วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2562

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 237 มอบหมายหน้าที่


         เหลียนฟางโจวไม่คิดว่า ภายหลังเหลียนเซ่อไปแจ้งข่าวที่บ้านเหลียนลี่และเฉียวชื่อ  เหลียนไห่ที่บิดามารดาเกลี้ยกล่อมขอร้อง กลับยืนกรานว่าจะไปแจ้งข่าวชาวบ้านทุกคนพร้อมเหลียนเซ่อ กล่าวได้ว่าสองคนแยกกันไปแจ้งข่าว ทำให้ไวขึ้นมาบ้าง ซ้ำยังกล่าวได้ว่า บรรดาเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้บ้านหวางชีหลาง  ย่อมมิได้ถูกแจ้งข่าว  ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการประสบเหตุไม่คาดคิด
            อันที่จริงเหลียนเซ่อมิคาดว่าถางสยง(ญาติชายผู้พี่) บัณฑิตผู้ไม่มีแรงแม้เชือดไก่ จะมีความกล้าหาญอย่างน่าประหลาดใจเช่นนี้ เขาแอบชมเชยญาติหนุ่มในใจ และอดมีความรู้สึกดีมอบให้ไม่ได้
            และภายหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ เหลียนไห่ไม่เพียงได้รับชื่อเสียงในหมู่บ้านตนเอง ซ้ำชื่อเสียงนั้นยังระบือใกลไป 8-10 หมู่บ้านกันเลยทีเดียว

