เหลียนฟางโจวพลันรู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย ขณะพยายามฝืนตนเองสุดฤทธิ์ ไม่ให้สบตาอาเจี่ยน หญิงสาวจงใจเมินเฉยคำพูดของเหลียนเซ่อ แล้วรีบเอ่ยแย้มยิ้ม “แล้วไฉนเจ้าถึงไม่อยู่เล่นสนุกต่อเล่า? คงมิได้ไปทะเลาะกับใครมาหรอกนะ!”
“ไม่ใช่เสียหน่อย!” ขณะเอ่ยวาจา สีหน้าของเหลียนเซ่อราบเรียบขึ้น เด็กหนุ่มเบนสายตาอันเครียดขรึมไปทางอาเจี่ยน พลางเอ่ยขึ้น “พี่เจี่ยนเคยกล่าวเสมอว่า เพียรฝึกฝนไม่หยุดยั้ง คือวิถีการเรียนวรยุทธ์อันสูงส่ง เพราะเหตุนี้ข้าจึงกลับมาเพื่อฝึกยุทธ์!”
อาเจี่ยนโคลงศีรษะขึ้นลงด้วยความชื่นชม จัดแจงถอดเสื้อคลุมที่ชุนเสร็จแล้วออก แล้ววางไว้ข้างๆ ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เจ้ามีใจเช่นนี้หายากนัก ไป เราไปลานหลังบ้านกันเถอะ!”
“เช่นนั้นก็ไปเถิด!” เหลียนฟางโจวระบายยิ้ม สายตามองตามหลังบุรุษสองคนที่สาวเท้าเดินออกไป
บรรดาเด็กที่บ้านฐานะยากจน ล้วนมีหน้าที่รับผิดชอบงานที่บ้านซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ไก่โห่ วันทั้งวัน มีเด็กคนไหนที่ไม่ต้องช่วยงานที่บ้านบ้าง? มิพักต้องเอ่ยถึงในสมัยโบราณที่ขาดแคลนสิ่งบันเทิงเริงรมย์ ต่อให้มีก็เถอะ ก็คงมีเด็กไม่กี่คนที่มีเวลาไปเล่นสนุกได้
ช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ มีอาหารดีๆให้กิน ซ้ำยังมีเวลาได้เล่นสนุก แถมยังสามารถจุดประทัดได้ โอกาสเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่งนัก ถึงจะเป็นช่วงเวลาหายากที่เหลียนเซ่อเฝ้ารอมาตลอด แต่เด็กหนุ่มกลับยอมวางการละเล่นสนุกทั้งหมดลง โดยมิลืมกลับมาฝึกฝนวรยุทธ์ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้สำคัญต่อเขามากอย่างยิ่งยวด
เขามีความตั้งใจเช่นนี้ เรียนรู้สิ่งใดจะไม่สำเร็จได้หรือ ?
เหลียนฟางโจวพลันรู้สึกปลาบปลื้มใจยิ่งนัก
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม อาสามก็พาเหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อกลับมาพร้อมกันด้วย หลียนฟางโจวหลุดหัวเราะออกมา ไม่รู้ว่าอาสามและเด็กๆไฉนถึงมาด้วยกันได้ แต่ละคนต่างรีบนั่งลงผิงไฟกัน รินชาร้อนๆแล้วจิบไปสองอึก
จมูกบนใบหน้าน้อยๆของเด็กทั้งสองแดงก่ำ นิ้วมือน้อยๆเย็นเฉียบ ทว่าดวงตาทอประกายแห่งความสุข ส่งเสียงคุยกันขรมว่า “ไม่เห็นหนาวเลยเนอะ!”
อาสามรีบเอ่ยถาม “ไยเจ้าถึงอยู่ในบ้านผู้เดียวล่ะ? อาเจี่ยนก็ออกไปข้างนอกด้วยรึ? มิได้บอกอาเซ่อให้กลับมาหรือไร ? แล้วคนล่ะไปไหน?
เหลียนฟางโจวเอ่ยแย้มยิ้ม “อาเจี่ยนกับอาเซ่อกำลังฝึกวรยุทธิ์อยู่ที่ลานหลังบ้านโน่น!’
“ว่าไงนะ?” อาสามชะงักไป “บ้าไปแล้ว ขนาดช่วงเทศกาลปีใหม่ก็ยังไม่หยุดกันอีก จริงๆเลย….”
