วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2562

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 232 - มากล่าวขอบคุณ

จังหวะนี้  อาเจี่ยนและเหลียนเซ่อช่วยกันประคองซุนฉางซิงให้ยืนขึ้น
แม้จะประคองเขาขึ้นมาได้แล้ว ซุนฉางซิงกลับดูคล้ายคนที่โดนสูบเอาเรี่ยวแรงออกไปจนหมดสิ้น
พออาเจี่ยนปล่อยมือจากร่างที่ประคอง  ร่างที่ยืนซวนเซสั่นเทิ้มอยู่นั้น  จึงทรุดฮวบลงทันที
ซุนฉางซิงเอ่ยด้วยเสียงแหบเครือ “เขามีไข้สูงจัด  ตัวร้อนดั่งไฟเผา ไข้สูงมากไม่ลดลงเลย  ทำอย่างไรไข้ก็ไม่ลด!  แม่นางเหลียน  ขอร้องท่านช่วยชีวิตเขาที  ขอร้องเจ้าช่วยชีวิตเขาด้วยขอรับ!”
ไม่เพียงเหลียนฟางโจว อาสาม อาเจี่ยน และเหลียนเซ่อต่างอดหน้าถอดสีไม่ได้ อาสามถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ


ไม่ว่าใคร หากมีไข้สูงจัดๆแบบนี้  ย่อมทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เลย
เหลียนฟางโจวตัดสินโดยพลัน  พลางพยักหน้าแรงๆ “เราจะเดินทางเข้าเมืองทันที! อาเจี่ยน ท่านรีบเตรียมรถเถิด!”
  ซุนฉางซิงตื่นเต้นยินดีเป็นล้นพ้น   พร่ำขอบคุณหญิงสาวมิได้หยุด ซ้ำทำท่าจะคุกเข่าลงอีกครา  ส่งผลให้เหลียนฟางโจวรีบร้องห้ามให้เขาหยุดแทบไม่ทัน
            “ท่านรีบกลับไปเตรียมการก่อนเถิดนะ! เราจะได้ออกเดินทางกัน!” เหลียนฟางโจวร้องเตือน
            ซุนฉางฉิงพยักหน้าหงึกหงักกล่าวออกมาว่าใช่แล้ว  ครั้นแล้วจึงรีบวิ่งจากไป ขณะที่สะดุดล้มลุกคลุกคลานไปด้วย
  อาเจี่ยนไปหยิบยาสมุนไพรตากแห้งหลายๆชนิดมาเป็นอย่างแรก แล้วให้อาสามรีบไปต้มยามาหนึ่งชาม  จากนั้นจึงไปเตรียมรถลากเทียมลาต่อ
            ฝ่ายเหลียนฟางโจวหอบผ้าห่มผืนหนาหนักออกมา อีกทั้งยังเตรียมเสื้อคลุมหนาๆ พร้อมหมวกอย่างละสี่ชุด
            รถลากถูกเตรียมพร้อมอย่างเร็วรี่  ขณะที่เตาไฟลุกไหม้มิเคยมอด  การต้มยาจึงลงมือกระทำอย่างว่องไว
            ด้วยความทุ่มเทแข็งขัน เพียงไม่ถึงเค่อ ทุกอย่างก็ถูกจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อย
            เหลียนฟางโจวส่งผ้าห่มและเสื้อคลุมให้เหลียนเซ่อกับอาเจี่ยน  ทั้งยังมอบถุงเงินให้อาเจี่ยนด้วย “ข้าไม่ไปด้วยหรอกนะ  อาเจี่ยน ข้อขอวานท่านกับอาเซ่อ  ขับรถตามไปเดี๋ยวนี้เลย! เอาผ้าห่มนี้ให้พี่ซุนหมิงห่มด้วย  ส่วนเสื้อคลุมและหมวกนี่  ให้พวกท่านกับท่านลุงซุนไว้สวม ยาต้มหม้อนี้กับกระบวยตัก อาเซ่อเจ้าถือไว้ให้ดีนะ เอาไว้ให้พี่ซุนหมิงดื่ม ระหว่างเดินทางดูแลให้ดีด้วย! รีบไปเร็วเข้าเถิด!”
