วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2562

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 233 ความในใจของซุนฉางซิง


            “เอาล่ะๆ ไม่พูด ก็ไม่พูด!”  ซุนฉางซิงและภรรยาต่างมองหน้ากัน  พร้อมหลุดหัวเราะออกมา ทั้งสองจึงเลิกพูดเรื่องนี้ไปโดยปริยาย จากนั้นซุนฉางซิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง “แม่นางเหลียน  เงินค่ารักษา ค่ายาทั้งหมด คุณชายเจี่ยนเป็นผู้ออกให้ ตอนนั้นพวกเรามัวแต่เคร่งเครียด จนลืมพกเงินติดตัวมาด้วย เจ้าถามคุณชายเจี่ยนให้ทีว่าทั้งหมดเป็นเงินเท่าไร เราจะได้กลับไปเอามาให้!
            ซุนฉางซิงนิ่งชะงักไป  พลางเอ่ยด้วยความกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย “กระท่อมที่พักของพวกข้า รอเดือนหนึ่งปีนี้ ข้าจะจ้างคนไปปรับปรุงซ่อมแซม ข้าเป็นห่วงว่าอาหมิงของข้า จะทนหนาวไม่ไหว สองสามวันนี้ ให้พวกเราอาศัยอยู่ในหมู่ตึกพวกท่านไปก่อนได้หรือไม่? เจ้าบอกมาเถิดว่าจะคิดค่าเช่า ระหว่างที่พวกเรามาพักอยู่ชั่วคราวสักเท่าไร...”

