วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 248(ใหม่) เสแสร้ง

           เป็นที่รู้กันดีว่า ช่วงเวลาไถหว่านในวสันต์ฤดู  และเก็บเกี่ยวในสารทฤดู เป็นช่วงที่ยุ่งวุ่นวายที่สุด แม้แต่ครอบครัวชาวนาที่อัตคัดขัดสนกว่าบ้านอื่น  แรงงานหลักของบ้านก็ยังต้องกินให้ท้องอิ่มไว้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีกำลังลุยงานหนัก ฉันใดก็ฉันนั้น  หากเฉียวซื่ออยากให้ม้าวิ่ง หญ้าสดย่อมต้องมีให้มันกินไม่เคยขาด

 

            ทว่า  ในใจเฉียวซื่อไม่เคยมองบ่าวที่มาช่วยงานเป็นมนุษย์เหมือนตนเลย

 

            บ่าวสองคนอดแอบทอดถอนใจไม่ได้  เคราะห์ดีที่เจ้านายแท้ๆของพวกตนคือแม่นางเหลียน ! เจ้านายดี ๆอย่างแม่นางเหลียนนี่ ช่างหาได้ยากนัก !

            “ขอรับ” หลี่เอ้อร์ และหลี่ซานหาได้โต้แย้งเฉียวซื่อ  ทั้งสองคนได้แต่รับคำเสียงเนือย  พลางยกชามข้าวต้ม ที่ใสเป็นน้ำแกงขึ้นดื่ม

 

            เห็นพวกเขายอมดื่มข้าวต้มที่ตนทำเองแต่โดยดี โดยไม่หือไม่อือ  สองตาของเฉียวซื่อที่จับตาดูพวกเขายิ่งเบิกถลนเข้าไปใหญ่  นางแอบก่นด่าทั้งสองในใจ “ทีกินละเก่งนัก ทีงานละก็ ขี้เกียจตัวเป็นขน!”

            พอคิดขึ้นมา  ก็ให้รู้สึกไม่พอใจ  ปากจึงขยับพร่ำบ่นไม่หยุด “อย่ามัวแต่กินสิ จำเอาไว้ พอไปถึงที่นา ก็ทำงานให้มันดีด้วยเล่า  และไถพรวนที่นาข้าให้ละเอียดๆ ให้มันลึกหน่อย เข้าใจไหม! ได้ยินที่ข้าพูดไหม? กิน กิน กินเข้าไป สนใจแต่เรื่องกิน เจ้าพวกหมูกลับชาติมาเกิดเอ้ย!”

 

            หลี่เอ้อร์กับหลี่ซานอดโมโหขึ้นมาไม่ได้ ก่อนมาที่บ้านสกุลเหลียน พวกเขาเคยทำงานรับใช้บ้านผู้อื่นมาก่อน  แต่ไม่เคยพบเคยเห็นคนแบบเฉียวซื่อเลย

 

            หลี่เอ้อร์รับคำอย่างอดกลั้น “ขอรับ !

 

            เฉียวซื่อถลึงตาด่าทอหลี่ซานเป็นคนต่อไป “เจ้าก็อีกคน เข้าใจหรือไม่? อย่ามาแกล้งทำสำออยล่ะ!”

            มือของหลี่ซานคลายลง พลันได้ยินเสียงดังตามมา

“เพล้ง”  

 

ชามในมือเขาร่วงหล่นแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

 

            “เจ้าทำอะไรของเจ้า?!” เฉียวซื่อหน้าเปลี่ยนสี พลางตวาดแว้ด  นางชี้นิ้วจิ้มจมูกหลี่ซาน แล้วด่าบริภาษ “เจ้ามันตัวซวย ทำข้าวของบ้านข้าเสียหาย กะอีแค่ชามใบหนึ่งก็ถือไม่เป็น !  ทั้งหมดนี่ใช้เงินซื้อหามาทั้งนั้น  เจ้าต้องชดใช้ให้ข้า จ่ายมาเสียดี ๆ ! เจ้าขี้ข้างุ่มง่ามปัญญาอ่อน  มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่จะซื้อทาสอย่างพวกเจ้า!”

 

            หลี่ซานโต้กลับ “หากข้าบอกป้าเหลียน  ท่านจะยิ่งด่าข้าหรือไม่?  หากมิใช่ว่าจู่ ๆ ท่านตวาดเสียดังใส่ข้าปานนั้น ข้าคงไม่สะดุ้งตกใจ ! จึงไม่ทันระวังตัวทำชามหลุดมือหรอก ! เคราะห์ดีนะที่มือไม่โดนบาด หากบาดมือเข้า  ข้าคงทำงานไม่ได้  หากเป็นเช่นนั้น...ท่านจะช่วยงานข้าได้หรือไม่?”

