับไปพร้อมกัน!” อาเจี่ยนเอ่ยยิ้มๆ  หากเจ้าสะดวก ช่วยเรียกฉินเฟิงกับซูจื่อจี้กลับไปด้วย จะได้ให้พวกเขาขนเครื่องนอนและเสื้อผ้าของพวกเขาที่บ้านโน้นมาที่นี่!”
เหลียนฟางโจวแย้มยิ้มเป็นเชิงตกลง
สักพักอาหารก็ถูกส่งมา เหลียนฟางโจวจึงเชื้อเชิญบ่าวไพร่ทุกคนให้ไปรวมตัวกันที่พื้นที่โถงรับประทานอาหาร พร้อมทั้งอธิบายกฏกติกามรรยาทอีกเล็กน้อย  วันนี้ฟ้ามืดแล้ว ยามนี้บ่าวไพร่ทุกผู้ทุกนามล้วนอยากไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดใจแทบขาด หลังจากเหลียนฟางโจวกล่าวจบ หญิงสาวได้เชิญฉินเฟิงและซูจื่อจี้มาแนะนำตนเองให้บรรดาผู้มาใหม่รู้จัก ซ้ำยังกำชับว่าจากนี้ไปให้ทุกคนเชื่อฟังและทำตามแผนงานของฉินเฟิงและซูจื่อจี้ บอกว่าพรุ่งนี้จะให้เหล่าคนงานไปเริ่มงานที่ไร่ เมื่องานเสร็จ ก็ให้กลับไปพร้อมกับอาเจี่ยนและเหลียนเซ่อ
บรรดาบ่าวไพร่ที่เหลียนฟางโจวซื้อมา  ต่างรู้กันดีว่า ในภายภาคหน้า พวกเขาจะต้องทำงานในไร่ เดิมทีพวกเขาไม่เคยทำงานที่ใช้แรงกายหนัก อีกทั้งไม่เคยทำงานรับใช้ในตระกูลเศรษฐีด้วย เมื่อถึงคราวต้องทำ จึงมิได้มีความคิดเห็นอะไรทั้งสิ้น
เมื่อพวกเขามองดูเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่เหลียนฟางโจวและบรรดาน้องชายน้องสาว รวมทั้งอาเจี่ยนและพวกพ้องสวมใส่ ก็ตระหนักชัดว่าครอบครัวนี้หาได้ร่ำรวยอันใดไม่ ภายในใจของบรรดาบ่าวไพร่ต่างอดวิตกกังวลถึงอนาคตในภายภาคหน้ามิได้
ทว่ายามเมื่อมาถึงที่นี่  ได้มาเห็นหมู่ตึกและอาคารสถานที่ๆไม่เอี่ยมอ่องเช่นนี้ พวกเขาไม่คิดเลยว่า สภาพความเป็นอยู่ที่นี่จะดีกว่าชีวิตแต่ก่อนมาของตน ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า จึงพาให้จิตใจพวกเขาบังเกิดความแช่มชื่นเบิกบานขึ้นมาอีกครั้ง ประหนึ่งต้นไม้เหี่ยวแห้งได้น้ำรดลงมาฉะนั้น ซ้ำเสื้อผ้าและเครื่องนอนที่ได้รับแจกจ่ายมาล้วนทำด้วยผ้าเนื้อหนา หมั่นโถวและเล่าปิ่งมื้อค่ำ เขาก็แจกมาให้พอกิน มิหนำซ้ำน้ำแกงร้อนกรุ่นนั่น ก็สัมผัสได้ถึงรสชาติของเนื้ออันหอมหวาน พูดได้เลยว่าทุกอย่างดีเกินกว่าที่วาดหวังเอาไว้มากโข
บ่าวไพร่หลายคนต่างตกลงใจว่า ตราบใดที่แม่นางเหลียนปฏิบัติกับพวกเขาเช่นนี้ไปตลอด จากนี้ไปพวกตนจะทุ่มเททำงานหนักอย่างแน่นอน และจะเชื่อฟังแม่นางเหลียนอย่างสุดจิตสุดใจ โดยไม่มีเงื่อนไข!
เมื่อเหลียนฟางโจวและคนอื่นๆกลับไปแล้ว  บรรดาบ่าวไพร่ต่างพากันพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้นระคนปิติยินดีอย่างอดไม่ได้ บางคนถึงกับถือโอกาสประจบประแจงฉินเฟิงและซูจื่อจี้  ไถ่ถามเรื่องราวของบ้านสกุลเหลียนกันยกใหญ่  จึงโดนฉินเฟิงและซูจื่อจี้ตอกกลับเสียงเนิบ ซึ่งพาให้ใจพวกเขาสะท้านเยือก ไม่กล้าพูดจาโดยไม่คิดอีก
เมื่อมื้อเย็นผ่านไป ฉินเฟิงจึงเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “พวกเจ้าได้ยินที่คุณหนูใหญ่พูดแล้วใช่ไหม? สะใภ้แซ่จางและแม่นางซิ่วเอ๋อร์ต้มน้ำร้อนเสร็จแล้ว ให้แต่ละคนไปอาบน้ำชำระคราบไคลบนตัวเสีย! รีบเขานอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานในไร่อีก! คุณหนูใหญ่ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความเมตตาเป็นกันเอง นั่นคือเงื่อนไขที่มีให้ ซึ่งพวกเจ้าทั้งหลายก็ต้องมีความซื่อสัตย์จริงใจ ต้องตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายด้วยความทุ่มเทด้วย! หาไม่แล้ว หึๆ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน คุณหนูของพวกเราเป็นผู้ที่เก่งกล้าสามารถยากหาผู้ใดเทียมตัวจริงเสียงจริง หากเมื่อใดมีใครประมาทบกพร่องต่อหน้าที่ ก็คงได้แต่ต้องโทษตัวเองแล้ว!”
พอพูดจบฉินเฟิงก็ตวาดเสียงดัง “ทุกคนแยกย้ายกันได้แล้ว!”
บ่าวไพร่แต่ละคนสะดุ้งเฮือกขึ้นคราหนึ่ง แล้วจึงเปล่งเสียงขานรับกันอย่างพร้อมเพรียง “ขอรับ ” ทว่าแทบทุกคนได้แต่รับคำไปแกนๆเท่านั้น จริงๆแล้วก็ไม่ได้เคร่งครัดหรือถือเป็นเรื่องจริงจังเท่าใดนัก
ทุกคนคิดเหมือนกันหมดว่า สาวน้อยอายุเพียง 14-15 ขวบปีผู้หนึ่ง จะเก่งกล้ามากมายเท่าไรกันเชียว? ยิ่งชั้นเชิงความสามารถของนางด้วยแล้ว ย่อมต้องมีจำกัดตามไปด้วย! ชัดเลยว่าหัวหน้าฉินต้องการหลอกพวกเราให้กลัวแหงๆ! ทำยังกับว่าพวกเราโง่งมกันหมด....