            ขณะที่ซุนฉางซิงเอ่ยวาจานี้ออกไป  ใจเขาประหนึ่งโดนเฆี่ยนด้วยหวายจนเลือดซิบ ให้เจ็บปวดใจยิ่งนัก กว่าจะรวบรวมเงินเก็บได้สักก้อน ช่างลำบากเลือดตาแทบกระเด็น พอถึงเวลาต้องจ่ายออกไปจริงๆ เขาจะไม่เสียใจได้อย่างไร?
            ทว่าสามีภรรยาคู่นี้ อกสั่นขวัญหายกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำวานนี้จริงๆ  เงินนั้นสำคัญก็จริง แต่ไม่สำคัญไปกว่าชีวิตบุตรชายของคนทั้งสอง ! หากเกิดเหตุขึ้นมาอีกครั้ง บุตรชายเขายังจะฝืนทนมีชีวิตอยู่รอดได้รึ?
       ชายวัยกลางคนกัดฟันแน่น  คิดว่าเขาเช่าที่พักของเหลียนฟางโจวดีกว่า !  ผ่านหน้าหนาวนี้ไปแล้ว ค่อยขยับขยายกันอีกที
            เหลียนฟางโจวรีบเอ่ย “แค่พักเพียงไม่กี่วัน  ไหนเลยจะมาพูดเรื่องขอเช่าได้  ข้าไม่คิดค่าเช่าหรอกนะ  ท่านกล่าวมาเช่นนี้ เห็นเราเป็นคนอื่นคนไกลแล้ว! ค่าหมอค่ายานั่นก็ด้วย จ่ายเงินไปไม่เท่าไรหรอก อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก !  พวกท่านพักอยู่ที่นั่นอย่างสบายใจเถิด แล้วก็รับประทานอาหารรวมกับคนที่นั่นไปเลยก็แล้วกัน! หากคิดว่าอยู่เฉยๆไม่ไหว  พวกท่านค่อยไปช่วยงานพวกเขาเล็กๆน้อยๆก็ยังได้
            “จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร!” ซุนฉางซิงปฏิเสธหัวชนฝา “ ที่แม่นางเหลียนหวังดีนั้น พวกเราซาบซึ้งใจนัก ทว่าเมื่อค่ำวานที่ไปรบกวนพวกท่านแบบนั้น ดึกดื่นค่อนคืนไม่มีเงินจ่าย ไหนเลยจะไปเคาะประตูโรงหมอได้? ข้าเห็นแจ้งแก่ใจเป็นอย่างดี! ครอบครัวพวกเราสามคน ก็ไม่ควรกินอยู่เปล่าๆนะ! หากเกิดร่ำลือออกไป พวกเราจะกลายเป็นคนแบบไหนกัน  เงินนี่..อย่างเราต้องเอามาให้แน่!”
            เหลียนฟางโจวเห็นเขายืนกรานเช่นนี้  จึงพยักหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ได้..ท่านก็ให้เงินข้ามาสองเฉียนก็แล้วกัน  แล้วก็ไม่ต้องคิดคำนวณอันใดอีกแล้วด้วยนะ! ”
            แต่เมื่อวานซุนฉางซิงเห็นกับตาตนเองว่า แค่ค่าสินน้ำใจอาเจี่ยนยังยัดใส่มือหมอที่โรงหมอนั่นสองเฉียนเข้าไปแล้ว
  ดวงตาเขาอุ่นวาบขึ้น ซุนฉางชิงจึงฝืนยิ้มแย้มเอ่ยขึ้น “แม่นางเหลียนขอร้องจริงจังอย่างนี้  พวกเราไม่รู้จะพูดอันใดดี...ก็ได้ เช่นนั้น..สองเฉียนก็สองเฉียน พวกเราเอาเปรียบเจ้าแล้ว! รอจนถึงวันที่ 15 เดือน 1 พวกเราค่อยย้ายกลับนะ!”
            “ลุงซุนเกรงใจเกินไปแล้ว!”  เหลียนฟางโจวระบายยิ้ม
            ลุงซุนควักเงินสองเฉียนให้เหลียนฟางโจว สองสามีภรรยาขอบอกขอบใจยกใหญ่  พลันในใจนึกขึ้นอย่างเป็นกังวล ว่าซุนหมิงกำลังนอนป่วยอยู่   ครั้นแล้วจึงลุกขึ้นกล่าวอำลาจากไป
  อาสามเหลือบมองเงินสองเฉียนนั่น แล้วเอ่ยกับเหลียนฟางโจวพร้อมรอยยิ้ม “อันที่จริง ซุนฉางซิงผู้นี้นี่ ช่างซื่อตรงแท้ เจ้าบอกว่าไม่เรียกร้องเงินทอง เขาก็ยังจะมอบให้ ข้ายังนึกเป็นห่วงอยู่หยกๆ ตอนที่เขาฟังว่าเขาไม่ต้องให้เงินเจ้าน่ะ!”
            เหลียนฟางโจวอดแย้มรอยยิ้มบางไม่ได้
            อาสามกลอกตาใส่หญิงสาว แล้วเอ่ยต่อ “เจ้าก็อีกคน เรื่องนี้มีอันใดรึถึงรับเงินไม่ได้! ขนาดพี่น้องสายเลือดเดียวกันแท้ๆ  ก็ยังคิดเงินกันเลย! อย่างเหตุการณ์เมื่อค่ำวานนี้  จะมีสักกี่คนที่เต็มใจช่วยเหลือเขาอย่างพวกเรา?!  ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินสองเฉียน  หรือสองตำลึงที่จ่ายไป  อย่างไรก็ชีวิตหนึ่ง แถมเป็นบุตรคนเดียวของตระกูลด้วย!”
            “พอเถิดอาสาม เดิมครอบครัวผู้อื่นเขาก็ยากแค้นลำเค็ญอยู่แล้ว เราพอช่วยได้ก็ช่วย ถือเสียว่าได้สั่งสมบุญบารมีไปด้วยแล้วกัน! อีกทั้ง  ข้าไม่ได้ขอเงินเขามาหรือไร?  ท่านช่างพูดมากเสียจริง!  เหลียนฟางโจวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
