วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ัจับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 247(ใหม่) ขอยืมคน

             สำหรับอาสาม การได้เห็นเหลียนลี่และเฉียวซื่อมาเยือน พาให้สีหน้าแตกตื่นทุกคราไป พอได้ยินเสียงตะโกนเรียกของอีกฝ่ายดังขึ้นจากลานบ้าน นางจึงปรับสีหน้าให้ดูเรียบขึ้น แล้วรีบเดินออกไป  พลางเขม้นตาขุ่นมองเอ่ยสียงกระด้าง “อ้อ  นั่นมิใช่พี่สะใภ้หรอกรึ?  ที่ มานี่ คิดวางแผนอันใดมาอีกล่ะ?”

         เฉียวซื่อไม่ค่อยจะพอใจกับถ้อยคำถากถางนี่เท่าใดนัก  หากเป็นแต่ก่อน มาได้ยินคำพูดนี้ นางจะไม่มีทางอยู่เฉย และจะต้องกระโจนเข้าใส่น้องสามีเป็นแน่  แต่มาวันนี้ นางได้แต่ค้อนตาใส่อีกฝ่าย

            อาหญิงสามชะงักไป

เฉียวซื่อทำเป็นไม่ถือสาอาหญิงสาม และสาวเท้าตรงดิ่งเข้าไปในเรือน พลางแผดเสียงร้องตะโกนลั่น " ฟางโจว เจ้าอยู่บ้านหรือเปล่า ยังไม่กลับมาอีกรึ? "

น้ำเสียงนางกรีดแหลมกระด้างห้วนสุดจะทน   ทำได้คนที่ได้ยินรู้สึกระคายหูนัก

   

เหลียนฟางโจวนิ่วหน้า หญิงสาวสะกดกลั้นความหนักใจ แล้วเดินออกมา นางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพทว่าห่างเหิน "ป้าใหญ่เองรึ?"  "มีเรื่องอันใดเล่า?"

            “หากไม่มีแล้วข้าจะมาทำไมล่ะ!” เฉียวชื่อตอบกลับหญิงสาวมาเช่นนี้  ว่าแล้วก็สาวท้าวพรวดเข้ามาในเรือน “เข้ามาคุยกันต่อในเรือนก็แล้วกัน!”

            เหลียนฟางโจวรู้สึกคล้ายว่ามีอีกาบินผ่านหน้าไป หญิงสาวเหยียดยิ้มบาง เดินตามผู้เป็นป้าเข้าไปในเรือน

            พอนั่งลง เหลียนฟางโจวก็ก้มหน้าลง มิได้เอื้อนเอ่ยอันใด ในเมื่อผู้เป็นแขกเดินเชิดหน้าวางท่าประหนึ่งตนเองเป็นเจ้าบ้าน ข่มเจ้าของบ้านตัวจริงเสียปานนี้ เธอไม่เห็นความจำเป็นต้องเป็นฝ่ายเปิดปากก่อน รอนางเอ่ยปากมาเองก็แล้วกัน!

   

            เฉียวชื่อเห็นเหลียนฟางโจวมีท่าทีเช่นนี้ โทสะขุมหนึ่งพลันพุ่งขึ้นมา นึกอยากถลาเข้าใส่แล้วก่นด่าคำว่า  “นังเด็กนรก”นัก แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าเปิดปากด่าออกไป

            นางฝืนตัวไม่ให้ขยับก้นตัวเองสุดฤทธิ์ จนเก้าอี้ไม้ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ้าด แล้วจึงเอ่ยปากอย่างยากเย็น “ลุงใหญ่เจ้าเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวมาสองสามวันแล้ว  แล้วไหนจะนาข้าวของบ้านข้ายังไม่ได้ไถพรวนเลยสักนิดเลย! บ้านเจ้ามีบ่าวไพร่ไหม? ไปเรียกมาช่วยงานพวกข้าสัก 3-4 คนหน่อยสิ!”