ฉินเฟิงและซูจื่อจี้กวาดตามองคนพวกนั้นอีกครา ก็แจ่มแจ้งในใจ คนทั้งสองแอบแค่นเสียงในใจอย่างอดไม่อยู่ ครั้นแล้วจึงหันกายเดินจากไป
ยามนี้ชายทั้งสองพักอยู่ด้วยกันที่เรือนพักทางปีกตะวันตก ซึ่งพวกเขาแยกนอนกันคนละห้อง
เมื่อกลับเข้ามาในเรือนพัก  ซูจื่อจี้จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  “คนเหล่านี้เกรงว่าคงยังไว้ใจไม่ได้หรอก คงต้องให้พวกเขาเห็นชั้นเชิงฝีมือของคุณหนูด้วยตาตนเองเสียก่อน ถึงจะสำเหนียกได้!”
ฉินเฟิงพรูลมหายใจ “เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย  มนุษย์เรามิได้เป็นเช่นนี้กันหรือไร! ฐานะของบ้านสกุลเหลียนยังง่อนแง่นเกินไป! ภายภาคหน้า พวกเราคงไม่อาจหลีกพ้นปัญหาที่จะดาหน้าเข้ามาหาอีกมาก คุณหนูบอกว่าต้องการความสามารถของพวกเรา นางไม่เคยดูแคลนพวกเราเลย!”
เมื่อกวาดตามองบรรดาข้าวของใหม่เอี่ยมอ่องทุกอย่างในห้องแวบหนึ่ง อีกทั้งภายในห้องก็ใหม่เอี่ยมสะอาดสะอ้าน  ฉินเฟิงจึงพรูลมหายใจออกมาอีกครั้ง
 “อืม นี่เป็นเรื่องธรรดา”  ซูจื่อจี้ผงกศีรษะอีกคน  พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรื่องการควบคุมสั่งงานผู้คน มีเจ้าเป็นตัวหลัก หากเจ้ามีแผนการอะไร ต้องการให้ข้าทำอะไร ก็เปิดปากบอกมาอย่าได้ลังเล พวกเราสองคนเป็นพี่น้องกัน ไม่มีเรื่องอันใดที่พูดไม่ได้หรอกนะ!”
หลังจากที่เหลียนฟางโจวได้หารือกับคนทั้งสองเรื่องการแบ่งงานกันทำแล้ว สรุปได้ว่า การควบคุมดูแลบุคลากรนี้ ฉินเฟิงจะเป็นผู้รับผิดชอบหลัก  ส่วนซูจื่อจี้จะเป็นกำลังเสริม  เพื่อที่ซูจื่อจี้จะได้มีเวลาและกำลังสมองไปคิดประดิษฐ์สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆได้ด้วย
แต่ก่อน ทั้งสองคนก็แบ่งงานกันทำเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน
 “นิสัยใจคอของจื่อจี้นั้น ข้ารู้ดี หากมีเรื่องอันใด ข้าย่อมบอกให้เจ้ารู้แน่!” ฉินเฟิงคลี่ยิ้ม พลางถอนหายใจเบาๆ “ตอนนี้ชีวิตพวกเราเพิ่งจะฟื้นตัวหลังจากย่ำแย่มานาน หากแม้นเราสองคนเกิดมีเรื่องผิดใจอะไรกันขึ้นมา นั่นอาจจะ....”
 “ไม่...พวกเราจะไม่ ตลอดชั่วชีวิตนี้จะไม่มีวันนั้น...” ซูจื่อจี้เอ่ยขึ้นในใจลึกๆ ทั้งสองคนต่างคนต่างมองหน้าและส่งยิ้มให้กันและกัน
หลี่ชื่อและจางซิ่วเอ๋อร์ต้มน้ำในแม่น้ำไปหลายหม้อ  จนพอให้บรรดาคนงานไว้กินไว้ใช้ โชคดีที่แม่น้ำอยู่ใกล้ๆ แค่เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว จึงไม่ต้องกังวลว่าจะขาดน้ำ
รอจนข้าวของทุกสิ่งทุกอย่างถูกจัดเก็บเรียบร้อยแล้ว  เวลาก็ผ่านไปถึงยามซวี (19.00-20.59 น) ครอบครัวสี่ชีวิต พากันกลับเข้าเรือนพักปิดประตูเพื่อพักผ่อน
ในเรือนพักที่มี 3 ปีก  พื้นที่สองปีกมีห้องทั้งหมดรวมหกห้อง จางซิ่วเอ๋อร์พักอยู่ในห้องหนึ่งบริเวณปีกด้านหลังของเรือน ส่วนจางเหลียงพักอยู่อีกห้องหนึ่ง  ตรงกลางระหว่างสองห้องคือห้องนอนใหญ่  ส่วนบริเวณพื้นที่ด้านนอกห้องเหล่านั้น ย่อมเป็นห้องโถงใหญ่ ห้องนอนใหญ่ที่อยู่ใกล้ประตูนี้ จางเสี่ยวจุนและภรรยาพักอยู่ หากต่อไปภายหลังมีใครมาเรียกให้เปิดประตูในตอนกลางคืน พวกเขาย่อมได้ยินโดยง่าย  ส่วนห้องอื่นๆที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน เอาไว้ใช้เก็บสิ่งของไม่มีราคาค่างวด รวมทั้งอ่างน้ำ ถังน้ำพร้อมบรรดาข้าวของที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั้งหลาย
จนถึงบัดนี้ ทุกคนในครอบครัวต่างพากันคิดว่าพวกตนกำลังฝันอยู่แน่ๆ  และยังทำใจยอมรับเหตุการณ์ที่ประสบอยู่ตอนนี้ไม่ได้ จางเหลียงตื่นเต้นดีใจนัก เด็กน้อยวิ่งวุ่นเข้าห้องโน้นออกห้องนี้หลายต่อหลายรอบ  พลางเอ่ยด้วยดวงตาทอประกายเจิดจ้า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ที่นี่เยี่ยมไปเลย!  ดีกว่าที่พวกเราเคยอยู่อาศัยมาแต่ก่อนมากมายนัก จริงหรือไม่เล่า! ข้ายังไม่เคยพักอยู่ในห้องใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อนเลย ยังจะมีห้องดีกว่านี้ที่ไหนอีกหรือ! ท่านพ่อ ท่านแม่ จากนี้ไปพวกเราทั้งหมดจะอยู่ที่นี่ใช่ไหม เราจะไม่ย้ายไปที่ไหนอีกแล้วใช่หรือไม่?”
--------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ การติดตาม และกำลังใจที่ผู้อ่านมีให้ค่ะ ^-^