            เหลียนฟางโจวได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน  เรื่องทำนองนี้เธอย่อมไม่สะดวกจะออกหน้าด้วยตนเอง เคราะห์ดีที่มีอาเจี่ยนอยู่  จึงมิมีอะไรต้องกังวล
            “วางใจเถิด พวกเราไปก่อนนะ!” ช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องเร่งด่วนคล้ายการดับเพลิงที่โหมไหม้  จิตใจของทุกคนล้วนกระวนกระวาย อาเจี่ยนและเหลียนเซ่อจึงรีบออกเดินทางโดยมิชักช้า
            สายตาชองหญิงสาวทอดมองตะเกียงกันลมที่แขวนบนตัวรถซึ่งวิ่งฉิวออกไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด จึงทำให้มองเห็นเปลวไฟเป็นจุดเล็กๆเลือนราง แล้วค่อยๆห่างออกไปไกลเรื่อยๆ อาสามเปล่งเสียงสวดมนต์ภาวนาถึงพระพุทธองค์ แล้วหันมาเร่งเหลียนฟางโจวให้กลับเข้าเรือน “รีบกลับเข้าเรือนเถิด  ข้าต้มน้ำขิงไว้ ดื่มสักสองอึกให้ร่างกายอบอุ่น แล้วรีบเข้านอนเสีย จะได้ไม่เป็นหวัด!”
            กล่าวจบนางก็พรูลมหายใจออกมา “ปีใหม่ทั้งที  ช่างน่าเวทนาแท้!  ยิ่งบ้านแกมีแต่ลูกโทนด้วย หากมีอันเป็นไปขึ้นมาจริงๆ  สองสามีภรรยานั่นคงไม่ขอมีชีวิตอยู่เป็นแน่! เฮ้อ น่าสงสารจริงๆ!”
            “แล้วใครจะพูดว่าไม่เล่า!”  เหลียนฟางโจวพรูลมหายใจออกมาอีกคน
            ในใจของสตรีทั้งสองหนักอึ้งไม่น้อย  แต่ละคนดื่มน้ำขิงคนละถ้วย  เสร็จแล้วจึงกลับไปเอนกายนอนลงบนเตียงอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่มีใครหลับลง
            มีเพียงเหลียนฟางฉิงกับเหลียนเช่อสองคนเท่านั้นที่นอนหลับจริงๆ  หลับลึกหลับสนิทอีกต่างหาก จนไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น
            จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาตื่นขึ้นมา จึงได้พบว่าพี่รองและพี่เจี่ยนไม่อยู่บ้าน ครั้นสอบถาม ถึงได้รู้ว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้น
            น้องน้อยทั้งสองออกปากบ่นอย่างเป็นห่วง  ดวงตาเหลียนเช่อทอดมองเหลียนฟางโจวด้วยความรักเทิดทูนอย่างหาใดเปรียบ ซ้ำยังเอ่ยออกมาอย่างน่าคิด “โชคดี ที่เรามีพี่สาวที่แสนเก่งกาจ  หาไม่แล้ว  เกิดพวกเราล้มป่วยขึ้นมาจริงๆ  ทีนี้จะทำยังไงกัน!”
เหลียนฟางฉิงถึงกับอึ้งไป  เด็กน้อยโถมตัวเข้าใส่อ้อมอกเหลียนฟางโจว พลางกอดพี่สาวแน่น  เด็กน้อยเปล่งเสียงออดอ้อน “จริงด้วย จริงด้วย! พี่ใหญ่เก่งที่สุดเลย ข้ารักพี่ใหญ่ที่สุด รักที่สุดเลย!”
ใจของเหลียนฟางโจวกระตุกแรง