            มุมปากของเหลียนฟางโจวบิดโค้งขึ้น  หญิงสาวแค่นหัวเราะหึ ๆ  เมื่อเห็นอีกฝ่ายมาขอความช่วยเหลือจากเธอด้วยท่าที ประหนึ่งเป็นนายของบ้านนี้เสียเองก็ไม่ปาน

            เหลียนฟางโจวจึงไม่มีอะไรจะพูด

            เฉียวชื่อหงุดหงิดนัก จึงเริ่มเสียงดัง “ที่ข้าพูดมานี่ เจ้าไม่ได้ยินหรือไร !”

            เหลียนฟางโจวเงยหน้าขึ้น เหลือบตามองเนือย ๆ ด้วยแววตาที่เรียบนิ่งเย็นชา จนเฉียวชื่อชะงักไป นางเสหน้าทำเป็นหลบ ไม่กล้าสบตาด้วย

            “ป้าใหญ่ก็พูดออกมานี่ ว่าบ่าวไพร่เป็นคนของพวกข้า แล้วไฉนจะต้องไปช่วยงานที่บ้านพวกท่านด้วยเล่า?” เหลียนฟางโจวเอ่ยอย่างเย็นชา

            ความหมายเจ้าคือไม่ตกลงรึ?”  เฉียวชื่อตวาดแว้ด แล้วแค่นเสียงเย็น “ลุงใหญ่เจ้าล้มป่วยอยู่ เจ้ายังจะบีบบังคับเขาจนล้มจมดินให้ได้รึ !”

            งานการของบ้านลุงใหญ่ ข้าจะไปสอดมือยุ่งได้เยี่ยงไร? เหลียนฟางโจวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม บีบบังคับลุงใหญ่จนล้มจมดิน วาจาเหลวไหลเยี่ยงนี้ท่านไม่ควรพล่ามออกมาเลยนะ!”

            “เหลียนฟางโจว  แค่ตัวเองมีเงินที่หามาได้อย่างสกปรกอยู่ในมือ ก็คิดว่าตัวเองแน่นักรึ!  ทำไมล่ะ?  ลุงเจ้าผู้เป็นญาติผู้ใหญ่ขอร้องให้เจ้าช่วยธุระไม่กี่อย่าง แค่นี้จะเป็นจะตายเลยหรือไ?” เฉียวซื่อแค่นยิ้ม

            “ข้าหาได้กล่าวว่าจะไม่ช่วยเสียหน่อย!”  เหลียนฟางโจวแย้มยิ้มบาง “ก็ได้ ในเมื่อป้าใหญ่พูดเป็นวรรคเป็นเวรเสียขนาดนี้ หากข้าไม่ช่วย ประเดี๋ยวจะมีคนเอาไปพูดว่าข้าเป็นพวกไม่ยอมรับฟังเหตุผลเอาได้  เช่นนั้น..พรุ่งนี้ข้าจะสั่งให้บ่าวสองคนไปบ้านท่าน  จะวางแผนสั่งงานอย่างไร ท่านก็พิจารณาเอาเอง! เอาล่ะ ในเมื่อข้าได้ช่วยป้าใหญ่เรื่องงานแล้ว ป้าใหญ่ก็ต้องดูแลเรื่องอาหารการกินให้พวกเขาด้วยเล่า?”

            เมื่อเฉียวชื่อได้ยินว่าหลานสาวรับปากแล้ว ก็ให้รู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่พอได้ยินว่าตนเองต้องจัดหาอาหารให้บรรดาบ่าวไพร่ที่เหลียนฟางโจวส่งมาช่วย ก็พลันบังเกิดโทสะ นางขึงตาใส่ นึกอยากก่นด่าอีกฝ่าย

            เหลียนฟางโจวเอ่ยอย่างเย็นชา “ไม่ว่าอย่างไร กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง ป้าบอกมาสิว่าไม่มีเหตุผลตรงไหน! ป้าใหญ่คงจะไม่เอาเปรียบผู้อื่นอยู่ร่ำไปกระมัง?”