            “เฮ้อ เจ้าพูดมาก็ถูก! เช่นนั้นก็ถือว่าทำบุญก็แล้วกัน!” อาสามปิดปากเงียบในที่สุด
            เหลียนฟางโจวคาดเดาว่า  เหตุผลที่ซุนฉางซิงไม่ยอมและยืนกรานจะให้เงิน ก็เพื่อซุนหมิงใช่หรือไม่?
            ซุนฉางซิงจ่ายเงิน ก็เพื่อกันไม่ให้ผู้อื่นร่ำลือว่าครอบครัวเขาเอา”เปรียบชาวบ้าน”ใช่หรือไม่? ได้ยินว่าผลการเรียนของซุนหมิงดีมาก มีความคาดหวังสูงว่าจะผ่านการสอบเคอจวี่[1] จนได้เป็นซิ่วไฉ[2] และได้ไปสอบในระดับจู่เหริน[3]ต่อ รวมถึงระดับที่สูงขึ้นต่อๆไป หากเกิดเรื่องอื้อฉาวว่าบ้านเขาเอารัดเอาเปรียบขึ้นมา จะกระทบกับชื่อเสียงบุตรชายเอาได้ จะมิกลายเป็นประหยัดเล็กน้อย เพียงเพื่อสูญเสียมหาศาลหรอกรึ? ทั้งๆที่เดิมทีเขากะจะเก็บเงินไว้ไม่ควักออกไปอยู่แล้ว
            เหลียนฟางโจวปัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป แล้วหัวเราะขำตนเอง  จริงๆเลย  ไยตัวเองถึงได้คิดอะไรเยี่ยงนี้? จิตใจเธอมองโลกนี้มืดมัวมากไปหน่อยแล้ว? ไม่ควรเลยไม่ควรเลย!
  อันที่จริงเหลียนฟางโจวมิได้คาดผิดหรอก
       พอพ้นหมู่บ้าน และหลังมองดูจนทั่วแล้วว่าไม่พบผู้ใดอยู่แถวนี้ นางซุนชื่อจึงบ่นใส่ซุนฉางซิงด้วยความเสียดาย “ผู้อื่นอย่างแม่นางเหลียนพูดอยู่ว่าไม่คิดเงิน ท่านเป็นบ้าอันใด ถึงยังอยากให้ผู้อื่น? ทุกวันนี้ผู้อื่นเขาอู้ฟู่ไม่น้อย ซ้ำยังไม่ขาดแคลนเงินทองสักนิด! พวกเราก็ถือว่าพูดไปตามหน้าที่แล้ว นางก็ไม่คิดเอา แน่นอนที่นางหวังดีจริงๆ เราก็น่ารับเอาไว้ มันผิดหลักฟ้าดินหรือไร? ต่อไปภายหน้าเราก็รำลึกถึงความดีของผู้อื่นให้มาก จารึกความกรุณาครั้งนี้ไว้ในใจก็พอ!  เงินตั้งสองเฉียนเชียวนะ..เฮ้อ!”
            นางซุนชื่อถอนหายใจ รู้สึกเสียดายไม่เลิก
  “เจ้ามันก็แค่ฟู่เหริน[4] จะไปเข้าใจอันใด!” ซุนฉางซิงพูดไปก็คอยมองดูว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น แล้วถ่อนหายใจออกมา “ต่อให้แม่นางเหลียนไม่ใส่ใจ ต่อให้ยามนี้นางมีฐานะแล้ว ทว่าเงินนี่เราก็ยังต้องมอบให้นางอยู่ดี  ไม่เช่นนั้น เกิดมีคนพาดพิงเรื่องนี้ขึ้นมา บ้านเราจะกลายเป็นคนเยี่ยงไหนกัน?    คนรุ่นลูกมันจะไม่เอาไปโพทนากันรึ? พวกเรามันแก่แล้ว หน้าย่อมหนาไปตามอายุ ผู้อื่นร่ำลือกันไป  สักพักก็ค่อยๆลืมแล้ว ทว่าเจ้าลืมลูกชายเราไปแล้วรึ? หากขืนผู้อื่นเผลอหลุดปากกับลูกเราเข้า แล้วจะทำยังไงกัน? ภายหน้าลูกชายเรายังต้องสอบเคอจวี่อีก จะให้ชื่อเสียงเขาด่างพร้อยไม่ได้แม้แต่นิดเดียว!  ฟังแล้วเข้าใจหรือไม่?
            ซุนชื่อถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นด้วยความตระหนก หน้าซีดเป็นไก่ต้ม!
            นางพยักหน้าหงึกหงักด้วยใจที่หวาดกลัว “เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว!”
            สีหน้าซุนฉางซิงค่อยคลายลงทีละน้อย พลางถอนหายใจ ”รู้ก็ดีแล้ว ! เฮ้อ อันที่จริงจะว่าไป การที่แม่นางเหลียนมีจิตใจเมตตากรุณานับว่าดียิ่งแล้ว นางถึงเอาเงินเราไปเพียงสองเฉียนเท่านั้น!  ด้วยสภาพบ้านเราทุกวันนี้ การที่ลูกชายจะสอบเป็นซิ่วไฉในเดือนสองที่จะถึงนี้  ค่าเสื้อผ้าค่ากินอยู่จะต้อง
เตรียมให้เขาครบถ้วนห้ามผิดพลาด ไม่เพียงต้องไม่ผิดพลาด ยังจะต้องดีขึ้นกว่าเดิมหน่อย!  กระท่อมที่พักของเรานั่น ข้าเห็นว่าต้องซ่อมแซมปรับปรุงด้วย ไม่อาจรั้งรอได้อีกแล้ว! ยังไม่นับค่าใช้จ่ายในแต่ละวันของเราอีก! จริงๆเลย ทุกเรื่องล้วนต้องการเงินทั้งนั้น  ด้วยเหตุนี้พอแม่นางเหลียนออกปากรับเงินแค่สองเฉียน  ข้าเลยปั้นหน้าให้แก่เข้าไว้ แถมยังแสร้งทำท่าโง่เซ่ออีกต่างหาก! เอ่อ..ไม่ใช่ว่าเรายังมีไก่ฟ้าและกระต่ายตากแห้งอยู่อีกมากใช่หรือไม่? เดี๋ยวเลือกตัวดีๆสองตัวส่งไปให้แม่นางเหลียน ส่วนที่เหลือทั้งหมด พอไปถึงหมู่ตึกก็มอบให้สะใภ้แซ่จางก็แล้วกัน! เราจะกินอาหารร่วมกับคนที่โน่น จะกินอะไรโดยไม่จ่ายย่อมไม่ได้”
