เหลียนฟางโจวหัวเราะอารมณ์ดีรีบเอ่ย
“ท่านป้า ท่านมีธุระอันใด โปรดอย่าได้ลังเล รีบพูดมาเถิด หากข้าสามารถทำได้ ข้าย่อมช่วยท่านแน่ !”
“หากแม้เจ้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มันติดขัดลำบาก
ก็อย่าได้ฝืนรับปากล่ะ !” ป้าจางระบายยิ้ม “เรื่องนี้น่ะ ต้องอาศัยความสามารถของอาเจี่ยนเท่านั้น “
เหลียนฟางโจวให้ประหลาดใจยิ่งขึ้น หญิงสาวรีบบอกให้เหลียนฟางฉิงไปตามอาเจี่ยนที่อยู่ในลานหลังบ้าน
ป้าจางพรูลมหายใจ ก่อนเฉลย “อากาศในหลายวันมานี้ มิใช่ว่าเลวร้ายหรือไร? เมื่อวานซืนตอนกลางคืน หมู่บ้านที่ท่านแม่ข้าอยู่นั่น มีเสือบุกเข้ามาในหมู่บ้าน มันมาจับหมูที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ไป ! มิคาดว่ามีคนในหมู่บ้านเจอถ้ำของเสือนั่นโดยบังเอิญ
ทว่าแต่ละคนไม่เก่งกาจพอจะรวมตัวกันไปล่า หนำซ้ำยังไม่มีใครกล้าเข้าไปอีกด้วย ทางโน้นจึงอยากมาขอให้ทางเราช่วยจัดการให้ที
อีกทั้งยังกลัวกันว่า พอเจ้าเสือนั่นได้ลองลิ้มรสชาติหอมหวานนั่นแล้ว จะหวนกลับเข้ามาในหมู่บ้านอีก มันขย้ำหมูไปแล้ว ไหนจะวัวอีกล่ะ ตอนนี้พวกชาวบ้านล้วนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถ้าเกิดว่า สิ่งที่มันจะขย้ำครั้งต่อไป
เป็นมนุษย์ขึ้นมา มันจะยิ่ง....
พวกน้องชายของท่านแม่ข้า เมื่อตอนบ่ายได้มาหาข้าถึงบ้าน เดิมทีข้าคิดจะไปขอให้บ้านนายพรานซุนช่วย
ซานเหอลูกข้าบอกว่า
เขาเกรงว่านายพรานซุนจะเก่งกาจสู้อาเจี่ยนไม่ได้...อาเจี่ยน เจ้าช่วยไปดูให้ได้หรือไม่....แต่หากว่าเหลือบ่ากว่าแรง ข้าคงให้พวกเขาไปขอร้องบ้านนายพรานซุนแทน ! พวกเจ้าจะได้ไม่ต้องลำบากใจ ! ถึงแม้ว่าจะมีเงินสองชั่งให้เป็นสินน้ำใจอยู่แล้ว แต่ถ้าหากมีการล่าเสือนั่นขึ้นมาจริงๆ สุดท้ายหนังของมัน ผู้ล่าสามารถเอากลับไปได้ด้วย ทว่าพวกเจ้าของไม่ขาดแคลนของเหล่านี้หรอกกระมัง
!”
เหลียนฟางโจวหันไปมองอาเจี่ยน รวมทั้งเหลียนเซ่อและน้องน้อยทั้งสองคนด้วย
ซึ่งไม่รู้ว่าเข้ามายืนออฟังตั้งแต่เมื่อใด เหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อเมื่อทราบเรื่องเข้า
ให้หวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ในขณะที่ดวงตาของเหลียนซ่อเรืองวาบขึ้นนิดหนึ่ง
ด้วยความกระหายใคร่อยากลอง
อาเจี่ยนครุ่นคิดสักครู่ แล้วเอ่ยขึ้น “เรื่องนี้ไม่น่ามีปัญหา เพียงแต่ว่า
พรุ่งนี้ฟางโจวจะเดินทางไปเยี่ยมสกุลซูที่เมืองชวงหลิง...”