จริงเสียด้วย หากร่างนี้ยังเป็นเหลียนฟางโจวคนก่อน  แล้วถ้าเกิดพวกน้องๆเกิดมีไข้สูงจัดขึ้นมาล่ะ ใครเล่าจะสามารถจัดการเรื่องคอขาดบาดตายนี้ได้? 
พอใกล้เที่ยง  อาเจี่ยนและเหลียนเซ่อจึงกลับมา
เหลียนฟางโจวและอาสามรีบถามไถ่ว่าเป็นอย่างไร?
“จบแล้ว ไม่มีเรื่องอันใดแล้วล่ะ!  ที่โรงหมอ ท่านหมอเอายาต้มที่ทำสำเร็จรูป รินให้ดื่มหนึ่งชาม ตกรุ่งสาง คนไข้ก็ฟื้น ไข้ก็ลดลงด้วย  ขากลับเอายากลับมากินอีกสองสามเทียบ ดูแลพักฟื้นสักหลายๆวัน ก็หายแล้ว”
อาเจี่ยนอธิบาย
เหลียนเซ่อพูดแทรกขึ้น “แล้วที่ท่านหมอที่นั่นกับหมอที่ชุนถังพูดเป็นเสียงเดียวกันอีกล่ะ ว่าเคราะห์ดีที่ก่อนหน้านั้นได้ดื่มยามาหนึ่งชาม หาไม่แล้วยามถึงมือหมอ  ก็คงสายเกินการแล้ว  ไข้สูงจัดๆเช่นนี้ มีโอกาส 7-8 ในสิบส่วนที่คนไข้จะกลายคนสมองเลอะเลือนไปเลย!”
เด็กหนุ่มตวัดสายตาไปทางอาเจี่ยน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพเทิดทูน “พี่เจี่ยนช่างเก่งกล้าสามารถเสียจริง! พี่เจี่ยน  ท่านช่วยสอนทักษะด้านนี้ให้ข้าบ้างได้หรือไม่ขอรับ?”
“แน่นอนได้สิ”  อาเจี่ยนคลี่ยิ้มบาง
“ขอรับ”  เหลียนเซ่อเปล่งตอบด้วยความยินดีปรีดา เข้าไปค้อมหัวขอบคุณ
เหลียนฟางโจวพลอยยิ้มตามไปด้วย  แล้วเอ่ยถ้อยคำอันอบอุ่นกับอาเจี่ยน “ช่วยชีวิตคนยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น อาเจี่ยน..ท่านเป็นคนดีเห็นปานนี้  จะต้องมีแต่ข่าวดีมาถึง และคิดสิ่งใดก็จะสมความปรารถนาเป็นแน่!” 
อาเจี่ยนทราบความหมายที่หญิงสาวพูดดี  ทั้งสองสบตากันและส่งยิ้มให้กันและกัน อาเจี่ยนพยักหน้าให้นางด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอส่งคำอวยพรนี้ให้จ้าด้วย! จริงสิ กระท่อมที่พักของบ้านสกุลซุนนั่น มันเก่าแก่ทรุดโทรมยิ่งนัก ด้วยสภาพอากาศเช่นนี้  ไหนเลยจะทนอยู่อาศัยกันได้? ข้าจึงจัดแจงโดยพลการ พาพวกขาเข้าไปอยู่ในหมู่ตึก ให้หลี่ชื่อจัดเตรียมห้องพักไว้สองห้อง เพื่อให้พวกเขาเข้าไปพักอาศัยอยู่ชั่วคราว กินอยู่กับคนที่นั่นไปเลย!  ที่นั่นมีเตียงและเครื่องนอนเกินมาอยู่ ข้าเลยให้หลี่ชื่อเอาออกมาให้พวกเขาใช้ก่อนด้วย”
เหลียนฟางโจวผงกศรีษะ พลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ให้พวกเขาอยู่ไปเถิด!”  หญิงสาวฉุกคิดในใจ   แผนการบางอย่างเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง
  ซุนหมิงอาการดีขึ้นแล้ว  ทุกๆคนล้วนมีท่าทีผ่อนคลายลง
  ในวันขึ้นปีใหม่นี้  กล่าวได้ว่า อารมณ์ของทุกคนดีมากถึงมากที่สุด
           