            แม้ซุนชื่อยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ทว่าขากลับไปนี้ ไม่ต้องให้สามีออกปาก นางก็รู้ว่าไม่ควรทำหน้าเช่นนี้อีก จึงพยักหน้าอย่างจำนนเป็นครั้งแรก “ได้ ข้าจดจำไว้แล้ว!”
            ซุนฉางซิงเห็นภรรยามีท่าทางกล้ำกลืนอยู่บ้าง แล้วตัวเขาจะไม่รู้สึกเสียดายเหมือนกันหรืออย่างไร? เพียงแต่....
            เขาพรูลมหายใจออกมา “รอให้ลูกชายเราสอบผ่านเป็นซิ่วไฉก่อนเถิด ทุกอย่างจะดีขึ้นกว่านี้มากนัก!  แล้วรอถึงวันไหนเขาสอบชนะเป็นจู่เหรินขึ้นมา  ความลำบากยากแค้นทั้งหลายของพวกเราก็ได้เวลาปิดฉากลงเสียที!  อาหมิงมีปัญญาปราดเปรื่องปานนั้น ซ้ำยังกตัญญูต่อบิดามารดาปานนั้น ต่อไปภายหน้าพวกเราจะมีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขอย่างแน่นอน”
            ดวงตานางซุนชื่อเปล่งประกายเรืองรอง ใบหน้าที่ซีดเซียวหม่นหมอง ปรากฏสิ่งที่เรียกว่าความเปล่งปลั่งสดใสเพิ่มขึ้นสามส่วน
            นางชอบฟังถ้อยคำทำนองนี้ที่สุด ถ้อยคำดังกล่าวคือต้นกำเนิดอันทรงพลังที่ผลักดันนาง ทุกคราที่เหนื่อยหมดแรง  ทุกคราที่หิวโหย ทุกคราที่ทรมานกับพายุลมฝนโหมกระหน่ำ เพียงแค่นึกถึงถ้อยคำเหล่านี้  ใจนางรู้สึกเอิบอาบเป็นสุข  เรี่ยวแรงกลับคืนมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง
  “อื้ม” นางซุนชื่อพยักหน้าเบาๆ  ถอนหายใจอย่างตั้งตารอคอย พลางพึมพำขึ้น “รอให้ถึงวันนั้น เราจะไม่กังวลเรื่องหาอาหารใส่ท้อง ไม่กังวลเรื่องอาภรณ์สวมใส่อีกต่อไป เราจะอาศัยอยู่ในบ้านชั้นดี มีกินจนอิ่มหนำ  หน้าหนาวก็มีอาภรณ์อบอุ่นสวมใส่  เท่านี้ข้าก็พอใจที่สุดแล้ว!”
  “ใช่  ภายหน้าสักวันหนึ่งเราจะมีแบบนั้นแน่ๆ!” ซุนฉางซิงผงกศีรษะ  ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า
**
[1] เคอจวี่ -เป็นระบบการสอบคัดเลือกข้าราชการพลเรือนในประเทศจีนสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อสอบบรรจุข้าราชการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับระบบราชการของรัฐ ในการสอบใช้ข้อสอบแบบวัตถุวิสัย (objective) เพื่อประเมินการได้รับความรู้และคุณธรรมของผู้เข้าสอบ
 [2] ซิ่วไฉ - แปลตามตัวอักษรว่า "ผู้มีพรสวรรค์ (distinguished talent) ") คือผู้ที่สอบผ่านระดับต้น หรือระดับท้องถิ่นในขั้น ย่วนชื่อ (college exam) ซึ่งจะได้รับสิทธิพิเศษทางสังคม เช่น ได้รับการยกเว้นจากการถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน (statute labour) ได้รับสิทธิในการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก และจำกัดการลงโทษทางกาย
[3] จู่เหริน - แปลตามตัวอักษรว่า "ผู้ได้รับการแนะนำ (recommended man) ") คือผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกในระดับมณฑล (provincial exam) ซึ่งจัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี
 [4] ฟู่เหริน -หญิงที่แต่งงานแล้ว


----------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ ^_^

8 ความคิดเห็น:

  1. กำลังรออยู่ มาพอดีเลย สนุก ไปเรื่อยๆค่ะ แต่ชอบ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณมากค่ะ ดีใจที่ได้อ่านทุกสัปดาห์ค่ะ

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณค่ะ รอคอยอนาคตที่สดใสหวังว่าจะไม่ผิดหวังนะ

    ตอบลบ
  4. สนุกมาก ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  5. สนุกมากค่ะ
    ขอบคุณมากนะคะ

    ตอบลบ