วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 224 ไปเยือนสกุลซูอีกหน (2)


เมื่อกินอาหารเสร็จ  ก็เห็นฉินเฟิงกับจางซิ่วเอ๋อร์มาถึง  เหลียนฟางโจวจึงให้คนทั้งสองช่วยขนข้าวของขึ้นรถลากเทียมลา  ส่วนอาสาม เมื่อเห็นคนทั้งสองเข้า ก็ชะงักไป แล้วจึงโพล่งถามขึ้น “ไม่ใช่เป็นอาเจี่ยนและเหลียนเซ่อเดินทางไปกับเจ้ารึ? แล้วสองคนนั่นเล่า?”
“ป้าจางมีเรื่องขอให้พวกอาเจี่ยนช่วยนิดหน่อยน่ะ !” เหลียนฟางโจวทำเป็นตอบกลับโดยมิใส่ใจ
“อ้อ” อาสามร้องขึ้นมาคำหนึ่ง จากนั้นก็มิได้เอ่ยอันใดต่อ

เมื่อคนทั้งสามบรรลุถึงตัวเมือง เหลียนฟางโจวจึงสั่งให้คนทั้งสองขนข้าวของบนรถลากลงมา ครั้นแล้วหญิงสาวจึงไปจ้างรถม้าที่ดูน่าเชื่อถือมาคันหนึ่ง พอพูดคุยต่อรองราคากันเสร็จสรรพ คนทั้งหมดจึงเริ่มออกเดินทางกันต่อ
นี่เป็นหนแรกที่เหลียนฟางโจวตรงเข้าไปเจรจากับหัวหน้าผู้ดูแลสายรถม้าโดยตรง  ในการจ้างรถม้าคราวที่แล้ว เธอไม่ได้เจาะจงรถคันใดเป็นพิเศษ  ได้แต่ขอให้ตัวหัวหน้าช่วยเรียกรถมาให้คันหนึ่งแค่นั้น
หากเธอเอ่ยพาดพิงถึงเรื่องคราวที่แล้ว หัวหน้ารถม้าเช่า จะไม่รู้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นได้อย่างไร?  หญิงสาวคงได้แต่ทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเหลียนฟางโจวได้เล่าถึงปัญหาเก่าให้เขาฟังตรงๆ โดยยังให้เกียรติเขาตามมรรยาท ทว่าเขาก็ยังไม่สามารถจัดการคนของตนให้หญิงสาวได้อยู่ดี
แต่ยังดีที่แม่นางน้อยผู้นี้ เมื่อได้ฟังคำแก้ตัวของเขาแล้ว ก็มิได้เอาเรื่องแต่อย่างใด ถ้าขืนเรื่องนี้ถูกร่ำลือไปใหญ่โตล่ะก็  คงมิมีผลดีกับกิจการของพวกเขาเป็นแน่
            รถม้าครานี้เดินทางได้รวดเร็วนัก ยังไม่ทันจะเที่ยงวัน คณะเดินทางก็บรรลุถึงเมืองชวงหลิวในที่สุด
            คณะเดินทางตรงดิ่งไปยังคฤหาสน์สกุลซูในทันที ยามเฝ้าประตูจำเหลียนฟางโจวได้ ซ้ำยังรู้ด้วยว่าฮูหยินน้อยให้ความสำคัญกับนางนัก เขาจึงยิ้มแย้ม แล้วรีบสาวเท้าเข้ามาต้อนรับ ในขณะที่ยามอีกคน ได้รีบรุดไปรายงานฮูหยินน้อยโดยมิชักช้า
            ในไม่ช้าหลี่มามาคนสนิทของฟางฉิงได้รีบร้อนเดินมาพร้อมสาวใช้รุ่นเล็กสองนาง
            “แม่นางเหลียนมาแล้ว ! ท่านรีบเข้ามาเถิด  พอฮูหยินน้อยทราบว่า แม่นางมาหา นางตื่นเต้นดีใจมากเลยเจ้าค่ะ !” หลี่มามาเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
    เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้มให้ ขณะหลี่มามาเข้ามาทักทาย  พอหญิงสาวยัดซองแดงใส่มือหลี่มามาแล้ว จึงเอ่ยเสริมว่า “ข้าตั้งใจนำของฝากมาเยี่ยมเปี่ยวเจี่ยโดยเฉพาะ ทั้งหมดนี่เป็นของที่ข้าสรรหามาจากแถบชนบท  ซึ่งมีแต่ของสดไหม่ทั้งนั้น  ข้าขอรบกวนหลี่มามาช่วยรับไปเก็บไว้ด้วย  ท่านไม่เห็นขันกับของที่นำมาให้ ข้าก็ดีใจแล้ว !”