เหลียนฟางโจวรีบเอ่ย “หากท่านคิดว่า สามารถจัดการเรื่องนี้ได้
เช่นนั้น...ก็ไปเถิด ข้าจะให้พวกฉินเฟิง หรือไม่ก็ซูจื่อจี้ไปเป็นเพื่อนในการเดินทางครั้งนี้ ให้ใครไปก็เหมือนกัน เพียงแต่
สภาพอากาศแบบนี้
เสือนั่นคงหิวกระหายและดุร้ายน่าดู
จึงมีความเสี่ยงว่า มันอาจจะบุกเข้ามาโจมตีหมู่บ้านนี้อีกเร็วๆนี้ จะรับมือไหวหรือไม่ ท่าน..ลองตรองดูเองเถิด !”
ป้าจางรีบพยักหน้า “ฟางโจวกล่าวได้ถูกต้อง
ครอบครัวเราทั้งสอง ไม่จำเป็นต้องมาเกรงใจกันให้เสียเวลา !
จะได้ไม่ต้องมาอึดอัดใจกันด้วย ! หากไม่ไป
ก็พูดมาตรงๆเสียแต่แรกเถิด
เรื่องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้
ไม่มีผู้ใดกล้ารับประกันหรอกนะ !”
อาเจี่ยนสบตาเหลียนฟางโจวคราหนึ่ง
แล้วหันไปพยักหน้าให้ป้าจาง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปดูสักครา !”
ป้าจางหันไปมองเหลียนฟางโจว
แม้ใจเหลียนฟางโจวจะรู้สึกวิตกนิดๆ เพียงแต่หญิงสาวก็เชื่อถือฝีมืออาเจี่ยนด้วย
ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว
เพียงได้ฟังเรื่องเล่าขาน หัวคิ้วชายหนุ่มไม่กระตุกให้เห็นแม้สักนิด เขาพยักหน้าตอบรับด้วยท่าทางประหนึ่งว่า
ผู้อื่นมาไหว้วานเขาให้ไปขุดหัวกระหล่ำแค่นั้น ชัดเจนว่า เขามิได้มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลยจริงๆ
“ในเมื่ออาเจี่ยนรับปากเองแล้วอย่างนี้
ตัวเขาเองย่อมสามารถจัดการได้แน่ !” เหลียนฟางโจวเอ่ยกับป้าจางด้วยรอยยิ้ม
ป้าจางยินดีปรีดาอย่างเห็นได้ชัด นางปรบมือ พลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ได้
เช่นนั้น...ก็ตกลงตามนี้
รุ่งสางวันพรุ่งนี้ ข้าจะมาเรียกอาเจี่ยน
มาพร้อมกับน้องชายท่านแม่ข้า ซึ่งจะร่วมเดินทางไปด้วย !”
“ได้ !” อาเจี่ยนผงกศรีษะ
ป้าจางจึงยิ้มแย้ม เอ่ยขอตัวกลับ
“จริงๆแล้วท่านไปได้หรือไม่?”
“ตัวเจ้าไปสกุลซูเอง ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ทั้งเหลียนฟางโจวและอาเจี่ยนเปิดปากเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
ชายหนุ่มหญิงสาวต่างหัวเราะออกมา เหลียนฟางโจวเป็นฝ่ายส่ายหน้าก่อน
แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถิด
ไม่มีอันใดน่าเป็นห่วงหรอก ! ข้าคงไม่เจอกับคนขับรถม้านิสัยแย่ๆอีกกระมัง? ข้ารู้ว่าวรยุทธ์ท่านล้ำเลิศนัก ทว่า เสือเป็นสัตว์ดุร้าย ต้องระวังให้ดี
! หากท่านรู้สึกว่าเกินกำลัง ก็อย่าได้เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง แม้ทำให้ผู้คนเยาะเย้ยถากถางบ้าง
ก็ปล่อยให้พวกเขาเยาะเย้ยไป กลับมาอย่างรอดปลอดภัย สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด !”
อาเจี่ยนพยักหน้า เหลียนเซ่อที่ยืนอยู่ข้างๆ
เอ่ยอย่างไม่ค่อยจะเห็นด้วย “พี่ใหญ่ ท่านดูถูกฝีมือพี่เจี่ยนมากไปแล้วนะ พี่เจี่ยนเก่งกาจล้ำเลิศหาผู้ใดเทียม ! มิต้องพูดถึงเสือแค่ตัวหนึ่งเลย ต่อให้เป็นเสือสองตัว
สามตัวก็หาใช่คู่ต่อสู้ของพี่เขาสักนิด !”
“หุบปากเลย !” เหลียนฟางโจวปรายตามองน้องชายคราหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“คิดดูสิว่าเจ้าพูดอะไรออกมากัน !”
