วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2562

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 234 คำคนเป็นของน่ากลัวแท้


           ซุนฉางซิงกับซุนชื่อกลับมาดูซุนหมิงที่หมู่ตึก พอเห็นลูกชายอาการดีขึ้นแล้ว  ซุนชื่อจึงกลับไปเก็บข้าวของที่กระท่อมของตนเอง
            แม้ในบ้านจะไม่มีข้าวของมีค่าอันใด ทว่าการย้ายไปอาศัยอยู่ในหมู่ตึกของผู้อื่นนี้ ก็ยังต้องเก็บของใช้ส่วนตัวไปด้วยอยู่ดี
            พวกเขาเก็บข้าวของไปได้สองห่อ ซ้ำยังหอบสัตว์ป่าตากแห้งที่ล่าได้ไปด้วย โดยเลือกไก่ฟ้าดีที่สุดสองตัวและกระต่ายตากแห้งดีที่สุดหนึ่งตัวแยกออกมา ส่วนที่เหลือยัดใส่ห่อสัมภาระ ยามหิ้วห่อสัมภาระไปหมู่ตึกนั้น  ก็หอบหิ้วห่อเนื้อสัตว์ป่าตากแห้งสามชิ้นนั้นไปด้วย  ซึ่งจะนำไปมอบให้เหลียนฟางโจวในภายหลัง