            นั่นหมายความว่า หากนางไม่ยินยอมจัดหาอาหารให้ อีกฝ่ายจะเอาเรื่องนี้ไปโพทะนาข้างนอก

          เหตุผลที่เฉียวซื่อกล้ามาเยือนถึงถิ่น และยังกล้าพองขนสั่งให้เหลียนฟางโจวส่งคนไปช่วยนางไถพรวนที่ดินบ้านตนนั้น  ก็เพราะนางมีข้ออ้างที่เหลียนฟางโจวต้องตอบตกลงอย่างไม่มีข้อแม้

            ลุงใหญ่ล้มป่วย และถางสยงต้องไปเข้าเรียนในสำนักศึกษา เพื่อเตรียมตัวสอบอีก ครานี้ทั้งบ้านเหลือเพียงป้าใหญ่คนเดียว ในขณะที่หลานสาวมีข้าทาสอยู่ในมือเป็นโหล หากยังลังเลกับการให้ความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆเช่นนี้ แล้วผู้คนจะมองอีกฝ่ายเช่นไรเล่า?

            ด้วยเหตุนี้ อย่างไรเหลียนฟางโจวก็ต้องตอบตกลง

            ที่นางให้เฉียวซื่อจัดหาอาหารการกินให้ด้วย ก็เนื่องด้วยเหตุผลทำนองเดียวกัน

            ไม่เคยมีผู้ใดทำงานให้โดยไม่ได้รับค่าจ้าง นับประสาอะไรกับอีแค่อาหาร หากเหลียนฟางโจวโพทะนาให้ชาวบ้านรู้  จะกลายเป็นว่าเฉียวซื่อใช้ความเป็นญาติผู้ใหญ่รังแกคน เพียงเท่านี้ ต่อไปภายหน้าเหลียนฟาโจวย่อมมีข้ออ้างปฏิเสธให้ความช่วยเหลืออีกฝ่ายได้แล้ว

            นั่นไม่เป็นผลดีแน่! ที่บ้านเฉียวซื่อยังมีงานในไร่อีกกองพะเรอ ซึ่งรอความช่วยเหลือจากบ่าวไพร่ของบ้านเหลียนฟางโจวอยู่!

            ไม่ใช่แค่ดูแลเรื่องอาหารการกินเองหรอกรึ? เช่นนี้ก็แค่ทำข้าวต้มกับผักดองสักสองชิ้นให้พวกนั้นกินก็พอ!

            เฉียวซื่อตกลงใจได้ ก็แค่นเสียงใส่ “ก็ได้  ดูแลเรื่องอาหารให้ก็ได้ !”

            “เช่นนั้นก็เป็นอันตกลง!” เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้ม

            ทันทีที่เฉียวซื่อคล้อยหลังออกไป อาหญิงสามผู้ซึ่งแอบฟังอยู่ตรงประตู ก็รีบปรี่เข้ามาข้างใน แล้วเอ่ยอย่างวิตก  “ฟางโจว เจ้าเลอะเลือนไปแล้วจริง ๆ ไปสัญญิงสัญญากับนางได้อย่างไรกัน! นางเฒ่าผู้นี้จิตใจชั่วร้ายนัก  ลองให้มีครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง นางได้ลิ้มรสหวานแล้ว  คราวหน้าไม่รู้ว่านางจะกลายร่างเป็นผีเสื้ออะไร! นี่มันบ่าวไพร่ของเจ้า หรือของนางกัน!”

            อาเจี่ยนชำเลืองมองเหลียนฟางโจวด้วยความเห็นใจ จึงเอ่ยขึ้น “อาหญิงสาม อย่าตำหนิฟางโจวเลย ถึงอย่างไรฟางโจวก็เป็นหลาน หากนางปฏิเสธความช่วยเหลือ ผู้คนก็จะเอาไปซุบซิบนินทาเอา! อาเจ๋อกับอาเช่อ ก็เติบโตขึ้นทุกวัน  อีกทั้งเช่อเอ๋อร์ก็เข้าเรียนในสำนักศึกษาแล้ว  ถึงแม้นมีเรื่องที่ฟางโจวไม่ปรารถนาจะทำ ก็จำเป็นต้องทำ

            “เช่นนั้น..ก็คิดหาทางเข้าสิ!”  อาหญิงสามโพล่งขึ้น “จะให้พวกเขาทำตามอำเภอใจเช่นนี้ไม่ได้นะ!”