อาเจี่ยนรีบขัดตาทัพ “ข้ารู้กำลังตนเองดี
ที่เจ้าบอกมาทั้งหมด ข้าจะจำใส่ใจไว้ ! หากทำไม่ได้ ข้าจะหันหลังกลับ
ผู้อื่นจะหัวเราะเยาะเย้ย ก็ให้พวกเขาทำไป !”
ชายหนุ่มร่ายยาวออกมาถึงเพียงนี้ แต่ฟังดูก็รู้ว่า มิได้หมายความตามที่พูด คนที่เหลือต่างหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
“พี่ใหญ่ ข้าก็แค่มีปาก สักแต่ว่าพูดไป ! พี่ใหญ่ หรือไม่
ก็ให้ข้าไปเป็นลูกมือพี่เจี่ยนเถิด
ข้าไปด้วยคนได้ไหม?” เหลียนเซ่อเห็นสีหน้าเหลียนฟางโจว
ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว เด็กหนุ่มจึงเอ่ยอย่างระมัดระวังพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าแน่ใจนะ ว่าจะไม่ก่อปัญหา?” ใจของเหลียนฟางโจวบีบรัด ทว่าหญิงสาวไม่สะดวกใจจะทัดทาน เพราะบังเกิดความเกรงใจอาเจี่ยนขึ้นมาหน่อยๆ
“หา”
เหลียนฟางฉิงกับเหลียนเช่อต่างร้องอุทานพร้อมกันโดยมิได้นัดไว้
ดวงตาเบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง
“ไม่มีทาง ไม่มีทาง ! ข้าจะไม่ก่อปัญหาแน่ ! เมื่อไปถึงที่นั่น ข้ารับรองว่า
จะเชื่อฟังพี่เจี่ยนทุกอย่างเลย !”
เหลียนเซ่อเอ่ยละล่ำละลัก
อาเจี่ยนกับเหลียนฟางโจวหันมาสบตากัน
ครั้นแล้วชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้น “หากเขาอยากไป ก็ให้ไปเถิด ข้าจะคอยดูแลเขาเอง เจ้าวางใจเถิดนะ ! อาเซ่อเอง หาใช่เด็กหนุ่มมุทะลุวู่วามไม่
ให้เขาได้ไปเปิดหูตา ถือว่าดีเสียด้วยซ้ำ ! ”
เหลียนฟางโจวค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย
หญิงสาวนึกว่าอาเจี่ยน จะปฏิเสธไม่ให้เหลียนเซ่อไปเสียอีก ใครจะคิดว่า เขาดันรับปากเอาง่ายๆ
อาเจี่ยนไม่เคยพูดจาโอ้อวด เขาบอกว่าสามารถทำได้
ก็คือทำได้ บางทีอาจเป็นตัวเธอเอง ที่เอาแต่วุ่นวายและวิตกกังวลไปเอง !
“เช่นนั้นก็ไปเถิด ! เพียงแต่เจ้าต้องเชื่อฟังอาเจี่ยนอย่างเคร่งครัด
อย่าได้ไปเกะกะวุ่นวาย เข้าใจหรือไม่? “ เหลียนฟางโจวตีหน้าขรึม เอ่ยเสียงเข้ม
เหลียนเซ่อรีบพยักหน้าแรงๆ “ข้าเข้าใจแล้ว !”
จากนั้นเหลียนฟางโจวก็ย้ายสายตาไปที่น้องเล็กทั้งสอง “เรื่องนี้ พวกเจ้าสองคนอย่าได้เที่ยวเอาไปพูด
และห้ามไปเล่าให้อาสามฟังด้วยล่ะ !”
