หลี่มามาเข้าใจโดยพลัน ใบหน้านางที่เปื้อนรอยยิ้มพลางเปล่งเสียง
“ข้าน้อยช่างโง่เขลายิ่งนัก” ว่าแล้วจึงรีบไปสั่งการ
เพียงไม่นานเหลียนฟางโจวก็กินบะหมี่จนอิ่มหนำ หญิงสาวจึงเข้ามาร่ำลาฟางฉิง
ฟางฉิงกุมมือหญิงสาว พลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าทิ้งบ้านไปไม่ได้จริงๆ ข้าเองก็รั้งเจ้าเอาไว้มิได้ด้วย ! ความเป็นญาติพี่น้องระหว่างเราหนักแน่นนักมิจำเป็นต้องพูดออกมา
คราวหน้าหากงานไม่ยุ่งแล้ว อากาศอบอุ่นสบายขึ้น
เจ้าอย่าลืมมาเยี่ยมข้าอีกนะ! จำไว้ว่าให้พาพวกฉิงเอ๋อร์มาด้วยล่ะ !”
เหลียนฟางโจวรับคำพร้อมรอยยิ้ม
ครั้นแล้วหญิงสาวจึงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ข้าจ้างรถม้ามาจากเมืองยู่เหอ ให้มารอรับกลับ ข้าเองควรไปเสียที ! เปี่ยวเจี๋ยรักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ!
ฟางฉิงพยักหน้าแย้มยิ้ม “อื้ม
เดินทางระวังตัวด้วย ! “
ซ้ำนางยังชี้ไปยังข้าวของบนโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ให้ “ข้าวของพื้นๆพวกนี้ ฝากเพิ่มให้เจ้าที่อุตส่าห์มีแก่ใจเดินทางมาเยี่ยมเยียน
เนื้อแห้งนี้ทางห้องครัวของจวนทำขึ้น รสชาตินับว่าไม่เลว ซ้ำยังเป็นของว่างที่นิยมรับประทานในเจียงหนาน
สามารถเก็บไว้ได้หลายวัน ลองเอากลับไปชิมดูนะ
!”
เหลียงฟางโจวยิ้มขอบคุณ
ฟางฉิงยังให้หลี่มามานำขบวนบ่าวรับใช้ออกมาส่งหญิงสาว
หลี่มามาที่กำลังพาเหลียนฟางโจวออกมา ได้ส่งคนรุดไปเรียกฉินเฟิงและจางซิ่วเอ๋อร์ล่วงหน้าแล้ว
รอจนเหลียนฟางโจวออกมาจากประตูที่สอง
ฉินเฟิงและจางซิ่วเอ๋อร์รอหญิงสาวผู้เป็นนายอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นเธอออกมา ก็รีบสาวเท้าเข้ามาทักทาย
“ขอให้แม่นางเหลียนเดินทางโดยสวัสดิภาพ
ข้าน้อยขอส่งเพียงเท่านี้เจ้าค่ะ !” หลี่มามาสั่งการนายประตูให้ช่วยลำเลียงบรรดาของฝากขึ้นรถม้าพร้อมกับส่งพวกเหลียนฟางโจวที่รถ
แล้วจึงยอบกายคารวะเหลียนฟางโจว ก่อนจะกล่าวขอตัว
เหลียนฟางโจวพยักหน้าขณะที่หลี่มามาปลีกตัวเดินเข้าไปในคฤหาสน์ หญิงสาวพร้อมด้วยฉินเฟิงและจางซิ่วเอ๋อร์จึงก้าวขึ้นรถม้า
แล้วรถม้าเคลื่อนตัวออกเดินทาง
เนื่องด้วยเหลียนฟางโจวได้บอกไว้ว่าอีกสักพักก็จะออกมาจากจวน รถม้าที่จ้างมาจึงรออยู่ตรงปากตรอกทางเข้า ซึ่งอยู่ติดกับแผงขายอาหารข้างๆ
สารถีรถม้าเพิ่งจะกินอาหารไปได้ไม่เท่าไร พอเห็นพวกเหลียนฟางโจวออกมา ก็ใจเต้นโลด
ขณะขนข้าวของมาจัดวางบนรถให้เรียบร้อย เหลียนฟางโจวยื่นสินน้ำใจให้แก่ยามเฝ้าประตูโดยไม่ลังเล คราวก่อนยามเฝ้าประตูเองก็รู้อยู่แล้วว่าหญิงสาวเป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวางคนหนึ่ง
เขาจึงกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ
เหลียนฟางโจวขึ้นไปรอบนรถม้า แล้วจึงให้สารถีขับรถกลับ
เมื่อการดั้นด้นเดินทางไกลนี้สิ้นสุดลงแล้ว รอให้เหลียนเซ่อและอาเจี่ยนกลับมา แล้วจึงค่อยมาเตรียมงานฉลองปีใหม่
