เหลียนฟางโจวเผยรอยยิ้มบาง “ก็มีทาสที่ประพฤติไม่ดีด้วย
ทว่ายามนี้มีความประพฤติดีกันหมดทุกคนแล้ว! มิใช่ฉินเฟิงและซูจื่อจี้รึหรือไร? ที่คอยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้ข้า!”
ใจอันเครียดขึงของชุยเฉ้าซีค่อยคลายลง
บุรุษรูปงามพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี ข้าค่อยวางใจหน่อย!”
แล้วนายต้องมาเป็นห่วงอันใดด้วยเล่า? เลิกพูดอะไรทำนองนี้เถอะ ขอร้องล่ะ ! เหลียนฟางโจวอดลอบทอดถอนใจไม่ได้ พยายามอดกลั้นไม่ให้ตนเองกลอกตาใส่
“พวกเจ้าทั้งสองคนจำใส่ใจไว้ จงช่วยแม่นางเหลียนอย่างขยันขันแข็ง ภายหน้าพวกเจ้าอย่าได้เอาเปรียบนางเด็ดขาด!” ชุยเฉ้าซีตวัดสายตาไปทางฉินเฟิง พลางสั่งกำชับ
“ขอรับ” ฉินเฟิงรีบค้อมหัวรับคำทันที
เหลียนฟางโจวกำลังจะเอ่ยปากเร่งเขาให้รีบกลับ หูพลันได้ยินเสียงชุยอี้ตะโกนมา “นายท่านสาม
นายท่านสาม นายท่านรีบมาเร็วเถิดขอรับ มีรถม้าของจวนสกุลซูกำลังมา! อ๋า ต้องเป็นคุณหนูสกุลซูญาติท่านแน่เลยขอรับ!”
“เปี่ยวเกอ เปี่ยวเกอ” ยามนี้ เหลียนฟางโจวได้ยินเสียงร้องเรียก
หวานหยดย้อยของซูซินเอ๋อร์ดังแหวกอากาศมาก
สีหน้าเหลียนฟางโจวเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง หญิงสาวรีบเอ่ยทันที “ช้าต้องไปแล้วจริงๆ! ท่านชายชุย ท่านอย่าได้บอกคุณหนูสกุลซูว่าเจอข้าล่ะ!”
ชุยเฉ้าซีหันไปมองรถม้าของจวนสกุลซูพลางขมวดคิ้วด้วยความเดียดฉันท์
พอได้ยินเหลียนฟางโจวเอ่ยมาเช่นนี้ ก็โพล่งชึ้นด้วยความประหลาดใจ “เพราะเหตุใดเล่า?”
“เพราะว่า” เหลียนฟางโจวชะงักไปนิด
แล้วสบตาชายหนุ่มด้วยสายตานิ่งสงบ พลางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “มัวแต่มาคอยคารวะทักทายไปมาอยู่เช่นนี้
ข้าคงไม่ได้กลับบ้านกันพอดี! หากรู้แล้วว่าเป็นคุณหนูสกุลซู่
แต่ยังไม่ยอมไปคารวะทักทาย ก็ยิ่งไร้มรรยาทเข้าไปใหญ่!”
ชุยเฉ้าซีเห็นซูซินเอ๋อร์ตรงเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จึงรู้ว่าถึงอย่างไรตนเองคงไม่อาจอยู่รั้งรอส่งเหลียนฟางโจวได้อีก จึงพยักหน้าอีกครา “อย่าได้กังวลไปเลย เช่นนั้นเจ้ารีบออกเดินทางเถิด! มืดค่ำขึ้นมาคงไม่ดีเอาจริงๆ!”
“ลาก่อน!” เหลียนฟางโจวค้อมศรีษะคราหนึ่ง แล้วปล่อยผ้าม่านรถทิ้งตัวลง พลางสั่งการให้สารถีเร่งความเร็วรถ
คณะของเหลียนฟางโจวเพิ่งจะจากไปไม่นาน รถม้าของซูซินเอ๋อรก็มาถึง นางเลิกผ้าม่านรถขึ้น
หญิงสาวยู่ปากใส่ชุยเฉ้าซีด้วยความไม่พอใจ "เปี่ยวเกอ ข้าเรียกท่านตั้งนาน
ไฉนท่านถึงไม่ตอบล่ะ!”