            ไม่นานเกินรอ อาเจี่ยนก็พาบริวาร 11 คน ฉินเฟิง  ซูจื่อจี้ รวมทั้งซุนฉางซิงมา แถมซุนฉางซิงยังนำธนูและลูกศรของตนเองมาด้วย
            พอทุกๆคนเห็นอาเจี่ยน  ซุนฉางซิง ซ้ำยังเหล่าบุรุษร่างกำยำ 11 คน ซึ่งเป็นบ่าวไพร่ของสกุลเหลียน มีกิริยาท่าทางเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ยิ่งเบาใจไม่น้อย ต่างคนต่างกระซิบกระซาบกันอย่างดีใจ “อาเจี่ยนมาแล้ว !” “เยี่ยมจริงๆ ในที่สุดอาเจี่ยนก็มาแล้ว!   “มีอาเจี่ยนอยู่ซะอย่าง จะไม่มีเรื่องอันใดแน่!”
            “อาเจี่ยน  เจ้าวางแผนไว้อย่างไรบ้าง! เสียงคนที่ได้ยินแว่วมา มันดูผิดปกติจริง ๆ! เกรงว่า เกรงว่ารั้วบ้านหวางชีหลางนั้นจะต้านได้อีกไม่นาน!” จางลี่เจิ้งเดินออกมาจากฝูงชน เขานิ่วหน้าโพล่งขึ้น
            ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย บ้างก็พึมพำว่าใช่แล้ว
            อาเจี่ยนผงกศรีษะนิดหนึ่ง ให้จางลี่เจิ้งเลือกคนที่ร่างกายแข็งแกร่งจิตใจมั่นคง ผู้ที่ยามปกติมีความองอาจเป็นผู้นำ มา 7-8 คน ท่ามกลางคนเหล่านี้มีลุงหลี่รวมอยู่ด้วย
            คนทั้งหลายเหล่านั้นจึงปรึกษาหารือกัน
            ที่กล่าวว่าหารือกันนั้น อันที่จริงเป็นอาเจี่ยนที่พูดเสียมากกว่า จางลี่เจิ้งและคนอื่นๆต่างพยักหน้ารับฟังครั้งแล้วครั้งเล่า
            ไม่นานเท่าใดนัก เหลียนเซ่อและเหลียนไห่ก็กลับมา  บอกกล่าวว่าคนที่ควรแจ้งข่าว ต่างได้รับทราบข่าวหมดเรียบร้อยแล้ว
            อาเจี่ยนพยักหน้า  ส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดพูด ชายหนุ่มกวาดสายตาคราหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบกดต่ำ “ผู้กล้าท่านใดมีใจอยากอาสาได้โปรดยืนขึ้น และเชิญก้าวเท้าออกมาด้านหน้าสองก้าว  ข้ายังต้องมีการเตรียมการด้านอื่นอีก คนที่เหลือให้อยู่นิ่งๆ  ไม่ต้องขยับ เวลาเหลือไม่มากแล้ว โปรดไวหน่อย!”
            บ่าวสกุลเหลียน 11 คน ฉินเฟิง ซูจื่อจี้ พร้อมทั้งซุนฉางซิงย่อมยืนขึ้น เหลียนเซ่อเองก็ยืนขึ้นอีกคน
            แม้แรกเริ่มทุกๆคนล้วนขลาดกลัว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเห็นอาเจี่ยนไปยืนต่อหน้าฝูงชนเช่นนี้ พวกเขารู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นหนักแน่นที่แผ่ออกมา  ท่วงท่าชายหนุ่มสง่างามดั่งขุนเขา ตั้งตระหง่านมั่นคงราวกระบี่ ขณะที่ประกายในดวงตาอันล้ำลึกสุดหยั่งของชายหนุ่ม พาให้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกชนิดที่สงบมั่นคง  จิตใจของบรรดาเด็กหนุ่มแต่ละคนจึงรู้สึกฮึกเหิมเดือดพล่านขึ้นฉับพลัน คล้ายกับโลหิตอุ่นร้อนที่พุ่งกระฉูดออกมา ยามศรีษะหลุดกระเด็น ไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆอีกต่อไป!
            ตามมาด้วยเสียง “ข้า”  “ข้า” “ข้าด้วย”  “นับข้าไปอีกคน” จึงมีกลุ่มคนที่ออกมานับรวมแล้ว 20-30 คน
            ซ้ำยังมีเหล่าเด็กหนุ่มที่มีขนาดรูปร่างใกล้เคียงเหลียนเซ่อ พอเห็นเขายืดอกยืนขึ้นด้วยจิตใจอันพลุ่งพล่าน  ก็เลยยืนขึ้นก้าวออกมาด้วย เพียงแต่โดนพวกผู้ใหญ่ที่บ้านฉุดดึงรั้งให้กลับเข้าไปทันทีเสียก่อน
            “ดี!” อาเจี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย  จึงพาคนหนุ่มเหล่านี้ไปยืนอีกด้านหนึ่ง เพื่อรับคำสั่ง  จางลี่เจิ้งพาคนที่เหลือทั้งหมด แม้แต่เหล่าสตรี มารวมตัวกันเพื่อเตรียมการอีกด้วย
            เหล่าผู้กล้าซึ่งเป็นฝ่ายอาสาออกมาเอง ถือเป็นกำลังหลัก ให้ปักหลักเป็นด่านหน้า ส่วนคนที่เหลือ ก็ถือจอบ และท่อนไม้ไว้ในมือ ทว่ายังมีคนอื่นๆที่ได้รับมอบหมายให้ถือคบเพลิง  คนที่ได้รับมอบหมายให้ถือภาชนะจำพวกโลหะ เช่นฆ้องและอื่นๆ รับหน้าที่เป็นผู้ตี
       คนทั้งหมดถูกแบ่งเป็นสี่กลุ่ม กั้นถนนสี่สายบริเวณบ้านหวางชีหลาง  เหลือถนนซึ่งมุ่งไปสู่เส้นทางรกชัฏหลังหมู่บ้านไว้สายเดียว
            หลังพื้นที่รกชัฏนั้น คือลำธารเล็กแคบสายหนึ่ง นอกลำธารเล็กแคบนั้น คือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
            ลำธารเล็กแคบนั้นกว้างเกือบหนึ่งจั้ง(3.3 เมตร) ทว่าตื้น ยามนี้เป็นฤดูหนาว ลำน้ำยิ่งตื้นเขินเข้าไปอีก อาจสูงเพียงเข่าเท่านั้น
            อีกทั้งเพราะเป็นฤดูหนาว ซ้ำทุกวันนี้ยังหนาวเย็นผิดธรรมดา ยามนี้เป็นช่วงกลางดึกด้วย น้ำในลำธารหนาวจึงเยือกเสียดลึกถึงกระดูก ทุ่งหญ้าข้างลำธารนั้นเย็นเป็นเกล็ดน้ำแข็งมาหลายวันก่อนหน้าแล้ว เชื่อว่าน่าจะหยุดยั้งฝูงหมาป่าได้
            พอเตรียมการเสร็จเรียบร้อย  ทุกๆคนจึงแยกย้ายไปเป็นกลุ่มภายใต้คนนำสองสามคน
  อาเจี่ยนยังสั่งการให้ฉินเฟิงและซูจื่อจี้ พาบ่าวไพร่สกุลเหลียนทั้ง 11 คน ถือทั้งจอบและท่อนไม้เต็มสองมือ รีบรุดไปหลังหมู่บ้าน
            ไม่มีวิธีอื่นใดอีกแล้ว  พื้นที่ตั้งหมู่บ้านต้าฝางมีลักษณะราบเรียบ การจะสร้างปราการป้องกันอย่างปัจจุบันทันด่วน แทบเป็นไปไม่ได้ หมาป่าฝูงใหญ่ขนาดนั้น  หากไม่มีเวลาพอจะสังหารทิ้งทั้งฝูง ก็จะปล่อยให้หนีเล็ดรอดไปซ่อนตัวในหมู่บ้านไม่ได้เด็ดขาด การไล่พวกมันออกไปพ้นหมู่บ้านย่อมเป็นการดีกว่า  