            หลี่ชื่อก็เป็นคนโอบอ้อมอารีย์ด้วยอีกคน  ครอบครัวซุนฉางซิงเข้ามาอาศัยอยู่ด้วยกันสามคน นาง ลูกสาว และลูกชายต่างกุลีกุจอเข้าไปช่วยเหลืออย่างแข็งขัน ซ้ำยังนำเตาใส่ถ่านร้อน น้ำร้อนและชาร้อนมาส่งให้ด้วย
            เห็นนางซุนชื่อเอาห่อสัตว์ป่าตากแห้งอีกห่อเข้ามาให้ แต่เพราะไม่มีคำสั่งจากเหลียนฟางโจว นางจึงไม่กล้ารับไว้ ภายหลังจึงไปถามฉินเฟิง  ฉินเฟิงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า นางจึงกล้ารับของมา
            พอมีเวลาว่างหลี่ชื่อก็ถอนหายใจและอดปรารภกับจางซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ “พวกเรามีเจ้านายที่ดีจริงๆนะ! คิดดูสิทุกวันนี้ มีอาหารให้กินอิ่มท้อง มีเสื้อผ้าอุ่นสวมใส่ มีที่ให้ซุกหัวนอน ซึ่งเป็นห้องที่สะอาดและอบอุ่นอีกด้วย ไม่ต้องเผชิญกับการดุด่าเฆี่ยนตี หากแต่ละวันเจอแต่เรื่องเช่นนั้นแล้ว จะมีชีวิตอยู่รอดไปได้อย่างไร! ดูสกุลซุนนี่สิ เฮ้อ น่าเวทนาแท้ๆ!”
            จางซิ่วเอ๋อร์ได้ฟังแล้วก็พยักหน้าหงึกหงัก “ใครจะบอกว่าไม่เล่า! ท่านแม่วางใจเถิด ข้าจะทำงานให้ดี ให้คุณหนูพึงพอใจอย่างแน่นอน!”
            หลี่ชื่อระบายยิ้มอ่อนโยน
            พอวางข้าวของลง ซุนชื่อจึงกลับไปบ้านเหลียนฟางโจวพร้อมทั้งหอบบหิ้วไก่ฟ้าตากแห้งสองตัว และกระต่ายป่าตากแห้งหนึ่งตัวที่เตรียมไว้ไปด้วย
            เหลียนฟางโจวเองก็คาดไม่ถึง  แต่เพราะเห็นแก่ความตั้งใจของนาง หญิงสาวจึงไม่ปฏิเสธอีกต่อไป แล้วรับของมาด้วยรอยยิ้ม  จากนั้นหญิงสาวจึงนำลูกเดือยหนึ่งถุงเล็ก และผักดองหนึ่งไหซึ่งนำมาจากสกุลซูมอบให้ซุนชื่อ ให้นางเอากลับไปต้มโจ๊กลูกเดือยให้ซุนหมิงดื่ม
            นางซุนชื่อยินดีปรีดานัก   รีบขอบใจอีกฝ่ายแทบไม่ทัน
            หลังมื้อเย็น เหลียนฟางโจวปรารภเรื่องราวคนสกุลซุนกับอาเจี่ยน เธออดเอ่ยพร้อมรอยยิ้มไม่ได้ “พอเห็นสภาพครอบครัวสกุลซุนเป็นแบบนี้แล้ว ข้าเลยบังเกิดแผนการขึ้นมา  ซึ่งอยากหารือกับท่านด้วย!”
            อาเจี่ยนจึงถามว่าแผนการอันใด?
            เหลียนฟางโจวเอ่ยปรึกษา “คือที่ดินตรงสามแยกโน่น  อีกไม่นานจะกลายเป็นทั้งไร่ฝ้ายและสวนผลไม้ แถมข้ายังคิดจะเลี้ยงไก่ในสวนผลไม้อีกด้วย! หากไม่มีคนคอยเฝ้าที่นั่น คงไม่ดีแน่
            ประจวบเหมาะกับครอบครัวสกุลซุนไม่มีที่ทำกิน   ครั้นจะดำรงชีพโดยพึ่งพาการออกไปล่าสัตว์ของลุงซุนฝ่ายเดียวก็คงไม่ได้ !  ประเหมาะเคราะห์ร้ายเจออากาศไม่ดีเข้า  อย่างน้อยก็ขึ้นเขาไม่ได้ไปสิบถึงสิบห้าวัน! ข้าคิดว่าจะจ้างพวกเขาสองสามีภรรยาให้ช่วยเฝ้าที่ดินนั่นให้ข้า ท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร? เพียงเท่านี้พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกลับไปอาศัยอยู่ในกระท่อมที่พักนั่นอีก แต่ก่อนอื่นต้องสร้างเรือนหลังหนึ่งไว้ให้พวกเขาอาศัยอยู่ชั่วคราวที่เขาฮวากั่วซานน้อยเสียก่อน! ไว้รอฤดูหนาวปีหน้า ค่อยก่อสร้างเรือนชั้นดีหลังอื่นๆที่โน่นเพิ่ม!”
            เหลียนฟางโจวกล่าวจบ ก็หันไปสบตาอาเจี่ยนแล้วเอ่ยถาม “ท่านคิดเห็นเช่นไร?”
            อาเจี่ยนระบายยิ้ม “เจ้าคิดทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้ มีอะไรไม่ดีที่ไหน? ถือว่าเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย   ข้าเดาว่าทางครอบครัวสกุลซุนน่าจะเห็นดีเห็นงามด้วยนะ!”
            “ครอบครัวสกุลซุนจะคิดว่าข้าจุ้นจ้านหรือไม่นะ?” เหลียนฟางโจวได้ยินอาเจี่ยนเอ่ยมาเช่นนี้ ก็โล่งใจไปกึ่งหนึ่ง แต่ในใจยังอดนึกกังวลมิได้
            หลังจากแผนการนี้วาบขึ้นมาในสมองอย่างปัจจุบันทันด่วน เหลียนฟางโจวยิ่งตรึกตรองก็ยิ่งรู้สึกว่าแผนการนี้ดูเข้าท่าดี
            เธอรู้จักพื้นเพและนิสัยใจคอของพวกเขาสามีภรรยาดี ซ้ำพวกเขายังไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง น่าจะสามารถทุ่มเทแรงกายและมันสมองช่วยนางดูแลผืนดินที่โน่นได้เต็มที่
            มิหน้ำซ้ำ ซุนฉางซิงเป็นตระกูลนายพราน   เทียบกับคนธรรมดาแล้ว เขายอมเฉียบแหลมเรื่องการตามร่องรอยคนมากกว่าใคร เมื่อถึงเวลานั้น เธอจะซื้อสุนัขสองตัวไว้ให้พวกเขาเลี้ยง เพื่อให้พวกมันคอยลาดตระเวณที่ดินทุกวันวันละหลายครั้ง ถ้าหากมีใครคิดร้ายขึ้นมา เกือบทั้งร้อยคงไม่น่าเล็ดรอดสายตาเขาไปได้
            “ไยจะต้องคิดว่าเป็นเรื่องจุ้นจ้านด้วยเล่า?” อาเจี่ยนกลับหัวเราะเห็นขำ “หากเป็นข้า ข้าคงไม่คิดเช่นนั้นหรอก!  สิ่งที่ดีต่อพวกเขาเยี่ยงนี้ ถือว่าเป็นเรื่องจุ้นจ้านได้รึ!”
            เหลียนฟางโจวสบตาชายหนุ่ม แล้วเอ่ยขึ้น “ทว่า มิใช่ว่าบุตรชายเขาจะสอบเป็นซิ่วไฉหรอกรึ?  พวกเขาจะรู้สึกอึดอัดใจหรือไม่ ที่ต้องมาเป็นลูกจ้างข้า....”
            สายตาอาเจี่ยนที่ทอดมองหญิงสาวฉายแววประหลาด ชายหนุ่มหัวเราะขันเอ่ยขึ้น “เจ้าบังเกิดความคิดประหลาดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน! สภาพครอบครัวพวกเขาเป็นแบบนั้น การไปล่าสัตว์ กับการทำงานเป็นลูกจ้างให้เจ้า มีอันใดแตกต่างกันรึ? หากขายตัวเป็นทาสก็ว่าไปอย่าง มิหนำซ้ำ เจ้าก็จ่ายค่าจ้างพวกเขา แถมยังแก้ปัญหาบรรเทาความลำบากให้พวกเขาด้วย นี่แหละคือสิ่งที่พวกเขาแสวงหามาตลอด!”