ชุยเฉ้าซีหันหัวม้ามาแล้ว แล้วโพล่งขึ้นอย่างหงุดหงิด
“เจ้าไม่เห็นรึว่าข้าขี่ม้าอยู่? พออ้าปากพูดลมก็เข้าปากหมดสิ แล้วข้าจะตอบเจ้าได้อย่างไร? อีกอย่าง เจ้าก็มาถึงแล้วมิใช่รึ?”
“มิใช่เช่นนั้น ข้าไม่เคยคิดเข้าใจเปี่ยวเกอผิดเลย!” ซูซินเอ๋อร์คอยห่วงใยชุยเฉาซี และมักเชื่อคำพูดของญาติหนุ่มเสมอ
ทั้งที่ก่อนหน้านั้นนางยังบ่นอยู่เลย เพียงพริบตาเดียวก็เผยสีหน้าละอายใจเสียแล้ว
นางเหลือบมองรถม้าของเหลียนฟางโจวด้วยความสนใจใคร่รู้ พลางถามขึ้น “เปี่ยวเกอ
นั่นใครน่ะ? เหตุใดถึงได้รีบร้อนนักเล่า? เปี่ยวเกอออกนอกเมืองมาหาเขาเพื่อทำอะไร?”
พอได้ยินซูซินเอ๋อร์เปิดปากถามออกมาเป็นชุด ตัวเขาเองแทบทนไม่ไหว
เขาจะอยู่ที่ไหนทำอะไร ล้วนจะต้องรายงานนางทุกเรื่องหรือไร นางถึงจะพอใจ ชายหนุ่มได้แต่ระอาใจ แทบไม่อยากมองหน้าหญิงสาว
จึงเอ่ยด้วยเสียงเฉื่อยเนือย “สหายคนหนึ่ง! ผู้อื่นเขาอยากรีบกลับบ้านน่ะ!”
“อ้อ” ซูซินเอ๋อร์ร้องออกมาคำหนึ่ง
ดวงตากลมโตเปล่งประกาย กำลังจะถามต่อว่าใครกัน
ชุยเฉ้าซีพลันหันหน้าไปอีกทางแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ข้าบอกเปี่ยวเม่ยแล้วนะ เฮ้อ..วันนี้อากาศเย็นเหลือเกิน
ข้าเริ่มทนไม่ไหวแล้ว เห็นทีจะต้องล่วงหน้าไปก่อนล่ะ
เจ้าก็ค่อยตามกลับมาช้าๆแล้วกัน!”
พูดจบก็ฟาดแส้อย่างเต็มเหนี่ยวสองสามที ม้าที่เขาขี่อยู่ก็พลันชูสองขา
พลางส่งเสียงร้องฮี้ๆ แล้วพุ่งทะยานออกไปทันที ชุยอี้เห็นดังนั้น ก็รีบชักม้าตามไปติดๆ
ฝ่ายคุณหนูลูกพี่ลูกน้องเมื่อเห็นดังนั้น ก็รีบร้องตะโกนเรียกตามหลังไม่หยุด พลางแอบส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้
ซูซินเอ๋อร์ตะเบ็งเสียงร้องเรียกอีกสองสามครา
กระนั้นชุยเฉ้าซีก็ยิ่งขี่ม้าไกลห่างออกไปเรื่อยๆ นางอดย่ำเท้าด้วยความโมโหไม่ได้
ใบหน้าทรงเสน่ห์มืดทะมึน พลางบ่นอย่างเอาแต่ใจ “เปี่ยวเกอ เขาเป็นอะไรของเขานะ! เขาไม่ได้ยินที่ข้าตะโกนเรียหรือไร? ถ้ารู้สึกหนาว ก็ขึ้นมาบนรถม้าสิ! ไฉนถึงได้ขี่ม้าไปเช่นนี้! ถ้าเกิดต้องลมแล้วล้มป่วยขึ้นมา จะทำอย่างไรดี!”