    เสียงคนร้องตะโกนกรีดแหลมที่แว่วมานั้น ทวีความโหยหวนสิ้นหวังหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้คนที่เหลือที่อยู่ที่ลานบ้านป้าจางสะดุ้งโหยงตัวสั่นงันงก ขนหัวลุกกันเป็นทิวแถว !
            อาเจี่ยนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย พึมพำเสียงต่ำ “ไม่ดีแล้ว !  เกรงว่าฝูงหมาป่าคงกระโดดข้ามรั้วเข้ามาในลานบ้านหวางชีหลางเสียแล้ว!”
            ทุกคนหน้าซีดเผือดกันถ้วนหน้า อาเจี่ยนตะโกนเสียงหนัก “ไป!” พร้อมกับเหลียนเซ่อและซุนฉางซิงที่รีบรุดตามไปด้วย
            พอพ้นลานบ้านป้าจาง  ชั่วแวบที่ตาของเหลียนเซ่อและซุนฉางซิงมองไป ทั้งสองถึงกับตะลึงงัน อาเจี่ยนไปไหนแล้ว พวกเขาไม่เห็นแม้เงา
            “นี่ นี่มัน....” ดวงตาซุนฉางซิงเบิกกว้าง  พูดละล่ำละลัก หันไปจ้องเหลียนเซ่อตาแทบถลน
            เหลียนเซ่อปลาบปลื้มใจทันใด ไม่อาจหาคำพูดใดมาบรรยายอารมณ์ในชั่วขณะนี้ได้ เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ “วรยุทธ์พี่เจี่ยนช่างสุดยอดนัก! พวกเรารีบตามไปกันเถอะ!”
            “โอ๊ะ ได้เลย!”  ซุนฉางซิงผงกศีรษะเล็กน้อย  ตัวเขาและเหลียนเซ่อต่างรีบไล่ตามไปติดๆ
            ไม่ผิดไปจากที่อาเจี่ยนคาดไว้ เมื่อมาถึงบริเวณบ้านหวางชีหลาง อาเจี่ยนก็ได้ยินเสียงหมาป่ากระแทกตัวตะกุยประตูและหน้าต่างเรือนหวางชีหลางอยู่ ขณะที่เสียงร้องคนในบ้านโหยหวนคล้ายภูตผีเข้าไปทุกที
            ใต้รั้วนอกลานบ้าน มีหมาป่า 4-6 ตัวเดินวนเวียนอยู่  บางคราวก็หยุดเดินเพื่อตะกุยรั้วและส่งเสียงเห่าหอน
            กลางดึกมืดมิด ยามถูกดวงตาเรืองแสงสีเขียว จับจ้องมา พาให้หนาวเยือกถึงขั้วกระดูก
            ทว่าอาเจี่ยนหาใช่คนธรรมดาสามัญไม่  เขาย่อมนิ่งเฉยไม่ตื่นกลัวหมาป่าฝูงนี้  ชายหนุ่มขึ้นคันธนู น้าวสายสุดแรง แล้วปล่อยทันที
“เฟี้ยว”
ลูกธนูหัวหนาแหลมคม พุ่งแหวกอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว ปักทะลุเข้ากลางหน้าผากหมาป่า
พอดิบพอดี!
            เสียงแผดร้องโหยหวนเขย่าขวัญสั่นประสาทดังขึ้น หมาป่าตัวที่โดนลูกธนู ทรุดฮวบกับพื้นหมดลมหายใจในทันที
            อาเจี่ยนแอบบ่นพึมพำในใจ “ยามเสียลูกธนูที่อุตส่าห์ลงทุนจ้างทำมา  มันช่างง่ายดายยิ่งนัก!” หมาป่าหลายตัวต่างตกตะลึงไปพร้อมๆกัน  ยามนี้สายตาของหมาป่าทุกตัวย้ายมาจับจ้องที่อาเจี่ยนเป็นจุดเดียว  ในดวงตาราวกับมีประกายไฟพุ่งออกมาด้วย อีกทั้งมีลูกธนูพุ่งแหวกอากาศออกมาอีกครา พุ่งทะลุขาของหมาป่าตัวหนึ่ง  มันแผดเสียงร้องโหยหวนดังก้องเสียดฟ้า
            ทั้งหมาทั้งคนทุกผู้ทุกนามต่างตะลึงงัน เสียงร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัวของคนในบ้านหวางชีหลางก็เงียบหายไปฉับพลัน บรรดาหมาป่าในลานบ้าน ต่างหมุนตัวกลับ กระโจนออกไปนอกรั้ว แล้วไปรวมกลุ่มกับฝูงที่อยู่ด้านนอก ดวงตาทั้งคู่ที่เรืองแสงสีเขียวจ้องกลับอย่างมุ่งร้าย เดินหน้าเข้าหาอาเจี่ยนทีละก้าว
            หมาป่าตัวที่บาดเจ็บอยู่ แอบไปหลบอยู่ด้านหลัง และร้องครางอย่างเจ็บปวดไม่เลิก
            ภายใต้แสงจันทร์สลัวมัวซัว อาเจี่ยนทำการนับจำนวนหมาป่า  ไม่นับหมาป่าตัวที่ตายไปแล้ว  ชายหนุ่มนับหมาป่าที่เหลือรวมกันได้ 11 ตัว!
            ใจอาเจี่ยนหนาวเยือก ไม่กล้าคิดส่งเดช  ชายหนุ่มรีบหันหลังกลับโดยฉับพลัน ขณะหันหลังกลับ ก็ขึ้นคันธนู น้าวสาย ยิงลูกธนูออกไปพร้อมกันสองดอก ตามมาด้วยเสียงแผดร้องสองเสียง หมาป่าตัวหนึ่งตาย อีกตัวบาดเจ็บ
            เมื่อฝูงหมาป่าโดนอาเจี่ยนเล่นงานเช่นนี้ ก็ยิ่งทวีความเกรี้ยวกราดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพียงเห็นหมาป่าที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าเพื่อนซึ่งยืนอยู่หน้าสุด เงยหน้าส่งเสียงขู่คำราม อุ้งเท้าทั้งสี่ของมันกระโจนขึ้นปานลมพัด นำหมาป่าทั้งหลายกระโจนตามเข้าใส่อาเจี่ยน
            ลูกธนูในกระบอกของอาเจี่ยนเหลือเพียงสองดอกเท่านั้น
            หมาป่าทั้งฝูงพุ่งเข้าใส่รวดเร็วเกินไป ไม่มีเวลาพอให้ขึ้นคันธนูและน้าวสายยิงเสียแล้ว
            อาเจี่ยนเคลื่อนกายว่องไวนัก  แค่พริบตาเดียวก็เบี่ยงตัวไปด้านข้าง โดดแผล็วขึ้นไปยืนบนรั้วเตี้ยด้านข้าง  แล้วรีบล่าถอยไปอีกฝั่งอย่างว่องไว ชายหนุ่มน้าวสายขึ้น ปล่อยลูกธนูออกไปอีกครั้ง
            ฝูงหมาป่าเองก็เปลี่ยนทิศทาง จึงลดการป้องกันลง เพียงชั่วพริบตาก็พอมีเวลาให้อาเจี่ยนตอบโต้แล้ว  ซ้ำยังผลให้หมาป่าตัวหนึ่งตกตายบนพื้น  หมาป่าทั้งฝูงโกรธจัดเต็มแก่ คำรามใส่อาเจี่ยนอย่างบ้าคลั่ง แยกเขี้ยวหนาใหญ่สีขาวให้เห็น
            อาเจี่ยนพลันบังเกิดความคิดผุดขึ้นในใจ หากมีกระบี่เล่มยาวของข้าอยู่ในมือก็คงดี!
            กระบี่เล่มยาวรึ? อย่าบอกนะว่าแต่ก่อนเขามักใช้กระบี่ยาวอยู่เนืองๆ?