เธอก็เป็นอันหยุดพักผ่อนได้อย่างสบายใจเสียที
ระหว่างเดินทางเหลียนฟางโจว ฉินเฟิง และจางซิ่วเอ๋อร์ต่างพูดคุยสัพเพเหระกันเป็นครั้งคราว
ขณะนี้รถม้าออกพ้นตัวเมืองชวงหลิวแล้ว ความเร็วรถจึงเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ใครจะรู้เล่าว่าพอรถม้าเพิ่งวิ่งไปตามถนนได้ราว 7-8 ลี้ จู่ๆก็มีเสียงกีบเท้ามาดึงขึ้นมาทางเบื้องหลัง ซ้ำยังมีเสียงตะโกนเรียกชื่อเธอ
ดังลิ่วมาแต่ใกลอีกต่างหาก “แม่นางเหลียน
แม่นางเหลียน”
จางซิ่วเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจนัก จึงอดนั่งยืดตัวตรง
คอยเงี่ยหูฟังไม่ได้ สาวใช้เอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“คุณหนู นี่มันเสียงคนเรียกชื่อท่านใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
ฉินเฟิงได้ยินเสียงตะโกนเรียกด้วยเหมือนกัน “ข้าน้อยก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียก
‘แม่นางเหลียน‘ อยู่ขอรับ เสียงตะโกนเรียก แม่นางเหลียนจริงๆด้วย ซ้ำยังเรียกไม่หยุดเลย
อาจเป็นคนจากจวนสกุลซูก็ได้นะขอรับ?”
คนของจวนสกุลซูรึ? คนของจวนสกุลซูอะไรที่ไหนกัน !
เหลียนฟางโจวเอาแต่ครุ่นคิดจนหัวแทบแตก ชัดแจ้งแล้วนั่นมันเสียงชุยเฉ้าซีนี่นา
! บุรุษผู้นี้ไยถึงมาที่นี่ได้ล่ะ!
เสียงฝีเท้าม้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เสียงร้องเรียกนั้นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
เหลียนฟางโจวหมดสิทธิ์แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอีกต่อไป หญิงสาวจึงสั่งให้สารถีจอดรถชิดริมทาง
“แฮ่กๆ...” ตามมาด้วยเสียงหอบ พร้อมร่างในชุดแต่งกายหรูหราบนหลังม้าปรากฏตัวขึ้น บุรุษหน้าตาหล่อเหลาผู้สวมชุดคลุมขนสัตว์กันลม ดึงบังเหียนให้ม้าหยุด
แล้วชักม้าเข้ามาข้างๆหน้าต่าง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฟางโจว นั่นเจ้าใช่หรือไม่?”
เหลียนฟางโจวเลิกผ้าม่านขึ้น พลางผงกศรีษะแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ท่านชายชุยน่ะเอง
ท่านเรียกข้าไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดรึ?”
ชุยเฉ้าซีถือว่าเป็นผู้มีพระคุณของฉินเฟิง
ฉินเฟิงจึงรีบค้อมเอวคารวะชายหนุ่ม “ท่านชายชุย!”
ชุยเฉ้าซีเพียงเหลือบมองและพยักหน้าให้ฉินเฟิงคราหนึ่ง
ความสนใจทั้งหมดของชายหนุ่มจดจ่ออยู่ที่ร่างของเหลียนฟางโจวเพียงเท่านั้น
หญิงสาวเลิกเรียวคิ้วงดงามขึ้น ดวงตาดอกท้อเรียวยาวคู่นั้นสะท้อนวูบไหวอยู่ในดวงตาหญิงสาว
มันเปล่งประกายร้อนแรงจนผู้คนไม่กล้าสบตาเอาตรงๆ
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างตัดพ้อ “ฟางโจว เจ้าช่างเหลือเกินจริงๆ ไยเจ้าแวะมาเดี๋ยวเดียวและจากไปทันทีเช่นนี้เล่า? เคราะห์ดีที่ข้ากลับมาถึงจวน แล้วได้ยินข่าวจากพี่สะใภ้ที่นั่น
หากช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ข้ามิต้องไล่ตามเจ้าไปถึงเมืองยู่เหอหรอกรึ
!”
