วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2562

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 225 พบชุยเฉ้าซีอีก


หลี่มามาเข้าใจโดยพลัน  ใบหน้านางที่เปื้อนรอยยิ้มพลางเปล่งเสียง “ข้าน้อยช่างโง่เขลายิ่งนัก”  ว่าแล้วจึงรีบไปสั่งการ
เพียงไม่นานเหลียนฟางโจวก็กินบะหมี่จนอิ่มหนำ หญิงสาวจึงเข้ามาร่ำลาฟางฉิง
ฟางฉิงกุมมือหญิงสาว พลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าทิ้งบ้านไปไม่ได้จริงๆ  ข้าเองก็รั้งเจ้าเอาไว้มิได้ด้วย ! ความเป็นญาติพี่น้องระหว่างเราหนักแน่นนักมิจำเป็นต้องพูดออกมา คราวหน้าหากงานไม่ยุ่งแล้ว อากาศอบอุ่นสบายขึ้น  เจ้าอย่าลืมมาเยี่ยมข้าอีกนะ!  จำไว้ว่าให้พาพวกฉิงเอ๋อร์มาด้วยล่ะ !”
เหลียนฟางโจวรับคำพร้อมรอยยิ้ม

ครั้นแล้วหญิงสาวจึงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าจ้างรถม้ามาจากเมืองยู่เหอ ให้มารอรับกลับ  ข้าเองควรไปเสียที !  เปี่ยวเจี๋ยรักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ!
ฟางฉิงพยักหน้าแย้มยิ้ม “อื้ม เดินทางระวังตัวด้วย ! “ ซ้ำนางยังชี้ไปยังข้าวของบนโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ให้  “ข้าวของพื้นๆพวกนี้  ฝากเพิ่มให้เจ้าที่อุตส่าห์มีแก่ใจเดินทางมาเยี่ยมเยียน เนื้อแห้งนี้ทางห้องครัวของจวนทำขึ้น  รสชาตินับว่าไม่เลว  ซ้ำยังเป็นของว่างที่นิยมรับประทานในเจียงหนาน สามารถเก็บไว้ได้หลายวัน  ลองเอากลับไปชิมดูนะ !”
เหลียงฟางโจวยิ้มขอบคุณ  ฟางฉิงยังให้หลี่มามานำขบวนบ่าวรับใช้ออกมาส่งหญิงสาว
หลี่มามาที่กำลังพาเหลียนฟางโจวออกมา  ได้ส่งคนรุดไปเรียกฉินเฟิงและจางซิ่วเอ๋อร์ล่วงหน้าแล้ว
รอจนเหลียนฟางโจวออกมาจากประตูที่สอง  ฉินเฟิงและจางซิ่วเอ๋อร์รอหญิงสาวผู้เป็นนายอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นเธอออกมา ก็รีบสาวเท้าเข้ามาทักทาย
 “ขอให้แม่นางเหลียนเดินทางโดยสวัสดิภาพ ข้าน้อยขอส่งเพียงเท่านี้เจ้าค่ะ !”  หลี่มามาสั่งการนายประตูให้ช่วยลำเลียงบรรดาของฝากขึ้นรถม้าพร้อมกับส่งพวกเหลียนฟางโจวที่รถ แล้วจึงยอบกายคารวะเหลียนฟางโจว ก่อนจะกล่าวขอตัว
เหลียนฟางโจวพยักหน้าขณะที่หลี่มามาปลีกตัวเดินเข้าไปในคฤหาสน์ หญิงสาวพร้อมด้วยฉินเฟิงและจางซิ่วเอ๋อร์จึงก้าวขึ้นรถม้า แล้วรถม้าเคลื่อนตัวออกเดินทาง
เนื่องด้วยเหลียนฟางโจวได้บอกไว้ว่าอีกสักพักก็จะออกมาจากจวน  รถม้าที่จ้างมาจึงรออยู่ตรงปากตรอกทางเข้า ซึ่งอยู่ติดกับแผงขายอาหารข้างๆ  สารถีรถม้าเพิ่งจะกินอาหารไปได้ไม่เท่าไร พอเห็นพวกเหลียนฟางโจวออกมา ก็ใจเต้นโลด
ขณะขนข้าวของมาจัดวางบนรถให้เรียบร้อย  เหลียนฟางโจวยื่นสินน้ำใจให้แก่ยามเฝ้าประตูโดยไม่ลังเล  คราวก่อนยามเฝ้าประตูเองก็รู้อยู่แล้วว่าหญิงสาวเป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวางคนหนึ่ง เขาจึงกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ
เหลียนฟางโจวขึ้นไปรอบนรถม้า  แล้วจึงให้สารถีขับรถกลับ
เมื่อการดั้นด้นเดินทางไกลนี้สิ้นสุดลงแล้ว  รอให้เหลียนเซ่อและอาเจี่ยนกลับมา แล้วจึงค่อยมาเตรียมงานฉลองปีใหม่  เธอก็เป็นอันหยุดพักผ่อนได้อย่างสบายใจเสียที
ระหว่างเดินทางเหลียนฟางโจว ฉินเฟิง และจางซิ่วเอ๋อร์ต่างพูดคุยสัพเพเหระกันเป็นครั้งคราว ขณะนี้รถม้าออกพ้นตัวเมืองชวงหลิวแล้ว ความเร็วรถจึงเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ใครจะรู้เล่าว่าพอรถม้าเพิ่งวิ่งไปตามถนนได้ราว 7-8 ลี้  จู่ๆก็มีเสียงกีบเท้ามาดึงขึ้นมาทางเบื้องหลัง ซ้ำยังมีเสียงตะโกนเรียกชื่อเธอ ดังลิ่วมาแต่ใกลอีกต่างหาก “แม่นางเหลียน แม่นางเหลียน”
จางซิ่วเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจนัก จึงอดนั่งยืดตัวตรง คอยเงี่ยหูฟังไม่ได้  สาวใช้เอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “คุณหนู นี่มันเสียงคนเรียกชื่อท่านใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ฉินเฟิงได้ยินเสียงตะโกนเรียกด้วยเหมือนกัน “ข้าน้อยก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียก แม่นางเหลียนอยู่ขอรับ เสียงตะโกนเรียก แม่นางเหลียนจริงๆด้วย ซ้ำยังเรียกไม่หยุดเลย อาจเป็นคนจากจวนสกุลซูก็ได้นะขอรับ?
คนของจวนสกุลซูรึ?  คนของจวนสกุลซูอะไรที่ไหนกัน !
เหลียนฟางโจวเอาแต่ครุ่นคิดจนหัวแทบแตก ชัดแจ้งแล้วนั่นมันเสียงชุยเฉ้าซีนี่นา !  บุรุษผู้นี้ไยถึงมาที่นี่ได้ล่ะ!
เสียงฝีเท้าม้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ  เสียงร้องเรียกนั้นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เหลียนฟางโจวหมดสิทธิ์แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอีกต่อไป หญิงสาวจึงสั่งให้สารถีจอดรถชิดริมทาง
แฮ่กๆ...” ตามมาด้วยเสียงหอบ พร้อมร่างในชุดแต่งกายหรูหราบนหลังม้าปรากฏตัวขึ้น  บุรุษหน้าตาหล่อเหลาผู้สวมชุดคลุมขนสัตว์กันลม ดึงบังเหียนให้ม้าหยุด แล้วชักม้าเข้ามาข้างๆหน้าต่าง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฟางโจว นั่นเจ้าใช่หรือไม่?”
เหลียนฟางโจวเลิกผ้าม่านขึ้น  พลางผงกศรีษะแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ท่านชายชุยน่ะเอง ท่านเรียกข้าไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดรึ?”
ชุยเฉ้าซีถือว่าเป็นผู้มีพระคุณของฉินเฟิง  ฉินเฟิงจึงรีบค้อมเอวคารวะชายหนุ่ม “ท่านชายชุย!”
ชุยเฉ้าซีเพียงเหลือบมองและพยักหน้าให้ฉินเฟิงคราหนึ่ง  ความสนใจทั้งหมดของชายหนุ่มจดจ่ออยู่ที่ร่างของเหลียนฟางโจวเพียงเท่านั้น หญิงสาวเลิกเรียวคิ้วงดงามขึ้น  ดวงตาดอกท้อเรียวยาวคู่นั้นสะท้อนวูบไหวอยู่ในดวงตาหญิงสาว มันเปล่งประกายร้อนแรงจนผู้คนไม่กล้าสบตาเอาตรงๆ
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างตัดพ้อ “ฟางโจว เจ้าช่างเหลือเกินจริงๆ  ไยเจ้าแวะมาเดี๋ยวเดียวและจากไปทันทีเช่นนี้เล่า? เคราะห์ดีที่ข้ากลับมาถึงจวน แล้วได้ยินข่าวจากพี่สะใภ้ที่นั่น หากช้ากว่านี้อีกนิดเดียว  ข้ามิต้องไล่ตามเจ้าไปถึงเมืองยู่เหอหรอกรึ !”