------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามค่ะ^_^
  
  ...

11 ความคิดเห็น:

  1. อาเจี่ยนความจำเริ่มกลับคืนมาแล้ว

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณคะ คืนนี้ทั้งคึกคักและตื่นเต้นน่าดูพี่เจี่ยนเล่นกระโดดนำหน้าไม่รอใคร แต่หนูรอนะตอนต่อไปคะ

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณมากค่ะ ตั้งตารอต่อไปค่ะ

    ตอบลบ
  4. ต่อไปก็พกกระบี่ด้วยนะอาเจี่ยน
    ขอบคุณผู้แปลค่ะ

    ตอบลบ
  5. ตอนนี้ตื่นเต้นมากมายค่ะ สนุกมากกกกก
    ขอบคุณผู้แปลนะคะ

    ตอบลบ
  6. ลุ้นมากค่าาาาาาาาา ขอบคุณค่ะ สนุกไม่เปลี่ยนนนนน คุ้มที่รอ

    ตอบลบ
  7. ลุ้นมากกกก
    ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  8. กำลังตื่นเต้นมาก ขอบคุณมากๆค่ะ ชอบสำนวนของผู้แปลมากเลยค่ะ

    ตอบลบ
  9. สนุกมาก. ขอบคุณนะคะ

    ตอบลบ
  10. ตื่นเต้นๆสนุกมากตอนนี้ลุ้นสุดๆอาเจื่ยนสู้ๆ

    ตอบลบ
  11. ตื่นเต้นไปกับอาเจี่ยน ทั้งฝูงหมาป่า แถมความทรงจำเริ่มกลับมาอีกนิดแล้ว

    ตอบลบ