หลี่มามาทอดมองของฝากกองพะเนินอยู่เนิ่นนาน  พอได้ยินฟังวาจาของเหลียนฟางโจว จึงรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นของหายากเสียด้วยซ้ำ  แม่นางเหลียนช่างมีน้ำใจนัก  ไม่ว่าสิ่งใดล้วนคิดเผื่อฮูหยินน้อย  ข้ามิกังขาเลย  ที่ฮูหยินน้อยชื่นชมแม่นางเหลียน ว่ามีกิริยามรรยาทงดงาม  และมีน้ำใจกว้างขวางนัก !”
ระหว่างสนทนากัน  หลี่มามาได้สั่งให้เด็กลำเลียงเฉพาะหวงหยางเข้าไปในครัว ซ้ำยังสั่งสาวใช้รุ่นเล็ก 2 นางทะยอยลำเลียงเห็ดตากแห้ง  น้ำผึ้งและข้าวของอื่นๆไปจัดเก็บ  พอสายตาเหลือบไปเห็นฉินเฟิงและจางซิ่วเอ๋อร์เข้า จึงสั่งยามเฝ้าประตูให้พาคนทั้งสองไปนั่งพักที่ห้องรับรอง
จางซิ่วเอ๋อร์ค่อนข้างตื่นกลัวอยู่บ้าง ส่วนฉินเฟิงกล่าวขอบคุณด้วยท่าทีที่ไม่ถึงกับพินอบพิเทาแต่ก็ไม่หยิ่งยะโส ครั้นแล้วคนทั้งสองจึงเดินตามยามเฝ้าประตูไป  แทนที่หลี่มามาจะขุ่นเคือง  นางกลับจับจ้องเขาอย่างสำรวจ พลางเอ่ยในใจ แม่นางเหลียนผู้นี้นับวันฝีมือยิ่งฉกาจฉกรรจ์ขึ้นเรื่อยๆ บริวารระดับนี้ พูดได้ว่าเป็นบุคคลที่ไม่ว่าตระกูลใหญ่ตระกูลไหน ก็ล้วนให้ความไว้วางใจให้จัดการดูและธุระต่างๆในจวน !
ขณะเดินเข้าไปด้านในด้วยกัน ฟางฉิงได้เยี่ยมหน้าออกมา  ใบหน้าของฟางฉิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นอ่อนโยน ขณะเปล่งเสียงเรียก “ฟางโจว!”  ญาติผู้พี่รีบมาดึงตัวหญิงสาวผู้มาเยือนให้นั่งลงด้วยกัน  พลางเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มพราย “เจ้าช่างมีน้ำใจจริงๆเลย  อยู่ใกลถึงเพียงนั้น ก็ยังวิ่งวุ่นเดินทางมาเยี่ยมข้าได้ !”
เหลียนฟางโจวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เดิมทีข้าควรอยู่เยี่ยมเปี่ยวเจี่ยนานๆ ! ทว่าข้าต้องกลับไปทำธุระที่คั่งค้างอยู่ ! “ ขณะเอื้อนเอ่ย หญิงสาวก็เผยรอยยิ้มค่อนข้างอึดอัดใจ “ข้าได้นำของฝากจากชนบทแถบบ้านข้ามาจำนวนหนึ่ง เห็ดพวกนั้น เราพี่น้องเก็บมาและคัดเลือกมาตากแห้งด้วยตัวเอง ส่วนหัวไชเท้า พวกเราก็พวกเราก็ดองเองด้วย น้ำผึ้งสองไหนั่นก็เป็นน้ำผึ้งป่าแท้ๆ ไก่ฟ้าสีทองตัวเป็นๆคู่นั้น  ข้าซื้อหามาจากบ้านนายพรานในหมู่บ้าน ส่วนหวงหยางนั่นเพิ่งไปล่าได้เมื่อวาน ทั้งหมดนี่เป็นของฝากเล็กๆน้อยๆที่จัดเตรียมมาให้ เปี่ยวเจี่ยโปรดรับไว้ด้วย อย่าได้รังเกียจเลย !”