อาเจี่ยนและเหลียนเซ่อวิ่งวุ่นกันทั้งคืน  พอรับประทานอาหารและล้างหน้าล้างเท้าด้วยน้ำอุ่นเสร็จแล้ว จึงพากันกลับเข้าไปพักผ่อนนอนหลับในห้อง
ไม่นานนัก  ซุนฉางซิงและภรรยาก็มาหา  เหลียนฟางโจวรีบเดินออกมาต้อนรับ
“แม่นางเหลียน” เมื่อทั้งสองคนเดินตรงเข้ามาถึงบริเวณลานบ้าน ก็ร้องเรียก ทำท่าจะคุกเข่าคารวะ เหลียนฟางโจวเลยรีบเข้ามาประคองนางซุนชื่อขึ้น พร้อมทั้งรีบร้องบอกซุนฉางซิงให้ยืนขึ้น
“เราคนหมู่บ้านเดียวกัน  ใครมีเรื่องทุกข์ร้อนมาขอความช่วยเหลือ ก็ต้องช่วยกัน เดิมทีก็เป็นเรื่องสมควรทำอยู่แล้ว  แล้วที่ลุงซุนกับป้าซุนมาร้องเรียกข้าเช่นนี้ มีเรื่องอึดอัดคับข้องอันใดรึ!”
“แม่นางเหลียน เจ้าเป็นคนดี!  จิตใจดั่งพระโพธิสัตว์  สวรรค์จะดลบันดาลให้พวกเจ้าสมปรารถนาในทุกสิ่ง สุขภาพดี ร่ำรวยเงินทองหากมิใช่เพราะเจ้า ลูกชายที่น่าสงสารของข้าคง....” แล้วซุนชื่อก็สะอื้นฮักออกมา ยกมือขึ้นปิดหน้า พลางร่ำไห้สะอึกสะอื้น ดวงตาที่ผ่านการร้องไห้มานานบวมแดงก่ำ
เหลียนฟางโจวรีบปลุกปลอบ ซุนฉางซิงก็เอ่ยว่า “รีบหยุดร้องไห้เสีย วันนี้วันขึ้นปีใหม่เจ้ามานั่งบีบน้ำตาร้องไห้ในบ้านแม่นางเหลียนเช่นนี้ จะเป็นลางไม่ดีเอา  หยุดร้องได้แล้ว !”
ซุนชื่อพยามกลั้นน้ำตาหยุดร้อง  พลางยกสองมือปาดน้ำตาทิ้งไป แล้วหันมากล่าวกับเหลียนฟางโจว”ขอโทษแม่นางเหลียนด้วย ข้า ข้ามิได้ตั้งใจร้องไห้ ข้าเพียงแต่  ใจข้าสุดจะทน....”
อาสามล้างถ้วยชามอยู่ในครัวเสร็จแล้ว ก็ปรากฏกายออกมา พลางเอ่ยขึ้น “มีวาจาใดต้องการกล่าว ก็รีบเข้ามานั่งพูดกันในเรือนเถิด!  ทุกคนเลิกยืนอยู่ข้างนอกได้แล้ว!”
“ถูกล่ะ ถูกล่ะ รีบเข้ามาในเรือนกันเถิด!”  เหลียนฟางโจวรีบพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ซุนฉางซิงและซุนชื่อรับคำ ขณะพากันเข้าไปนั่งในเรือนด้วยกัน
ทั้งสองสามีภรรยากล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งสุดใจ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน และเกลียดตนเองที่พูดขอบคุณออกมาจากใจทั้งหมดไม่ได้
เทียบกันแล้วอาสามเป็นผู้ที่คุยเก่งกว่าทุกคน  นางจึงอดถามในรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ พลางร่วมถอนหายใจอีกเฮือกไปพร้อมกับสามีภรรยาแซ่ซุน
 “หากไม่ได้แม่นางเหลียน  ครอบครัวเราคงถึงกาลอวสานแล้วจริงๆที่จริงที่มาเรียกหาแม่นางเหลียนนี่ ข้าเองก็ไม่รู้จะพูดอันใดดี!”  ซุนชื่อพรูลมหายใจออกมา
“แม่นางเหลียนเป็นคนมีจิตเมตตา “ ซุนฉางซิงพรูลมหายใจอีกคน “ ครานั้นข้าก็มิคิดจะวิ่งไปบ้านพวกท่านหรอก  แต่ข้ารู้ว่าแม่นางเหลียนจะไม่ปล่อยให้คนตายไปต่อหน้าโดยไม่ช่วยเป็นแน่!”
“ลุงซุน ป้าซุน พวกท่านอย่าได้เอ่ยเรื่องนี้อีกเลยนะ! หากพูดอีก ข้าจะเดินหนีไปที่อื่น ไม่ฟังอีกแล้ว!” เหลียนฟางโจวเข้าใจความรู้สึกพวกเขาดี  แต่พอฟังคำขอบคุณและคำรำพันซาบซึ้งนี้มากๆแล้ว ก็ให้รู้สึกอึดอัดและขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อย
อันที่จริงแล้ว เธอเองก็มิได้ลงมือทำอะไรเองเลยด้วยซ้ำ คงไม่อาจรับคำขอบคุณนี้ได้จริงๆ
--------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ ^_^