“เขาชอบก็ดีแล้ว เรียนรู้ด้วยการลงมือทำเป็นวิถีของยอดฝีมือนะ!” เหลียนฟางโจวแย้มรอยยิ้มบาง พลางถือโอกาสนี้สอนบทเรียนเหลียนฟางฉิงและเหลียนเช่อ ให้พวกน้องน้อยทั้งสองคนอยากเอาเยี่ยงอย่างเรื่องความมุมานะหมือนพี่ชายคนรองบ้าง เด็กๆทั้งคู่ต่างผงกศรีษะรับทราบ
ไม่นานนักอาเจี่ยนกับเหลียนเซ่อก็เข้ามาในเรือน ผมของคนทั้งสองค่อนข้างยุ่งเหยิง อาภรณ์ที่สวมต้องลมหนาวจนเย็นเฉียบ แต่กระนั้นคนทั้งคู่ยังคงหอบหายใจเหงื่อไหลโทรมกาย
เมื่อพวกเขาได้ดื่มชาร้อนและพักพอหายเหนื่อยแล้ว เหลียนฟางโจวจึงเดินถือซองแดงออกมา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อตอนนี้ทุกคนมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว เช่นนั้นก็มารับอั่งเปากันเลยจ้า!”
การได้จับซองแดงทำให้น้องๆทั้งสามต่างปลื้มปริ่มด้วยความตื่นเต้นยินดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามเหลียนฟางโจวเน้นย้ำว่าเงินนี้ให้พวกเขาเก็บสะสมไว้เป็นเงินส่วนตัว ไม่ต้องเอามาคืน ก็ยิ่งเพิ่มพูนความยินดีของพวกเขาให้ทวีขึ้น
อาสามก็ได้รับอั่งเปาด้วย เหลียนฟางโจวกล่าวคำขอบคุณนางด้วยความซาบซึ้งใจด้วยใจจริง หากไม่ได้นาง ที่ตอนนั้นได้พูดขอไว้ ตัวเธอในตอนนี้จึงไม่ต้องมานั่งเสียใจและเสียดายที่ปล่อยอาเจี่ยนไป
ฝ่ายอาเจี่ยนมิได้อยากได้อั่งเปาเลย หลังจากเขารับซองซองแดงมา ก็ยื่นคืนกลับไปให้หญิงสาวทันที เธอจึงได้เพียงแต่ระบายยิ้มและช่วยเป็นธุระเก็บไว้ให้แทนเจ้าของ
เหลียนฟางโจวรู้ดีว่าเขามักเป็นเช่นนี้เสมอ เธอจึงหยิบซองแดงกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“ไปดูที่หมูตึกโน่นกันหน่อยเถิด ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาทำอะไรกันอยู่ ! เอาอั่งเปาไปแจกพวกเขา ดีร้ายอย่างไรก็ต้องพูดตักเตือนกันสักสองรอบ ที่โน่นคนเยอะแถมอยู่ว่างๆไม่มีอันใดทำ อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้โดยง่าย ยามโพล้เพล้แสงสว่างน้อยยิ่งต้องระมัดระวังกันด้วย! “ เหลียนฟางโจวย้ำกับเหลียนเซ่อและอาเจี่ยน
เหลียนเซ่อและอาเจี่ยนเปล่งเสียงรับคำ ต่างคนต่างคลี่เสื้อคลุมหนาหนักและหมวกขึ้นมาสวม ครั้นแล้วจึงสาวเท้าออกไปพร้อมโคมไฟนำทางในมือ
หลังมอบหมายให้ฉินเฟิงและซูจื่อจี้เป็นหัวหน้าเหล่าบริวารแล้ว ฉินเฟิงจึงปกครองเหล่าข้าทาสอย่างเข้มงวด ยิ่งคืนนี้ เขาอนุญาตให้ลูกน้องเล่นสนุกกันอยู่เพียงแต่ในลานของหมู่ตึกเท่านั้น ไม่ให้เข้าไปเตร็ดเตร่ในหมู่บ้านเด็ดขาด พอฟ้ามืด ก็สั่งให้จางเสี่ยวจุนปิดประตูกำแพง โดยที่ทุกคนไม่กล้ามีความเห็นเป็นอื่น
เหลียนฟางโจวกับพวกมาเพื่อนำอั่งเปามาแจกให้ พร้อมให้โอวาทเล็กน้อย ข้าทาสทุกคนล้วนยินดีปรีดา กล่าวชื่นชมบรรดาเจ้านายว่ามีใจกว้างกรอปด้วยเมตตากันทุกคน พอฟังเสียงนกกระจอกแตกรังจบ อีกประเดี๋ยวคนทั้งสามก็กลับไป
เมื่อกลับถึงบ้าน ทุกคนในบ้านต่างรับประทานอาหารมื้อดึกกัน เหลียนฟางฉิงและ
เหลียนเช่อรู้สึกง่วงนอนเล็กน้อย ทั้งสองคนพยายามฝืนตนเอง ไม่ยอมนอน บอกว่าต้องการรอต้อนรับวันปีใหม่ด้วย รวมทั้งรอจุดประทัดอีกรอบ แล้วถึงจะเข้านอน
เหลียนฟางโจวแสนเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ หญิงสาวจึงฆ่าเวลาด้วยการเล่านิทานโดยไม่คิดอะไร ใครจะรู้เล่าว่า ไม่เพียงน้องน้อยสองคน คนอื่นๆที่เข้ามาฟังเรื่องเล่าล้วนบังเกิดความสนเท่ห์ อาเจี่ยนรู้สึกทึ่งเป็นอันมาก มิคาดว่าความคิดของหญิงสาวจะปราดเปรื่องและแปลกประหลาดถึงเพียงนี้
ล่วงเข้ายามจื่อ(23.00-01.00)ในที่สุด พอถึงช่วงเวลานี้ ไม่ว่าที่ไหนๆบนพื้นดินหรือบนท้องฟ้า ล้วนเต็มไปด้วยเสียงระเบิดของดอกไม้ไฟและเสียงประทัดดังลั่นสนั่นรัวไปทั่ว พี่ใหญ่ เหล่าน้องๆ และคนอื่นๆพากันมาที่ลานบ้าน เพื่อจุดประทัดพวงใหญ่ยาวเหยียด
ท่ามกลางเสียงประทัดเสียงดอกไม้ไฟ ณ บัดนี้ได้ล่วงผ่านรัชศกเจี้ยนเต๋อปีที่30 เข้าสู่รัชศกเจี้ยนเต๋อปีที่31 อย่างเป็นทางการแล้ว
ปีใหม่ ความหวังใหม่ ตามความเห็นของเหลียนฟางโจว แผนงานต่างๆที่เธอวางไว้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น !
“สวัสดีปีใหม่!” ต่างคนต่างเอ่ยทักกันและกัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน ที่กำลังเดินมุ่งหน้าเข้าเรือน เหลียนฟางโจวเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เอาล่ะ ทุกคนเข้านอนกันได้แล้ว พรุ่งนี้ยังต้องตื่นขึ้นมาฉลองปีใหม่กันแต่เช้านะ!”
ยามนี้ทุกคนดูจะง่วงงุนกันเต็มที แต่ละคนที่หาวกันแทบไม่ได้หยุด พยักหน้ารับคำ แล้วต่างไปล้างหน้าบ้วนปาก กลับเข้าห้องเพื่อนอนหลับพักผ่อน
ขณะกำลังสะลึมสะลือคล้ายอยู่ในห้วงฝันนั้น จู่ๆคลับคล้ายว่าได้ยินเสียงตบประตูรั้วและเสียงคนตะโกนเรียกดังขึ้นเลือนราง คราแรกเหลียนฟางโจวคิดว่าตนเองหูแว่วไปเอง ต่อมาประสาทสัมผัสเริ่มทำงานดีขึ้น เสียงตบประตูและเสียงตะโกนนั้นก็เริ่มทวีชัดชึ้นตามลำดับ
หญิงสาวสะดุ้งตื่นลุกขึ้นนั่ง รีบแต่งกายให้เรียบร้อย แล้วจุดตะเกียงเดินมาที่ฉากกั้น พลางร้องเรียกอาสาม
อาสามได้ยินเสียงนั้นเหมือนกัน ตอนหญิงสาวเดินมาหา นางกำลังลุกขึ้นนั่งขยี้ตาอยู่ ขณะสวมอาภรณ์ไปพลาง ก็เอ่ยขึ้นว่า “นี่มันใครกันละเนี่ย คนที่ตะโกนเรียกนี่ ดูท่าจะขวัญเสียเอามากๆ ! วันปีใหม่แบบนี้ หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ก็คงไม่ออกมาหรอกกระมัง!”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าใคร ข้าได้ยินไม่ค่อยถนัด! คงมิใช่คนที่เรารู้จักหรอกกระมัง ไปดูกันก่อนเถิด แล้วค่อยว่ากันอีกที!” เหลียนฟางโจวโพล่งออกมา
มีคนสองคนปรากฏตัวอยู่ คืออาเจี่ยนและเหลียนเซ่อที่โผล่ออกมาจากห้องด้วย
“เกิดอะไรขึ้น? ฟางโจว ไยมีเสียงคนตะโกนเรียกชื่อเจ้าล่ะ!” แววตาอาเจี่ยมเข้มลึก
“ข้าเองก็ไม่รู้!” เหลียนฟางโจวส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน คนทั้งสี่จึงก้าวออกไปจากเรือนพร้อมกัน
พลันที่ประตูรั้วถูกเปิดออก เหลียนฟางโจวยังมิทันได้เอ่ยอันใด เพียงเห็นเป็นเงาร่างสูงที่ร้องเรียกอย่างโศกเศร้าระคนขวัญเสียว่า “แม่นางเหลียน” พร้อมทั้งทรุดตัวลงคุกเข่าไปด้วย พาให้คนทั้งสี่ที่ยืนอยู่สะดุ้งด้วยความตกใจ!