“ลำบากเจ้าต้องมาคอยใส่ใจแล้ว  ซ้ำข้าวของทั้งหมดนี่ก็คัดสรรมาเพื่อข้าอีก !” แท้จริงแล้ว ฟางฉิงมิได้สนใจหรอกว่า ของฝากเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร เหนืออื่นใด  คนระดับนาง เป็นถึงฮูหยินน้อยแห่งสกุลซูผู้พรั่งพร้อมทรัพย์สมบัติ กล่าวได้ว่า ยังมีอะไรที่นางต้องการอีก  ทว่าพอได้ยินที่เหลียนฟางโจวพรรณามาเช่นนี้  ทำให้รู้สึกถึงความจริงใจและความมีน้ำใจของหญิงสาว  จึงต่างออกไป !
“เปี่ยวเจี่ยอุตส่าห์ช่วยเหลือข้ามากมายปานนี้ ที่ข้าโยนผลท้อ รับผลบ๊วยย่อม (ผลประโยชน์ต่างตอบแทน) เป็นสิ่งสมควรแล้ว !”  เหลียนฟางโจวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
ฟางฉิงเห็นท่าทีตรงไปตรงมา และได้ฟังวาจาของญาติผู้น้อง ซ้ำน้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ย ก็ไร้แววประจบประแจง  ฟังแล้วรื่นหูมีชีวิตชีวา  สายตาที่มองหญิงสาวจึงแฝงแววชื่นชมเพิ่มขึ้นอีกสองส่วน ครั้นแล้วจึงแย้มยิ้ม “ข้าช่วยอะไรเจ้าเสียที่ไหนกัน?  ก็เพียงแค่ให้ยืมเงินเท่านั้นเอง  ไม่มีค่าให้เอ่ยถึงหรอก !  ว่าแต่ว่า เรื่องเมล็ดฝ้ายของเจ้านั่นเป็นอย่างไรบ้าง?”
เหลียนฟางโจวเผยรอยยิ้ม แล้วเอ่ยออกมารวดเดียว “ยังต้องรอหลังต้นฤดูใบไม้ผลิก่อน จึงค่อยเพาะปลูก !  เมื่อถึงเวลานั้น พวกข้าคงยุ่งมือเป็นระวิง  เกรงว่าคงต้องยุ่งกันอีกนาน  เห็นทีจะไม่มีเวลามาเยี่ยมเปี่ยวเจี่ยแล้ว !”
สำหรับเรื่องฝ้ายนี้ ถือว่ากำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เหลียนฟางโจวจึงต้องคอยระแวดระวังป้องกัน  เธอคิดเพียงว่า จะรอให้ถึงหน้าเก็บเกี่ยวก่อน แล้วจึงค่อยเล่าอธิบายอีกครั้ง  เรื่องราวจะได้ไม่ถูกร่ำลือออกไปในวงกว้าง ทว่าหากฟงฉิงอยากรู้  ถึงอย่างไร เธอย่อมต้องเล่าอยู่ดี ว่าเรื่องราวจริงๆเป็นอย่างไร
 “อะไรกันเนี่ย  อะไรจะยุ่งรีบด่วนปานนั้น !” ฟางฉิงคลี่ยิ้มคราหนึ่ง  ครั้นแล้วจึงไม่ซักไซร้ต่อ สตรีทั้งสองพูดคุยสัพเพเหระไปอีกสักพัก จู่ๆฟางฉิงก็โพล่งขึ้นอย่างงอนๆ “ทำไมถึงไม่พาฉิงเอ๋อร์ กับเช่อเอ๋อร์มาด้วยเล่า? พาพวกเขามาพบข้าด้วยสิ ข้ายังไม่เคยเห็นพวกเขาเลยนะ !”
เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วันนี้อากาศเย็นขึ้นกว่าเดิม  พาพวกเขามาคงไม่สะดวก เอาไว้อากาศดีขึ้นกว่านี้มากเสียก่อน  ข้าย่อมหาโอกาสพาพวกเขามา !  คงพาเช่อเอ๋อร์มาคนเดียว ส่วนฉิงเอ๋อร์ นางซุกซนไม่เบา หากเปี่ยวเจี่ยได้พบ เกรงว่าจะไม่ชอบ พาลให้รู้สึกปวดหัวเอาได้ !”
“จะได้อย่างไร !”  ฟางฉิงหัวเราะ “ ธรรมดาแล้วเด็กซนเป็นเรื่องปกติ  เจ้าตัวอ้วนจ้ำม่ำที่บ้านข้านั่นก็ไม่ต่างกัน !  เด็กๆที่ยังเล็กอยู่  ย่อมวุ่นวายน่าปวดหัวอยู่แล้ว !”
พอเอ่ยถึงลูกชาย  ใบหน้าของฟางฉิงพลันปรากฏแววอ่อนโยนขึ้นมา