ขณะที่ปากบ่นพึมพำ ทว่าดวงหน้าหล่อเหลาปรากฏเพียงรอยยิ้มฉาบทา
เหลียนฟางโจวจำใจส่งยิ้มตอบอย่างอดทน “ข้ายังมีธุระทางบ้านต้องรีบไปสะสางน่ะ คงมิอาจชักช้าได้
! ไฉนท่านถึงยังไม่กลับบ้านอีกเล่า?”
ครั้นแล้วชุยเฉ้าซีจึงเอ่ยแย้มยิ้ม “กลับบ้าน บ้านที่น่าเบื่ออีกต่างหาก พอดีท่านพ่อท่านแม่ให้ข้ามาส่งของขวัญปีใหม่ให้ท่านตาท่านยายที่สกุลซูน่ะ
เพราะฉะนั้นข้าจึงมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อวาน! หาไม่แล้ว คงไม่มีโอกาสได้มาพบเจ้าโดยบังเอิญเช่นนี้! ที่จริงเหลืออีกไม่กี่วันก็จะถึงวันปีใหม่แล้ว ไยเจ้าถึงต้องรีบเร่งกลับไปปานนี้ อยู่ต่ออีกสักสองวันเถอะนะ !
เหลียนฟางโจวส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ช่วงก่อนปีใหม่
เปี่ยวเจี่ยน่าจะยุ่งเสียด้วยซ้ำ อีกอย่างคนบ้านข้าก็ร่วมเดินทางมาไม่ได้ !” พอกล่าวจบก็รีบเอ่ยเสริมด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “แล้วไหนข้ายังจะต้องเร่งเดินทางกลับอีก
ซ้ำยังกลับมาทำให้ท่านต้องลำบากออกมาจากเมืองเพื่อมาส่งป็นพิเศษอีก ช่วงนี้อากาศหนาวเย็นนัก ท่านรีบกลับไปเถิดนะ!”
“ข้า...” ชุยเฉ้าซีจับจ้องนางอย่างร้อนใจ นึกอยากพูดอะไรออกไป
ทว่าสายตาพลันเหลือบเห็นฉินเฟิงและจางซิ่วเอ๋อร์ ชายหนุ่มจึงไม่สะดวกจะเอ่ยคำใดออกมา อีกทั้งยังเก้อเขินไม่สะดวกกล่าวคำขอร้องให้เหลียนฟางโจวลงจากรถม้า
ครั้นจะปล่อยนางจากไปเช่นนี้ ในใจเขานึกลังเลยิ่งนัก
ครั้นแล้วชายหนุ่มจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไหนๆข้าเองจะกลับบ้านวันมะรืนอยู่แล้ว ซ้ำช่วงนี้ยังไม่มีอะไรทำ
เช่นนั้นแล้ว...ข้าไปส่งเจ้าให้ถึงบ้านก่อนก็แล้วกันนะ!”
ใบหน้าของชุยอี้ที่ติดตามชายหนุ่มอยู่ข้างหลังเหยเก บ่าวหนุ่มสะดุ้งโหยงด้วยความตื่นตระหนก
รีบร้องออกมาทันที “นายท่าน !”
ชุยเฉ้าซีหันกลับไปขึงตาใส่บ่าวหนุ่ม พลางเอ่ยเสียกดต่ำอย่างไม่สบอารมณ์
“หุบปาก ! เจ้ากลับไปแจ้งท่านตาท่านยายและเปี่ยวเกอซะ บอกแค่ว่าข้าไปเยี่ยมเยียนสหาย
พรุ่งนี้ถึงกลับ! ไปได้แล้ว! ฟางโจวหาใช่คนนอก แล้วเจ้าก็ไม่ต้องตามมาด้วยล่ะ
!”