13 ความคิดเห็น:

  1. ครอบครัวบ่าวใหม่น่ารักจัง

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณค่ะ ตื่นเต้นกับบรรดาบ่าวไพรจริงๆเจอนายดีชีวิตก็พลิกเปลี่ยนได้นะ

    ตอบลบ
  3. รักการแปลของคุณมาเลยค่ะ


    ชอบการใช้คำมาบรรยาย​ เหมือนเล่าให้ฟัง​ อ่านเพลินมากค่ะ

    ตอบลบ
  4. แปลดีมากมาก ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  5. มีความสุขจากการอ่านเรื่องนี้มาก ๆ เลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณค่ะ รอด้วยใจจดจ่อมาตลอด

    ตอบลบ
  7. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  8. ขอบคุณค่ะ แปลดีมากๆเลย

    ตอบลบ
  9. เด็กน้อยดีใจใหญ่เลยทำเรายิ้มตาม//ขอบคุณไรท์ค่ะแปลสนุกอีกแล้ว

    ตอบลบ
  10. ขอบคุณมากค่ะสนุกขึ้นเรื่อยๆ

    ตอบลบ
  11. เด็กน้อยน่ารัก แอบสงสารนะ ก่อนหน้านี้ คงไม่มีชีวิตที่ดีเท่าไหร่

    ตอบลบ
  12. ขอบคุณค่ะ
    ชอบครอบครัวใหม่จัง ดูเป็นคนดี เด็กน้อยก็มีชีวิตชีวา

    ตอบลบ
  13. สงสารเด็กน้อย อ่านไปยิ้มไปค่ะ

    ตอบลบ