เหลียนฟางโจวพูดคุยหัวเราะกับนางอย่างชื่นมื่นกันสักพัก  ครั้นแล้วหญิงสาวจึงลุกขึ้นแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ที่บ้านไม่มีใครอยู่ เปี่ยวเจี่ย ข้าต้องรีบกลับแล้วล่ะ !  ไว้คราวหน้ามีเวลาจะกลับมาเยี่ยมเปี่ยวเจี่ยวอีกนะเจ้าคะ !”
“ไยรีบร้อนถึงเพียงนี้ ฟางฉิงชะงักไป แล้วยืนขึ้นอีกคน  นางเอ่ยอย่างฉงนใจ “เรายังมีเรื่องที่ต้องคุยอีกมากมายมิใช่หรือ?  พักอยู่สักคืนหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปแต่เช้าตรู่  คงไม่ต่างกันหรอก !”
 “ข้ารู้สึกไม่วางใจจริงๆ  ตอนนี้จวนจะปีใหม่แล้วด้วย  รอกลับแต่รุ่งเช้าย่อมดีกว่านะ !  เจ้ากลับไปยามนี้  ไปถึงก็เย็นค่ำอยู่ดี !”
เหลียนฟางโจวเอ่ยแย้มยิ้ม “เปี่ยวเจี่ย  ท่านอย่าขัดข้าอีกเลยนะ ข้าต้องไปจริงๆแล้ว !”
ฟางฉิงเห็นหญิงสาวยืนกรานครั้งแล้วครั้งเล่า จึงไม่ทัดทานอีกต่อไป ครั้นแล้วญาติผู้พี่จึงพรูลมหายใจออกมา “เจ้าอุตส่าห์เดินทางมาตั้งใกล ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน เอาแต่เตรียมจะกลับอยู่ท่าเดียว ไยไม่นึกถึงใจของข้าบ้าง ?”
เหลียนฟางโจวระบายยิ้ม “ความจริงแล้ว ข้าก็แค่อยากรีบไปให้ทันเวลาน่ะ  เช่นนั้นแล้ว จะมีใครกล้าตำหนิเปี่ยวเจี่ยหรือ?  เอาเป็นว่า หากไม่เป็นการรบกวน ขอบะหมี่ให้ข้าชามหนึ่ง ก็ดียิ่งแล้ว !”
หากไม่ถือเป็นญาติสนิทแท้ๆ จะเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?
ใจของฟางฉิงกลับมาคลี่คลายและรู้สึกอบอุ่นวาบไปทั้งใจ   นางรีบพยักหน้าแย้มยิ้ม “ได้สิ เอาตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน !” ครั้นแล้วจึงรีบร้องสั่งหลี่มามาให้ไปแจ้งห้องครัว
หลี่มามาย่อมรู้ใจฟางฉิงดีกว่าใครอื่น  นางจึงรีบออกนอกห้องไปเรียกสาวใช้ที่ปราดเปรียวนางหนึ่ง ให้รีบไปแจ้งทางห้องครัวโดยด่วน  และไหนเลยนางจะนั่งรอจนบะหมี่มาส่งได้  ตัวนางเองจึงรีบจัดแจงตามไปรับกลับมาเอง
หลี่มามาลอบนึกอยู่ในใจ  แม่นางเหลียนผู้นี้ ช่างมีจิตใจสูงส่งและมีเมตตาเสียจริง ซ้ำยังฉลาดมีไหวพริบรู้กาละเทศะดีอีกต่างหาก เฮ้อ น่าเสียดายที่ไม่ใช่สตรีมีเกียรติในสกุลของฮูหยินน้อย !  ไม่เช่นนั้น  ฮูหยินน้อยคงกลัดกลุ้มน้อยลง....
ไม่ว่าเรื่องราวอันใดของฮูหยินน้อย เมื่อมาอยู่ตรงหน้านายท่าน ฮูหยินใหญ่ หรือนายน้อย ล้วนได้รับความช่วยเหลือเป็นอันดี  ยิ่งนายน้อยยิ่งแล้วใหญ่  เพื่อที่จะมัดใจนาง ถึงกับส่งบรรดาอนุทั้งหมดออกไปจากคฤหาสน์ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว  นายท่านทุ่มเทสมองและความเพียรพยายามมาตลอด เพียงเพื่อปกป้องนาง  คำสั่งของฮูหยินน้อย ผู้ใดกล้าไม่เชื่อฟังได้หรือ?