ขณะที่ปากบ่นพึมพำ ทว่าดวงหน้าหล่อเหลาปรากฏเพียงรอยยิ้มฉาบทา
เหลียนฟางโจวจำใจส่งยิ้มตอบอย่างอดทน  “ข้ายังมีธุระทางบ้านต้องรีบไปสะสางน่ะ คงมิอาจชักช้าได้ !  ไฉนท่านถึงยังไม่กลับบ้านอีกเล่า?”
ครั้นแล้วชุยเฉ้าซีจึงเอ่ยแย้มยิ้ม “กลับบ้าน  บ้านที่น่าเบื่ออีกต่างหาก พอดีท่านพ่อท่านแม่ให้ข้ามาส่งของขวัญปีใหม่ให้ท่านตาท่านยายที่สกุลซูน่ะ เพราะฉะนั้นข้าจึงมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อวาน!  หาไม่แล้ว คงไม่มีโอกาสได้มาพบเจ้าโดยบังเอิญเช่นนี้!  ที่จริงเหลืออีกไม่กี่วันก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว  ไยเจ้าถึงต้องรีบเร่งกลับไปปานนี้  อยู่ต่ออีกสักสองวันเถอะนะ !
เหลียนฟางโจวส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ช่วงก่อนปีใหม่ เปี่ยวเจี่ยน่าจะยุ่งเสียด้วยซ้ำ อีกอย่างคนบ้านข้าก็ร่วมเดินทางมาไม่ได้ !” พอกล่าวจบก็รีบเอ่ยเสริมด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “แล้วไหนข้ายังจะต้องเร่งเดินทางกลับอีก  ซ้ำยังกลับมาทำให้ท่านต้องลำบากออกมาจากเมืองเพื่อมาส่งป็นพิเศษอีก  ช่วงนี้อากาศหนาวเย็นนัก  ท่านรีบกลับไปเถิดนะ!”
“ข้า...” ชุยเฉ้าซีจับจ้องนางอย่างร้อนใจ นึกอยากพูดอะไรออกไป ทว่าสายตาพลันเหลือบเห็นฉินเฟิงและจางซิ่วเอ๋อร์  ชายหนุ่มจึงไม่สะดวกจะเอ่ยคำใดออกมา อีกทั้งยังเก้อเขินไม่สะดวกกล่าวคำขอร้องให้เหลียนฟางโจวลงจากรถม้า ครั้นจะปล่อยนางจากไปเช่นนี้  ในใจเขานึกลังเลยิ่งนัก ครั้นแล้วชายหนุ่มจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไหนๆข้าเองจะกลับบ้านวันมะรืนอยู่แล้ว ซ้ำช่วงนี้ยังไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นแล้ว...ข้าไปส่งเจ้าให้ถึงบ้านก่อนก็แล้วกันนะ!”
ใบหน้าของชุยอี้ที่ติดตามชายหนุ่มอยู่ข้างหลังเหยเก  บ่าวหนุ่มสะดุ้งโหยงด้วยความตื่นตระหนก รีบร้องออกมาทันที “นายท่าน !”
ชุยเฉ้าซีหันกลับไปขึงตาใส่บ่าวหนุ่ม พลางเอ่ยเสียกดต่ำอย่างไม่สบอารมณ์ “หุบปาก !  เจ้ากลับไปแจ้งท่านตาท่านยายและเปี่ยวเกอซะ บอกแค่ว่าข้าไปเยี่ยมเยียนสหาย พรุ่งนี้ถึงกลับ!  ไปได้แล้ว! ฟางโจวหาใช่คนนอก แล้วเจ้าก็ไม่ต้องตามมาด้วยล่ะ !”
“นายท่าน  ไม่ได้นะขอรับ!  นายใหญ่กับนายหญิงใหญ่ต้องสังหารบ่าวเป็นแน่ !” ชุยอี้กลัดกลุ้มจนต้องคร่ำครวญออกมา  เขาส่งสายตาอ้อนวอนไปให้เหลียนฟางโจว
เหลียนฟางโจวแอบกลอกตาคราหนึ่ง  แอบบ่นในใจว่าฉันนี่นะ จะไม่ใช่คนนอกได้อย่างไร? ช่างพูดออกมาได้หน้าตาเฉย !
ไม่ต้องรอให้ชุยอี้มาคุกเข่าอ้อนวอน  เหลียนฟางโจวเองก็ไม่ยอมให้ชุยเฉ้าซีทำตัวเลอะเลือนร่วมเดินทางมากับตนเองเด็ดขาด สีหน้าหญิงสาวพลันขรึมลงเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้ความเกรงใจอีกต่อไป “ไม่ได้!  บ้านข้าไม่มีใครว่างพอมารับรองท่านได้ !  ท่านกลับไปหาผู้อาวุโสจะดีกว่านะ อย่าได้ตามไปให้ลำบากเลย !”