“นายท่าน
ไม่ได้นะขอรับ! นายใหญ่กับนายหญิงใหญ่ต้องสังหารบ่าวเป็นแน่ !” ชุยอี้กลัดกลุ้มจนต้องคร่ำครวญออกมา
เขาส่งสายตาอ้อนวอนไปให้เหลียนฟางโจว
เหลียนฟางโจวแอบกลอกตาคราหนึ่ง แอบบ่นในใจว่าฉันนี่นะ จะไม่ใช่คนนอกได้อย่างไร? ช่างพูดออกมาได้หน้าตาเฉย !
ไม่ต้องรอให้ชุยอี้มาคุกเข่าอ้อนวอน เหลียนฟางโจวเองก็ไม่ยอมให้ชุยเฉ้าซีทำตัวเลอะเลือนร่วมเดินทางมากับตนเองเด็ดขาด
สีหน้าหญิงสาวพลันขรึมลงเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้ความเกรงใจอีกต่อไป “ไม่ได้! บ้านข้าไม่มีใครว่างพอมารับรองท่านได้
! ท่านกลับไปหาผู้อาวุโสจะดีกว่านะ อย่าได้ตามไปให้ลำบากเลย !”
“ใช่แล้ว ใช่แล้วนายท่านสาม พวกเรากลับไปก่อนดีกว่านะขอรับ
! อากาศหนาวยะเยือกขนาดนี้ ท่านจะไปพบปะสนทนาเฮฮากับพวกเขาไหวหรือ?
พวกเรารีบกลับจะดีกว่านะขอรับ!” ชุยอี้ร้อนใจนึกอยากจะเอื้อมมือลากตัวชุยเฉ้าซีให้มาด้วยกันนัก แต่ก็มิกล้า
“ฟางโจว....” ชุยเฉ้าซีสบตาเหลียนฟางโจวด้วยด้วยความร้าวรานขึ้นอีกสองส่วน
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างดื้อดึง “ข้าเพียงแค่
คิดไปบ้านเจ้าเพื่อสำรวจดู....”
เหลียนฟางโจวค่อนข้างอึดอัดในโพรงอก ชุยเฉ้าซีนับได้ว่าเป็นผู้ที่ช่วยเหลือเธอมาตลอด
เธอไม่ควรพูดกับเขาเช่นนี้เลยจริงๆ แต่ใครใช้ให้หมอนี่ไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมเลยเล่า?
หญิงสาวคลายสีหน้าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านชายชุย
ข้ามิได้หมายความเป็นอื่น วันที่อากาศหนาวเย็นปานนี้ แค่ท่านวิ่งออกมาเช่นนี้ หากท่านเกิดป่วยเป็นไข้ลมหนาวขึ้นมา การเฉลิมฉลองวันปีใหม่
ข้าจะทำใจฉลองเข้าไปได้อย่างไร? ท่าน...หากท่านอยากไปจริงๆ
มิสู้รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า อากาศอบอุ่น ดอกไม้บานสะพรั่ง แล้วท่านค่อยไปก็ยังไม่สาย!”
ใบหน้าของชุยเฉ้าซีกลับมาสดใสอีกครั้ง
ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ข้ารู้ดีว่าฟางโจวจะไม่ทำเยี่ยงนั้นกับข้า ! ไม่เป็นไร รออีกไม่นาน ข้าจะไปเยี่ยมเยียนเจ้าอีกคราก็แล้วกัน! จริงสิ ภายหลังเจ้าซื้อข้าทาสมาเพิ่มอีกหรือไม่? ไม่รู้ว่ามีพอใช้งานไหม? คนพวกนั้นยังเชื่อฟังประพฤติดีอยู่หรือเปล่า? มิเช่นนั้นข้าจะกลับไปช่วยเจ้าเสาะหาข้าทาสสักสิบคนมาอบรบขัดเกลาให้ดีแล้วค่อยส่งมาให้เจ้าใช้สอยดีหรือไม่?”
เหลียนฟางโจวบังเกิดความอบอุ่นสายหนึ่งขึ้นในใจ
หญิงสาวคลี่รอยยิ้ม “ข้าซื้อคนมาแล้วสิบคน
ทั้งหมดยังมีความประพฤติดีอยู่!”