“อ้าว” น้องเล็กทั้งสองคนร้องครางออกมา เพราะกะจะเอาไปคุยโม้กันด้วยความตื่นเต้น
ก็มาโดนสั่งห้ามเสียแล้ว
เพียงไม่นาน อาสามก็ทำอาหารเสร็จ
สมาชิกทั้งบ้านต่างนั่งล้อมวงรอบโต๊ะกินอาหารมื้อเย็นกัน ด้วยจิตใจแช่มชื่นเบิกบาน
กับข้าวมื้อเย็นนี้ ดูหรูหราเป็นพิเศษ ประกอบด้วย เนื้อหวงหยางเคี่ยวจนเปื่อย เนื้อหวงหยางผัดกับต้นกระเทียมและพริก เนื้อแพะแล่บางๆผัดคึ่นไช่
ซ้ำยังมีน้ำแกงไก่ฟ้าตัวอ้วนตุ๋นใส่เกาลัดป่าและพุทราแห้งอีกด้วย
บนโต๊ะอาหารอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมกรุ่นเข้มข้น
ส่วนวัตถุดิบที่เหลือเหล่านั้น มีให้พอให้กินไปจนถึงเดือนแรกของปีหน้าเลย
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ป้าจางผู้มีใบหน้าเปื้อนยิ้ม ได้มาหา
แล้วเชิญอาเจี่ยนไปกินมื้อเช้าที่บ้านนางก่อน
นี่นับเป็นมรรยาททั่วๆไป อาเจี่ยนเรียกเหลียนเซ่อให้ไปด้วยกัน โดยเอาคันธนูและลูกธนูใส่ลงในกระเป๋าหนัง ซึ่งสะพายไว้บนหลังด้วย ซ้ำยังมีห่อผ้าอันใหญ่อีกหนึ่งห่อ
ซึ่งภายในบรรจุรองเท้าหุ้มข้อหนัง และสนับเข่าหนังไว้ด้วย
ป้าจางเหลือบมองเหลียนเซ่อด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเหลียนฟางโจวมิได้ห้ามปราม หรือเอื้อนเอ่ยอันใด
นางจึงส่งยิ้มให้ แล้วเดินจากไปพร้อมกันสามคน
“นี่” อาสามร้องขึ้นด้วยความฉงน ครั้นแล้วจึงถามขึ้น
“ป้าจางมาเรียกพวกเขาไปกินข้าวทำไมกันล่ะ?”
เหลียนฟางโจวตอบกลับไปแบบคลุมเครือ ซึ่งอาสามก็มิได้ซักไซร้อันใดต่อ
เหลียนฟางโจววางแผนพาฉินเฟิงและจางซิ่วเอ๋อร์ร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ด้วย หญิงสาวจึงให้เหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อไปบอก และให้พวกเขามารออยู่ที่บ้านนี้ก่อน
เหลียนฟางฉิงพบว่า พี่สาวพาจางซิ่วเอ๋อร์ไปโดยไม่พาตนเองไปด้วย เด็กน้อยจึงเริ่มบ่นออกมา
เหลียนฟางโจวจึงอธิบายให้นางฟังสองสามประโยคก่อนออกเดินทาง
ในช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่
พาเหลียนฟางฉิงไปที่โน่น ก็เหมือนพาเข้าไปในดงชนชั้นสูง
เหลียนฟางโจวมิต้องการให้เด็กน้อย อย่างเหลียนฟางฉิง
หรือเหลียนเช่อ ไปเจอสายตาดูแคลนของบรรดาข้าทาสที่ฝั่งโน้นเข้า ต่อให้คนพวกนั้นมิได้ปริปากอันใด
ทว่าเพียงแค่สีหน้าและท่าทางที่แสดงออก ก็สื่อความคิดในหัวพวกเขาให้เห็นแล้ว
!
ตัวเธอเองและเหลียนเซ่อ อายุไม่น้อยแล้ว ซ้ำยังรู้กาละเทศะดี ส่วนจิตใจนั้นย่อมหนักแน่นกว่า
จึงไม่มีปัญหาอันใดเมื่ออยู่ทางโน้น
ทว่าเหลียนฟางฉิง และเหลียนเช่อนั้นต่างกัน เธอมิอยากให้พวกเขาไปเจอเรื่องหดหู่ใจทำนองนี้ จนรู้สึกว่าตนเองเป็นคนต่ำต้อยในหมู่ชนชั้นสูง
------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ ^_^
ขอบคุณมากค่ะ รออยู่ทุกสัปดาห์เลยค่ะ อยากไปเจอสกุลซูไวๆจัง
ตอบลบตอนที่บอกว่าเอาไปเล่าให้น้าสามฟังไม่ได้เด็กย่ารักจัง 555+
ตอบลบต้องเป็นอาสามสิ พิมพ์ผิดๆ
ลบน้องชายของแม่ป้าจางทำไมไม่ใช้คำว่าน้าชายหรือคะ หรือปกติเขาใช้คำแบบนี้คะ เราอ่านแล้วงงๆ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบขอบคุณนะคะไรท์สนุกอีกแล้ว
ตอบลบขอบคุณค่ะ รอตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อเลยล่ะค่ะ
ตอบลบน่ารักเสมอเลยคะ
ตอบลบ