            เหลียนฟางโจววางใจที่หนักอึ้งลงโดยพลัน พลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ท่านพูดมาเยี่ยงนี้! ข้าจะจดจำไว้ในใจ  รอให้ผ่านไปสักสองสามวัน  ข้าจะเกริ่นเรื่องนี้กับพวกเขา หากพวกเขาเห็นพ้องก็จะทุ่นแรงพวกเราและประหยัดเวลาไปได้มากเลยล่ะ!”
            ผ่านไปได้สามถึงสี่วัน  เหลียนฟางโจวจึงได้ลองเกริ่นเรื่องที่ว่ากับซุนฉางซิงผู้สามีและซุนชื่อผู้ภรรยา
            ซุนชื่อได้ยินข้อเสนอเรื่องที่พักอาศัย เพียงมองหมู่ตึกนี้ นางตระหนักได้ว่าสภาพความเป็นอยู่ที่นี่ย่อมดีกว่ากระท่อมบ้านพักของนางอย่างแน่นอน  ซ้ำที่นี่ยังมีอาหารให้สามมื้อ โดยไม่จำเป็นต้องหุงหาเเอง ในแต่ละเดือนแต่ละคนที่นี่ยังได้รับเงินเดือนๆละห้าเฉียนอีกด้วย
            เมื่อทำตามข้อเสนอของเหลียนฟางโจวแล้ว  ยังสามารถมีเวลาไปล่าสัตว์ได้อีก เพียงแค่ก่อนไปก็ขออนุญาตนางเสียก่อน และถึงมีช่วงที่ยุ่งเป็นพิเศษสองสามเดือน ที่ไปล่าสัตว์ไม่ได้ แต่ก็จะได้รับเงินค่าจ้างเพิ่มเป็นสองเท่า
            เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว นับว่าเป็นข้อเสนอที่หาได้ยากนัก นางซุนชื่อคล้อยตามหญิงสาว หากมิใช่เพราะเหลียนฟางโจวมีใจอยากช่วยเหลือ เชื่อแน่ว่า พวกนางจะมิได้เงื่อนไขดีถึงเพียงนี้!
            ซุนชื่อกำลังจะตกปากรับคำอยู่แล้ว กลับโดนเสียงกระแอมของซุนฉางซิงยั้งไว้ ซุนฉางซิงระบายยิ้มบนใบหน้า ขณะบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ค่อนข้างกะทันหัน เขายังตัดสินใจไม่ได้ ต้องขอเวลาตรึกตรองดูก่อน
            เหลียนฟางโจวเองก็มิได้ดึงดันจะเอาคำตอบเดี๋ยวนั้น เธอรับคำอย่างพึงพอใจไม่น้อย โดยให้เวลาพวกเขาคิดใคร่ครวญสองวัน หากไม่เอา ก็ไม่เป็นไร
            ใครเล่าจะรู้ เมื่อเหลียนฟางโจวเดินพ้นหมู่ตึกไปได้ไม่กี่ก้าว หูพลันได้ยินเสียงซุนฉางซิงตะโกนเรียก แม่นางเหลียน” พร้อมวิ่งตามมาเบื้องหลัง
            หญิงสาวจึงยืนนิ่งด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
            พอซุนฉางซิงวิ่งมาถึง ก็ผงกศรีษะเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เรื่องเมื่อกี๊ที่ยับยั้งไว้ ขอให้เป็นไปตามที่แม่นางเหลียนกล่าวไว้เถิด!  แม่นางเหลียนลงมือจัดการได้เลย!”
            เหลียนฟางโจวอึ้งไปเล็กน้อย แล้วรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตกลงตามนั้น! เช่นนั้น..ก่อนอื่นพวกท่านก็พักอยู่ที่นี่เสียให้สบายใจเถิด เลิกย้ายกลับไปชั่วคราว! ส่วนกระท่อมที่พักของพวกท่านนั้น หากต้องการซ่อมแซม ก็ทำได้เลย  หรือจะระงับการซ่อมไว้ชั่วคราว ก็ไม่ส่งผลร้ายอันใด!”
            ซุนฉางซิงรับคำด้วยรอยยิ้ม กล่าวขอบคุณเสร็จแล้ว ก็หันหลังเดินกลับไป
       เหลียนฟางโจวอดหัวเราะไม่ได้  เธอคิดดูแล้วก็แจ้งแก่ใจ ที่ซุนฉางซิงมิอาจตกปากรับคำในทันที ก็เพราะอาจต้องการไปหารือกับบุตรชายตนก่อนกระมัง? มิคาดว่าซุนหมิงจะเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ดี จึงให้บิดาตนตอบตกลง เพราะเหตุนี้ เขาจึงได้วิ่งตามมาบอกกล่าวด้วยตัวเองกระมัง?
            แม้จะผ่านวันปีใหม่ไปแล้ว  ระยะนี้อากาศยังคงหนาวเย็นอยู่ และดูจะยังไม่บรรเทาเบาบางลง
            ยามนี้บรรดาชาวไร่ชาวนาจึงอยู่กันว่างๆไม่มีอะไรทำ บรรดาข่าวลือทั้งหลายจึงยิ่งมีมากขึ้น และทำท่าจะอยู่ยาว  แถมแพร่สะพัดเป็นไปไกลอย่างรวดเร็ว
            เรื่องที่อาเจี่ยนออกจากหมู่บ้านไปสังหารเสือนั้น  ได้ถูกร่ำลือไปอย่างรวดเร็วทีเดียว แล้วแพร่สะพัดเป็นวงกว้างไป 8-10 หมู่บ้าน ทุกคนต่างโจษจันถึงเขากันเซ็งแซ่  ส่วนใหญ่ล้วนสนใจใคร่รู้เต็มเปี่ยม เดิมทีชาวบ้านเป็นอันมาก ล้วนตั้งใจมาสอบถามอาเจี่ยน ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่บ้านเหลียนฟางโจวโดยเฉพาะอยู่แล้ว
            อาเจี่ยนหาใช่คนที่หลงไหลชื่อเสียง ผู้อื่นอุตส่าห์มาถามด้วยความกระตือรือร้น เขากลับตอบเรียบๆ คล้ายเป็นเรื่องธรรมดาอย่างเรื่องกินและนอน ไม่เพียงทำให้คนที่มาหาผิดหวังยกใหญ่ ซ้ำยังทำให้เรื่องราว ค่อยๆถูกแปลความผิดเพี้ยนออกไปต่างๆนาๆ
            ชาวบ้านฝ่ายหนึ่งก็เชื่อสนิทใจ ทั้งหมดทั้งมวลก็คือ เสี่ยวจางและคนอื่นๆในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็เล่าออกมาเช่นนี้ทุกคน จะมาบอกว่าพวกเขาโป้ปดได้หรือ?
            ชาวบ้านอีกฝ่ายก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ต่างคิดว่าหมู่บ้านนั้น ก็คือภูมิลำเนาของสกุลจาง บ้านเดิมก่อนแต่งงานของป้าจาง ส่วนป้าจางก็รักใคร่สนิทสนมกับเหลียนฟางโจวและคนทั้งบ้านนางเป็นอันดี ครอบครัวของเหล่าจางจะไม่ช่วยคุยโม้โอ้อวดให้อาเจี่ยนได้อย่างไร? ไม่เช่นนั้นแล้ว เหตุใดอาเจี่ยนถึงพูดไม่กี่คำเล่า? ชัดเจนเลยว่าตัวเขาเองต้องรู้สึกผิด! ก็นับว่าโชคดีที่ยังรู้สำนึกอยู่บ้าง!