            อาเจี่ยนระบายยิ้ม “เรื่องนี้ ข้าคิดว่าฟางโจวคงมีทางออกเรียบร้อยแล้ว ใช่หรือไม่?”

            อาหญิงสามได้ยินดังนั้น ก็หันมาเบิกตาโตจ้องมองเหลียนฟางโจว คล้ายรอคอยคำอธิบายจากหลานสาว

            เหลียนฟางโจวยิ้มให้อาเจี่ยน “เรื่องนี้ ข้ายังคิดไม่ออกเลย ! ขอข้าคิดทบทวนอีกทีแล้วกัน!”

            รุ่งเช้าวันต่อมา เหลียนฟางโจวได้สั่งหลี่เออร์ และหลี่ซาน  ให้แบกคราด และจูงวัวเดินมุ่งหน้าไปบ้านเหลียนลี่และเฉียวซื่อ

            เมื่อพบชาวบ้าน พวกเขาก็ต้องถามทาง ในไม่ช้าก็มีชาวบ้านไม่น้อย รับรู้ว่าเหลียนลี่ทำงานไม่ได้ เพราะล้มป่วย และเฉียวซื่อได้ขอร้องฟางโจวหาคนมาช่วยไถพรวนที่นา

            ซึ่งสร้างความฉงนในสายตาทุกคนอย่างอดไม่ได้

            อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เฉียวซื่อก่อวีรกรรมมานับครั้งไม่ถ้วน ชาวบ้านต่างก็ไม่เชื่อเรื่องที่เฉียวซื่อกุขึ้นมาอีก และทุกคนต่างรู้ว่าเหลียนฟางโจวก็คงไม่เชื่อถือเหมือนกัน

            ทว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม พอผู้อื่นบอกมาเช่นนั้น นางก็ต้องส่งบ่าวไพร่มาให้ หาไม่แล้ว ความผิดจะมาตกที่ตัวนาง

            ดังนั้นชาวบ้านจึงได้แต่ทอดถอนใจ ที่โชคชะตาของเหลียนลี่และเฉียวซื่อช่างดีนัก! หนังหน้ารึก็หนาเสียจริง!

        สำหรับอาหารเช้าที่เฉียวซื่อเตรียมไว้ให้หลี่เออร์ และหลี่ซาน แต่ละคนได้รับข้าวต้มที่ใสจ๋องแทบจะเห็นก้นชาม เมื่อลองเอาตะเกียบคน ก็มีเพียงเม็ดข้าวที่นอนก้นไม่ถึงครึ่งชาม

            ผักดองก็ไม่มีให้อีกต่างหาก

            เดิมทีเฉียวซื่อกะจะให้ผักดองด้วย แต่เมื่อทบทวนดูอีกครา จึงคิดเก็บผักดองไว้เอง

            ให้กินข้าวต้มก็กินไปสิ จะเอาผักดองอะไรเล่า!

            “รีบกินเข้า กินเสร็จแล้วก็รีบไปที่นาเลย!” เฉียวซื่อสั่งอย่างวางอำนาจ “ทำงานให้หนัก อย่าขี้เกียจเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะให้อดข้าวกลางวันเสียให้เข็ด!”

            เฉียวซื่อเชื่อว่า นางต้องข่มขู่พวกคนงานให้หนัก เอาให้แทบร้องขอชีวิตไปเลย  ส่วนหลี่เอ้อร์ กับหลี่ซานลอบกลอกตากัน และไม่สนใจคำขู่ พวกเขาคิดว่าพี่น้องเขาหาได้เป็นข้าทาสของบ้านนี้ไม่ แล้วไยต้องวิตกกับขู่ด้วยเล่า?

            จะไม่มีข้าวกลางวันให้กินรึ? ต่อให้ข้าสองคนเหนื่อยล้าจนหมดแรง  ก็จะไม่ให้กินข้าวใช่หรือไม่? เคราะห์ดีนัก ที่ตอนเช้าก่อนมาที่นี่ ได้กินข้าวเช้าจนอิ่มท้องแล้ว มิเช่นนั้น คงต้องทำงานจนหิวตายแน่!

            วันนี้ก็ขนาดนี้เสียแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น