อาเจี่ยนก้าวขึ้นหน้ามายืนบังคนทั้งสามโดยไม่รู้ตัว
“ท่านคือ...ท่านลุงซุน!” เหลียนฟางโจวตะลึงงัน รีบเรียกเหลียนเซ่อให้มาช่วยประคองซุนฉางซินยืนขึ้น แล้วเอ่ยถาม “ ท่านลุงซุน..ท่านมานี่มีเรื่องอันใดรึ? มีอะไรก็ค่อยๆพูดค่อยๆจากันนะ!”
บุคคลที่มานี่ อาศัยอยู่ในกระท่อมที่อยู่ขอบชายหมู่บ้าน ชื่อว่าซุนฉางซิง แห่งตระกูลนายพราน ยามนี้ซุนฉางซิง ผมเผ้ายุ่งเหยิง อาภรณ์ยับย่น ดวงตาแดงก่ำ ทั่วทั้งใบหน้าซีดเซียวและหวาดกลัว เขามีท่าทางงกๆเงิ่นๆ ใบหน้าเขาดูราวแก่ลงไปเป็นสิบปี
เขาไม่ยินยอมลุกขึ้น ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นเขม้นจ้องเหลียนฟางโจวอย่างมุ่งมั่นแน่วแน่ ด้วยสายตาชนิดที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและอ้อนวอนขอ คล้ายว่าขอเพียงแค่รับปากเขา หากต้องการชีวิตเขาเป็นการตอบแทน เขาย่อมยินดีสละชีวิตให้ต่อหน้าโดยไม่ลังเลสักนิด
“แม่นางเหลียน ข้าขอร้องเจ้าแล้ว ขอร้องเจ้าให้ช่วยชีวิตอาหมิงลูกชายข้าด้วยเถิด! แม่นางเหลียน ข้าจะทำงานดุจวัวดุจม้าตอบแทนเจ้า ขอร้องเจ้าช่วยชีวิตอาหมิงลูกชายข้าด้วยเถิด!” เสียงแหบเครือของซุนฉางซิงดังขึ้น ขณะที่น้ำตาไหลพรูอาบสองแก้ม บุรุษตัวโตอายุหลายสิบปีผู้หนึ่ง หากมิใช่เพราะสิ้นหวังอับจนหนทางแล้ว ก็คงไม่ร่ำไห้ออกมาเช่นนี้!
“พี่ซุนหมิงรึ?” เหลียนฟางโจวหน้าถอดสี แล้วเอ่ยถามต่อ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
------------------------------------------------------------------------------------------
พระรองอีกคนใกล้จะปรากฏตัวแล้วค่ะ แต่ก็อีกหลายตอน
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ ^_^
ทิ้งท้ายไว้แบบนี้ คนอ่านก็รอใจจดใจจ่อ อยากเห็นพระรองค่ะ
ตอบลบแหมนึกว่าท่านอม่ทัพจะยืนหนึ่ง
ตอบลบห๊า..ยังจะมีหนุ่มมาเพิ่มอีกแค่คุณชายอะไรนั่น(ขอโทษทีจำชื่อไม่ได้แล้วจ้า)ก็น่ารำคาญแล้วนะ รอติดตามตอนต่อไปค่า
ตอบลบค้างจังงงง
ตอบลบขอบคุณค่ะ
ขอบคุณที่แปลให้อ่านนะคะ ยังมีพระรองของพระรองอีกเหลอค่ะ รออ่านแทบไม่ไหวแล้ว
ตอบลบขอบคุณมากนะคะ ที่แปลให้อ่าน
ตอบลบสนุกมากค่ะ แต่ก็ค้างอีกแล้ววววว
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ
มาเร่งให้พระนางเรารู้ใจตัวเองสินะ
ตอบลบอ้าว พระรองมาอีกคนแล้ว หัวกระไดไม่แห้งจริงๆบ้านนี้ ขอบคุณค่าาา
ตอบลบขอบคุณคร้ายังรอและติดตามเสมอนะ
ตอบลบ