ฝ่ายจู้เซียงสาวใช้คนสนิท เป็นห่วงคุณหนูของตนที่เอาแต่หลงรักท่านชายผู้เป็นญาติอย่างไม่ลืมหูลืมตาจนปัญญามืดบอด
นางค่อยๆพูดตะล่อมกับนายของตนเช่นที่เคยทำมาเสมอ พอได้ยินคุณหนูพูดมาเยี่ยงนี้ก็ชักไม่กล้าเข้าไปแนะนำ
คิดตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มประจบ
“เปี่ยวจ้าวเย่ (นายน้อยผู้เป็นญาติ)เป็นผู้มีความประพฤติดี ไหนเลยจะนั่งรถม้าไปกับคุณหนูเช่นท่านสองต่อสองได้เจ้าคะ?”
“เรื่องนี้มีอะไรที่ไม่ได้เล่า? ข้าเองยังไม่เห็นสนสักหน่อย!” ซูซินเอ๋อร์กลอกตาใส่จู้เซียงคราหนึ่ง
จู้เซียงรีบพูดเสริมอีกครา
“แม้นคุณหนูไม่รังเกียจ บ่าวคิดว่าเปี่ยวจ้าวเย่คงเกรงว่าจะกระทบชื่อเสียงของสตรีในห้องหออย่างคุณหนู เปี่ยวจ้าวเย่ทำเช่นนี้
เพราะคำนึงถึงคุณหนูนะเจ้าคะ!”
ซูซินเอ๋อร์ตรึกตรองดูสักครู่ ดวงหน้าเล็กงดงามฉายแววโล่งใจขึ้นโข
พลางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “วาจาของเจ้าฟังดูมีเหตุผล ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน!
ทว่า เฮ่อ ถ้าเกิดเปี่ยวเกอต้องลมหนาวขึ้นมา จะมิใช่ความผิดของข้าได้อย่างไร! ถึงอย่างไร สุขภาพก็สำคัญกว่าชื่อเสียงเสื่อมเสียอยู่ดีแหละ ยิ่งเปี่ยวเกอเป็นพวกเรื่อยเปื่อยไม่ค่อยสนอะไรอยู่ด้วย...”
ที่จริงซูซินเอ๋อร์นับวันนับคืน อยากให้ชื่อเสียงนางพัวพันสนิทแน่นกับเปี่ยวเกอเร็วๆนะสิ
จู้เซียงเข้าใจความรู้สึกของนายสาวดี
จึงได้แต่อมยิ้ม
“กลับได้แล้ว!” ซูซินเอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้น “ข้าจะกลับไปตรวจสอบดูสิว่าเปี่ยวเกอกลับไปจริงๆ จะได้วางใจ! เร็วเข้า!” จู้เซียงไร้ซึ่งคำพูดซ้ำยังไม่กล้าแสดงออกทางสายตา สารถีร้องรับคำ แล้วรีบหันหัวรถม้าบ่ายหน้ากลับเข้าเมืองไป
เหลียนฟางโจวพร้อมผู้ติดตามกลับถึงเมืองยู่เหอในยามเซินหนึ่งเค่อ(ราวบ่าย
3-5โมงเย็น) แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถลากเทียมลาแทน ยามถึงบ้าน ท้องฟ้ายังไม่ถึงกับมืดสนิท
เมื่อขนสัมภาระบนรถลงไปเก็บและได้ดื่มชาร้อนหนึ่งถ้วยแล้ว
เหลียนฟางโจวรู้สึกอดใจไม่ไหวจึงไปบ้านป้าจาง
“ฟางโจวกลับมาแล้ว!” ป้าจางเห็นหญิงสาวมาก็แย้มยิ้มเปล่งเสียงเร้องเรียก ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่าหญิงสาวมาด้วยเหตุผลใด
“ป้าจาง มีข่าวมาบ้างหรือยัง?” เหลียนฟางโจค่อนข้างขัดเขิน เรื่องจำพวกการล่าสัตว์เนี่ย
จะว่าเร็วก็เร็วมาก จะว่าช้าก็ช้ามาก บางทีก็อาจกลับมามือเปล่า
ป้าจางพรูลมหายใจเบาๆ หญิงวัยกลางคนกุมมือหญิงสาวแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ได้รับข่าวเลย
ข้าเองก็รออยู่เหมือนกัน! เจ้าวางใจเถิด พี่ชายข้าบอกไว้ว่า
หากมีข่าวมาเมื่อใดจะให้คนมาแจ้งทันที!”