เมื่อชุยเฉ้าซีได้ทราบว่ามีการซื้อคนเข้ามาแล้ว
ซ้ำยังมีความประพฤติดี สีหน้าเขาฉายแววไม่เชื่อถือเพิ่มขึ้นสองส่วน
เหลียงฟางโจวลอบถอนหายใจ พลางแอบบ่นในใจว่า ยังไงเขาก็เป็นท่านชายผู้สูงส่งมาจากตระกูลสูงศักดิ์ที่พรั่งพร้อมเงินทองและอำนาจ ความเคารพเชื่อฟังเป็นที่รู้กันว่าย่อมมาจากการใช้อำนาจกดข่มผู้ต่ำกว่าเอาไว้
ข้าทาสที่คิดคดโกงเจ้านายอย่างเขาดูเหมือนมีให้เห็นเป็นอันมาก เขาคงคิดว่าคนอย่างเธอที่กำพร้าบิดามารดา
อีกทั้งไร้รากฐานรองรับใดๆ ซ้ำยังขาดผู้อาวุโสผู้เปี่ยมความรู้และประสบการณ์คอยชี้แนะหรือช่วยเหลือดูแล มือใหม่หัดซื้อทาสเช่นนี้ ไหนเลยจะสามารถกำราบบริวารให้เชื่อฟังได้เล่า?
พอเห็นเขาผู้มีบุคลิกโดดเด่นที่ทั้งวันได้แต่หัวเราะยิ้มแย้มเป็นนิจมีท่าทีเช่นนี้ หญิงสาวก็มิรู้สึกกังขาในใจแต่อย่างใด
-------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ ^_^
ช่วงนี้งานรัตตัวจริงๆค่ะ ต้องขออภัยที่อัพช้าด้วยนะคะ
คาแรคเตอร์พระรองจริง ๆหล่อ รวย นางเอกไม่รัก
ตอบลบไรท์มาแล้วดีใจๆเข้ามาส่องบ่อยๆค่ะว่าจะมาอัพรึยังช่วงนี้ฝนตกบ่อยไรท์ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ
ตอบลบมาเฝ้าทุ๊กกกวันเลยคร่าาไรท์ที่รัก
ตอบลบขอบคุณนะคะไรท์ที่รัก 😘
ขอบคุณค่ะ มาให้หายคิดถึงนะคะรักษาสุขภาพด้วยค่ะหน้าฝนแล้ว
ตอบลบสงสารท่านชายเหมือนกันนะเนี้ย
ตอบลบไรท์มาแล้ววววว ขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบพระรองใจดี อบอุ่นแบบนี้ มาทางแม่ยกดีกว่าจ้า จะปลอบใจให้นะ นางเอกเขาคู่กับท่านแม่ทัพแล้ว อย่าไปกินแห้วเลยนะ
ท่านชายชุย น่าเอ็นดูจริงๆ
ตอบลบสงสารนางนะนี่
ขอบคุณมากนะคะ คุณชายชุยบทเดียวนี่พูดเยอะกว่าพระเอก 10บท XD
ตอบลบขอบคุณที่อัพค้าบผมมมมม
ตอบลบฟางโจวก็น่าจะเห็นใจท่านชายบ้างเจอทีไรก็พยายามไล่ทุกทีเป็นพระรองที่อาภัพจริงๆ
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ตอบลบรักนะจ๊ะ... รักคนแปลจ้า... รอได้เสมอน๊าาา
ตอบลบรำคาญนางเอก นางเอกไม่โง่พอที่จะมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดยังไง แล้วนางเอกก็ไม่ได้ชอบพอท่านชายอะไรนั่นด้วย ทำไมต้องให้ความหวังทางนั้นด้วย หลายครั้งแล้วนะ แล้วอีท่ายชายชุยนี่ก็ชอบตื้อนางเอกลำบากใจก็ดูสีหน้าไม่ออก? โง่ว่ะ ส่วนนางเอกน่าจะใบ้ไปหน่อยนะว่าคิดยังไงกับอีกฝ่าย เบื่อกับความบ้าบอสองคนนี้จริงๆ
ตอบลบสงสารพระรองจริงๆ
ตอบลบฟางโจวได้ลับสมองกะท่านชายซุยอีกแล้ว
ตอบลบท่านชายชุยตื้อสุดฤทธิ์ อยากมห้ท่านชายมีคู่ด้วย ดูเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เลวร้ายอ่ะ
ตอบลบ