“ใช่แล้ว ใช่แล้วนายท่านสาม พวกเรากลับไปก่อนดีกว่านะขอรับ !  อากาศหนาวยะเยือกขนาดนี้ ท่านจะไปพบปะสนทนาเฮฮากับพวกเขาไหวหรือ?  พวกเรารีบกลับจะดีกว่านะขอรับ!”  ชุยอี้ร้อนใจนึกอยากจะเอื้อมมือลากตัวชุยเฉ้าซีให้มาด้วยกันนัก  แต่ก็มิกล้า
“ฟางโจว....” ชุยเฉ้าซีสบตาเหลียนฟางโจวด้วยด้วยความร้าวรานขึ้นอีกสองส่วน  ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างดื้อดึง  “ข้าเพียงแค่  คิดไปบ้านเจ้าเพื่อสำรวจดู....”
เหลียนฟางโจวค่อนข้างอึดอัดในโพรงอก  ชุยเฉ้าซีนับได้ว่าเป็นผู้ที่ช่วยเหลือเธอมาตลอด เธอไม่ควรพูดกับเขาเช่นนี้เลยจริงๆ  แต่ใครใช้ให้หมอนี่ไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมเลยเล่า?
หญิงสาวคลายสีหน้าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านชายชุย ข้ามิได้หมายความเป็นอื่น วันที่อากาศหนาวเย็นปานนี้  แค่ท่านวิ่งออกมาเช่นนี้  หากท่านเกิดป่วยเป็นไข้ลมหนาวขึ้นมา การเฉลิมฉลองวันปีใหม่ ข้าจะทำใจฉลองเข้าไปได้อย่างไร? ท่าน...หากท่านอยากไปจริงๆ มิสู้รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า อากาศอบอุ่น ดอกไม้บานสะพรั่ง แล้วท่านค่อยไปก็ยังไม่สาย!”
ใบหน้าของชุยเฉ้าซีกลับมาสดใสอีกครั้ง ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ข้ารู้ดีว่าฟางโจวจะไม่ทำเยี่ยงนั้นกับข้า !  ไม่เป็นไร รออีกไม่นาน ข้าจะไปเยี่ยมเยียนเจ้าอีกคราก็แล้วกัน! จริงสิ ภายหลังเจ้าซื้อข้าทาสมาเพิ่มอีกหรือไม่?  ไม่รู้ว่ามีพอใช้งานไหม? คนพวกนั้นยังเชื่อฟังประพฤติดีอยู่หรือเปล่า? มิเช่นนั้นข้าจะกลับไปช่วยเจ้าเสาะหาข้าทาสสักสิบคนมาอบรบขัดเกลาให้ดีแล้วค่อยส่งมาให้เจ้าใช้สอยดีหรือไม่?”
เหลียนฟางโจวบังเกิดความอบอุ่นสายหนึ่งขึ้นในใจ หญิงสาวคลี่รอยยิ้ม “ข้าซื้อคนมาแล้วสิบคน  ทั้งหมดยังมีความประพฤติดีอยู่!”
เมื่อชุยเฉ้าซีได้ทราบว่ามีการซื้อคนเข้ามาแล้ว ซ้ำยังมีความประพฤติดี  สีหน้าเขาฉายแววไม่เชื่อถือเพิ่มขึ้นสองส่วน
เหลียงฟางโจวลอบถอนหายใจ  พลางแอบบ่นในใจว่า ยังไงเขาก็เป็นท่านชายผู้สูงส่งมาจากตระกูลสูงศักดิ์ที่พรั่งพร้อมเงินทองและอำนาจ  ความเคารพเชื่อฟังเป็นที่รู้กันว่าย่อมมาจากการใช้อำนาจกดข่มผู้ต่ำกว่าเอาไว้ ข้าทาสที่คิดคดโกงเจ้านายอย่างเขาดูเหมือนมีให้เห็นเป็นอันมาก เขาคงคิดว่าคนอย่างเธอที่กำพร้าบิดามารดา อีกทั้งไร้รากฐานรองรับใดๆ  ซ้ำยังขาดผู้อาวุโสผู้เปี่ยมความรู้และประสบการณ์คอยชี้แนะหรือช่วยเหลือดูแล  มือใหม่หัดซื้อทาสเช่นนี้ ไหนเลยจะสามารถกำราบบริวารให้เชื่อฟังได้เล่า?
พอเห็นเขาผู้มีบุคลิกโดดเด่นที่ทั้งวันได้แต่หัวเราะยิ้มแย้มเป็นนิจมีท่าทีเช่นนี้  หญิงสาวก็มิรู้สึกกังขาในใจแต่อย่างใด
-------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ ^_^
ช่วงนี้งานรัตตัวจริงๆค่ะ  ต้องขออภัยที่อัพช้าด้วยนะคะ