ซ้ำยังเอ่ยปลอบอีกว่า “มีชายฉกรรจ์ร่างกำยำร่วมทางไปอีกสองสามคน
พวกเขาแข็งแกร่งมาก! ต่อให้ล่าไม่สำเร็จ จะไม่เกิดเรื่องอันใดแน่นอน!”
“อื้ม!” เหลียนฟางโจวผงกศรีษะ “อาเจี่ยนและอาเซ่อล้วนเป็นคนสุขมรอบคอบ
ถึงรู้ว่าไม่มีอะไร ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ข้าเองรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้าง พอไม่ได้มาหาท่านป้าที่นี่เพราะติดธุระต้องเดินทาง
ในใจข้าเลยไม่สงบเอาจริงๆ!”
ป้าจางได้ยินหญิงสาวเอ่ยออกมาตรงๆเช่นนี้ถึงกับหลุดหัวเราะ
พลางพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้าดี
จิตใจข้าก็แขวนค้างไม่ต่างจากเจ้าเช่นกัน!”
หลังจากสนทนาสัพเพเหระอีกไม่กี่คำ เหลียนฟางโจวได้คลายความกังวลลงไปไม่น้อย ครั้นแล้วจึงกลับไปบ้าน
เหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อทั้งสองแม้ยังเยาว์นัก
แต่ก็เชื่อฟังคำสั่งอย่าเคร่งครัด เด็กน้อยทั้งสองมีนิสัยอดทนอย่างน่าชมทีเดียว
เมื่อรับปากเหลียนฟางโจวว่าจะไม่บอกอาสาม
ก็ไม่บอกจริงๆ อาสามพบว่าคู่ฝาแฝดนี้เดี๋ยวผุดลุกเดี๋ยวผุดนั่งหน้าตาไม่เสบยตลอดทั้งวัน แม้นนางจะเพียรถามสักเท่าใด พวกเขาก็ยังไม่ยอมเล่าความจริงใดๆ
พอเห็นเหลียนฟางโจวกลับมาแล้ว อาสามเลยโพล่งขึ้น
“คืนนี้อาเจี่ยนกับอาเซ่อจะกลับมากินมื้อเย็นหรือไม่? ตั้งแต่ไปช่วยงานที่บ้านป้าจาง ดูท่าตอนมื้อเย็น..พวกเขาคงไปกินที่บ้านโน้นกระมัง
?”
“อื้ม” เหลียนฟางโจวเปล่งเสียงออกมาคำหนึ่ง “สองคนนั้นไปบ้านเดิมของป้าจางโน่น
อาจกลับมาพรุ่งนี้เลย!”
“อ้อ” อาสามร้องขึ้นมาคำหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก
ตลอดมื้อเย็น สมาชิกสองคนที่ขาดไปดูจะเป็นที่คิดถึงไม่น้อย ทุกๆคนที่เหลือบังเกิดความรู้สึกวูบโหวงในใจ กินข้าวกันอย่างเหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หลังมื้อย็น
เหลียนเช่อและเหลียนฟางฉิงอดแอบไปถามเหลียนฟางโจวมิได้ “พี่ใหญ่
พี่เจี่ยนกับพี่รองจะกลับมาเมื่อไรแน่? จะไม่เกิดเรื่องอันใดกับพวกเขาใช่หรือไม่?”
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ ^_^
ต้องขออภัยที่อัพช้ามากๆ ด้วยนะคะ ช่วงนี้งานเร่งอยู่เลยค่ะ
รอคร้า
ตอบลบฟางโจวเริ่มมีความรักแล้ว
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบรอคอยเสมอค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ตอบลบได้กลับบ้านแล้ว รออ่านอาเจี่ยนต่อไป
ตอบลบค้างค่ะไรท์เป็นห่วงอาเจี่ยนไรท์มาอีกนะคะหายไปนานคิดถึงค่ะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
ตอบลบ