เพียงไม่นานทางห้องครัวรีบเอาบะหมี่ซึ่งปรุงอย่างพิถีพิถันชามหนึ่งมาส่ง
เหลียนฟางโจวแย้มยิ้ม ขณะกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ  แล้วจึงเข้าไปนั่งกินในห้องรับประทานอาหาร
หลี่มามากลับมา พร้อมด้วยของขวัญซึ่งเตรียมไว้เสร็จสรรพแล้ว  จากนั้นจึงทะยอยลำเลียงเข้ามาแจ้งฟางฉิงทีละชิ้น
ข้าวของเหล่านี้  คนในคฤหาสน์สกุลซูใช้กันอยู่ทุกปี  มีอยู่มากมายนัก ซึ่งล้วนเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว อาทิเช่น เสื้อผ้าอาภรณ์ซึ่งใช้ผ้าอย่างดีเลิศ ขนมหวาน ถุงปักลาย พร้อมทั้งข้าวของอื่นๆอีกหลายอย่าง เหลียนฟางโจวกับฟางฉิง รักใคร่กันดังญาติสนิท  หญิงสาวจึงได้รับชุดของขวัญหอบใหญ่ ไปโดยไม่อาจเอ่ยปฏิเสธได้
เมื่อฟางฉิงฟังจบ ก็พยักหน้าขึ้นคราหนึ่ง แล้วถอนหายใจ “คราวหน้าเจ้าไม่ต้องเตรียมอะไรมาเอิกเกริกเป็นพิเศษนักหรอก เปี่ยวเม่ยผู้นี้ของข้า แม้จะออกปากขอยืมเงินข้า ทว่าก็เป็นผู้มีจิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว เจ้าจงปฏิบัติกับนาง ดุจญาติสตรีในสกุลเดียวกันกับข้าก็แล้วกัน  จงเอาเนื้อไก่ตากแห้ง  เนื้อเป็ดตากแห้ง กุนเชียงและอื่นๆจัดใส่ลงในตระกร้า  อีกทั้งกับข้าวต่างที่ส่งมาจากร้านในเจียงหนาน ก็ให้จัดแต่ละอย่างใส่กล่องเพิ่มเติมเข้าไปด้วยล่ะ !”
ของขวัญเหล่านี้ดีกว่าของฝากที่เหลียนฟางโจวนำมาเสียอีก  ถือเป็นการตอบแทนตามมรรยาทที่ถูกต้องตามธรรมเนียม
กล่าวได้ว่า สิ่งที่ฟางฉิงแสดงออกมานี้  เป็นการประกาศว่า  เหลียนฟางโจวมีศักดิ์เทียบเท่ากับญาติแท้ๆของนาง
---------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ 
ต้องขออภัยที่หายไปนาน ช่วงนี้ติดงานอยู่ค่ะ  คงอัพลงช้าไปอีกสักพัก

13 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ12 พฤษภาคม 2562 เวลา 21:15

    ขอบคุณค่ะ รอทุกวันเลย

    ตอบลบ
  2. คิดถึงค่ะหายไปนานเลยแต่รอได้ค่ะไรท์ขอบคุณนะคะ

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณมากค่ะ รอค่ะ

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณค่ะ พอให้หายคิดถึงหน่อยค่ะ

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณมากค่ะ
    นานทีกว่าจะอัพก็ไม่ว่ากันค่ะ ยังรอคอยเสมอ ดูแลสุขภาพนะคะ ด้วยรักและห่วงใยค่ะ

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณมากครับที่อัพเดทให้อ่านกัน

    ตอบลบ
  7. ขอบคุณมากครับที่อัพเดทให้อ่านกัน

    ตอบลบ
  8. ขอบคุณค่ะ นานก็รอได้่ค่ะ

    ตอบลบ
  9. ขอบคุณค่ะไรท์ คิดถึงมากๆเลย ^^

    ตอบลบ
  10. ขอบคุณมากค่ะ สู้ สู้ นะคะ

    ตอบลบ