---------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ ^_^


12 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณมากค่ะ ถ้าขอแถมตัวอย่างตอนต่อไปเพิ่มเติม จะรบกวนมากไปไหมคะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. สปอยได้นิดหน่อยค่ะว่า ตอนหน้าคนทั้งหมู่บ้านต้าฟางจะเจอเรื่องมหันตภัยน่าสะพรึงกลัว และต้องการฮีโร่อย่างอาเจี่ยนมาช่วยด่วนค่ะ จะออกแนวบู๊ตื่นเต้นหวาดเสียวไปอีก 5-6 ตอนค่ะ

      ลบ
  2. ขอบคุณค่ะ หนาวนี้เวลายังใกล้กว่าปากคนลือยาวไกลอีกนะ

    ตอบลบ
  3. สนุก เข้มข้นมากเลยตอนนี้ ทิ้งท้ายไว้แบบนี้ ยั่วยวนใจให้รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณค่ะ นี่รอลุ้นตอนต่อไปแล้ว

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ3 กันยายน 2562 เวลา 18:51

    ขอบคุณมากค่ะ ^^

    ตอบลบ
  6. พระเอกเราไม่ขี้โม้ค่ะ

    ตอบลบ
  7. เฮ้อ... กว่าดอกฝ้ายจะฐาน​ ขอบคุณคะ

    ตอบลบ
  8. ขอบคุณมากค่ะ
    รอตอนต่อไปด้วยใจจดจ่อนะคะ

    ตอบลบ
  9. เป็นคนพูดน้อยต่อยหนักค้าบ

    ตอบลบ