17 ความคิดเห็น:

  1. เออ..แล้วทำไมถึงตั้งใจมาเรียกนางเอกละอยากรู้เหตุผลจัง

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. อยากรู้เหมือนกันเลยค่ะ

      ลบ
    2. ไม่มีอะไรค่ะ เป็นเพราะเคยพานางเอกไปเก็บเห็ดที่เขาเซียนเถิงซาน จึงรู้นิสัยใจคอกัน และเห็นว่านางเอกพอมีฐานะพอช่วยเหลือได้ค่ะ

      ลบ
  2. เหมือนเป็นการปูเรื่องเพื่อเข้าสู่ปมต่อไปนะคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. นั่นสิคะเรืองนี้สุขได้มีกี่ตอนมีมารมาผจญเรื่อยเลย

      ลบ
    2. ค่ะ เพราะครอบครัวซุน จะมาช่วยงานนางเอกด้วย และในอนาคต ก็ต้องเกี่ยวดองทางใดทางหนึ่งกันอยู่ดีค่ะ และเป็นกำลังช่วยเหลือกันด้วย

      ลบ
  3. ครอบครัวนายพราน มีลูกเป็นบัณฑิตด้วยนี่นา นางเอกจะได้บัณฑิตมาช่วยงานอีกคนไหมคะ มีนายพรานด้วย ขยายกิจการได้เลย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คนที่ช่วยนางเอกใกล้ชิด มีแต่พระเอกแม่ทัพเราค่ะ ส่วนคุณพี่ซุนหมิงคอยช่วยนางเอกอยู่ห่างๆ และอนาคตจะได้เป็นขุนนาง คือเรื่องนี้มันยาว 1800 กว่าตอน ตอนไกลๆมากๆๆ ตระกูลเหลียน ตระกูลซุน ตระกูลหลี่(ของพระเอก) จะแผ่อิทธิพลในราชสำนัก มีส่วนช่วยให้ฮ่่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ค่ะ ประมาณนี้ค่ะ เดี๋ยวจะสปอยล์มากไป

      ลบ
  4. "และเกลียดตนเองที่พูดขอบคุณออกมาจากใจทั้งหมดไม่ได้" ชอบค่ะ

    ตอบลบ
  5. ชอบทุกตอนเลยชอบให้มีบทอาเจี่ยนเยอะๆแบบนี้แหล่ะแล้วเมื่อไหร่นางเอกจะได้ปลูกฝ้ายน๊า

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. อีกสามสิบกว่าตอนค่ะ

      ลบ
    2. โห..อีกนานเลยค่ารออๆๆๆๆรออ่านนะคะ

      ลบ
  6. สนุกตลอด ขอบคุณคนแปลมากนะคะ ^^

    ตอบลบ
  7. ขอบคุณมากค่ะ
    ยังคงสนุกน่าติดตามเช่นเดิม อยากจะอ่านตอนจบไว ๆ จังเลย รอลุ้นไปเรื่อย ๆ

    ตอบลบ
  8. รอต่อไปกับชีวิตฟางโจว สำนวนน่สรักขึ้นทุกตอนคะ

    ตอบลบ
  9. เริ่มก่อร่างสร้างพรรคพวกจากความมีน้ำใจ

    ตอบลบ