17 ความคิดเห็น:

  1. คาแรคเตอร์พระรองจริง ๆหล่อ รวย นางเอกไม่รัก

    ตอบลบ
  2. ไรท์มาแล้วดีใจๆเข้ามาส่องบ่อยๆค่ะว่าจะมาอัพรึยังช่วงนี้ฝนตกบ่อยไรท์ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ

    ตอบลบ
  3. มาเฝ้าทุ๊กกกวันเลยคร่าาไรท์ที่รัก
    ขอบคุณนะคะไรท์ที่รัก 😘

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณค่ะ มาให้หายคิดถึงนะคะรักษาสุขภาพด้วยค่ะหน้าฝนแล้ว

    ตอบลบ
  5. สงสารท่านชายเหมือนกันนะเนี้ย

    ตอบลบ
  6. ไรท์มาแล้ววววว ขอบคุณมากค่ะ

    ตอบลบ
  7. ขอบคุณมากค่ะ
    พระรองใจดี อบอุ่นแบบนี้ มาทางแม่ยกดีกว่าจ้า จะปลอบใจให้นะ นางเอกเขาคู่กับท่านแม่ทัพแล้ว อย่าไปกินแห้วเลยนะ

    ตอบลบ
  8. ท่านชายชุย น่าเอ็นดูจริงๆ
    สงสารนางนะนี่

    ตอบลบ
  9. ขอบคุณมากนะคะ คุณชายชุยบทเดียวนี่พูดเยอะกว่าพระเอก 10บท XD

    ตอบลบ
  10. ขอบคุณที่อัพค้าบผมมมมม

    ตอบลบ
  11. ฟางโจวก็น่าจะเห็นใจท่านชายบ้างเจอทีไรก็พยายามไล่ทุกทีเป็นพระรองที่อาภัพจริงๆ

    ตอบลบ
  12. รักนะจ๊ะ... รักคนแปลจ้า... รอได้เสมอน๊าาา

    ตอบลบ
  13. ไม่ระบุชื่อ30 กรกฎาคม 2562 เวลา 01:05

    รำคาญนางเอก นางเอกไม่โง่พอที่จะมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดยังไง แล้วนางเอกก็ไม่ได้ชอบพอท่านชายอะไรนั่นด้วย ทำไมต้องให้ความหวังทางนั้นด้วย หลายครั้งแล้วนะ แล้วอีท่ายชายชุยนี่ก็ชอบตื้อนางเอกลำบากใจก็ดูสีหน้าไม่ออก? โง่ว่ะ ส่วนนางเอกน่าจะใบ้ไปหน่อยนะว่าคิดยังไงกับอีกฝ่าย เบื่อกับความบ้าบอสองคนนี้จริงๆ

    ตอบลบ
  14. ฟางโจวได้ลับสมองกะท่านชายซุยอีกแล้ว

    ตอบลบ
  15. ท่านชายชุยตื้อสุดฤทธิ์ อยากมห้ท่านชายมีคู่ด้วย ดูเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เลวร้ายอ่ะ

    ตอบลบ