   

            “เจ้า!” เฉียวซื่อคิดไม่ถึงว่าทาสคนหนึ่งจะกล้าต่อปากต่อคำกับนาง นางสั่นด้วยโทสะจนพูดไม่ออก

            หลี่เอ้อร์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆกัน พูดขึ้นด้วยเสียงเรียบเรื่อย “ป้าเหลียน  ที่น้องชายข้าพูดมาไม่ผิดเลย เมื่อครู่ข้าเองก็เกือบทำชามหลุดมือเหมือนกัน!  ท่านจะให้ข้าจ่ายเงินโดยไร้เหตุผลเนี่ยนะ  ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ออกไปเล่าให้คนอื่นฟังกันเถอะ ให้ทุกคนช่วยตัดสินว่าใครผิดใครถูกดีหรือไม่?”

   

            จนถึงตอนนี้เหลียนลี่ยังคงหลบหน้าอยู่ในเรือน ขณะที่ลอบฟังการสนทนาอย่างไม่มีตกหล่น เขาอดนิ่วหน้าไม่ได้ เมื่อได้ยินเฉียวซื่อพูดจาวางก้ามใหญ่โต เขาชิงชังนางนักที่ดีแต่หาเรื่อง ยามนี้ เมื่อได้ยินหลี่เอ้อร์บอกว่าพวกเขาจะออกไปเล่าให้คนข้างนอกตัดสิน  เมื่อถึงตอนนั้นจะกลายเป็นครอบครัวเขาที่เป็นฝ่ายผิดนะสิ

 

            ทั้งนี้ก็เพราะสองคนนี้ก็หาได้เป็นบริวารของตน  ตามหลักแล้ว เฉียวซื่อไม่ควรเอาแต่ดุด่าเช่นนี้ นางเด็กน่าตายเหลียนฟางโจวนั่น คงอยากให้เรื่องออกมาเป็นแบบนี้ที่สุด  เมื่อถึงตอนนั้น นางจะได้มีข้ออ้างถือโอกาสเอาตัวสองคนนั่นกลับไป  เช่นนี้...จะไม่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หรอกรึ?

 

            เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ เหลียนลี่ก็ไอโขลกๆขึ้นมา

 

            เฉียวซื่อคงมิใช่คนฉลาดมีไหวพริบเป็นแน่แท้ เหลียนลี่ไอโขลก ๆ อยู่ในเรือน จนปอดแทบจะกระเด็นออกมาจากตัวแล้ว เฉียวซื่อก็ยังเอาแต่ยืนอยู่ที่เดิม พร้อมทั้งแยกเขี้ยวเอาแต่ก่นด่า “ก็แค่คำพูด  อีแก่อย่างข้าเกรงว่า ขี้ข้าอย่างพวกเจ้าสองคน คงจะทำอะไรไม่ได้หรอก ! เฮอะ...จริง ๆเลย ใครนะที่เลี้ยงทาสแบบนี้เอาไว้ !  เจ้านายมันก็สารเลวเหมือนพวกเจ้านั่นแหละ  หาดีไม่ได้เลย!”

 

            เมื่อพูดพาดพิงถึงเหลียนฟางโจว  พอมองไปที่เศษกระเบื้องขาวโพลนบนพื้น ไฟโทสะขุมหนึ่งของเฉียวซื่อก็ทะยานขึ้นเป็นลำดับ นางพลันฉุกคิดขึ้นมาได้  และแน่ใจว่า เจ้าสองคนนี้ต้องได้รับคำสั่งมาจากเหลียนฟางโจวอย่างแน่นอน  พวกมันจงใจใช้แผนสกปรกเพื่อให้การงานของตนเองสะดุด  เสียงด่าของเฉียวซื่อจึงอดกระด้างห้วนขึ้นมาไม่ได้

 

            ในความเป็นจริง เหลียนฟางโจวจะต้องสั่งการพวกมันมาเป็นแน่แท้  นางคงมิอยากให้สองคนนี่มาช่วยงานของตนและสามีนาน ๆ

 

            หลี่เอ้อร์กับหลี่ซานมิเอื้อนเอ่ยอันใด และปล่อยให้นางด่าทอต่อไป

 

            เหลียนลี่ได้ยินแล้วเกิดโทสะ พลางแอบก่นด่าในใจ “นังหญิงหน้าโง่เอ้ย”  เขาเองไม่สามารถไออีกต่อไปแล้ว เพราะรู้ว่าต่อให้เขาไอจนปอดหลุดออกมา นังหญิงหน้าโง่ผู้นี่คงไม่เอะใจขึ้นมาหรอก

   

            เหลียนลี่กดเสียงตนเองให้ต่ำ และตะโกนเรียกเสียงพร่าขึ้นสองส่วน “รินน้ำให้ข้าหน่อย! รินน้ำให้ข้าที!”

 

            เมื่อเฉียวซื่อได้ยิน จึงผละจากหลี่เอ้อร์และหลี่ซานไปชั่วครู่ แล้วรินน้ำใส่แก้วเดินเข้าไปในเรือน

 

            หลี่เอ้อร์และหลี่ซานต่างมองหน้ากัน หลี่ซานอดด่าทอไม่ได้ “หญิงน่าตายผู้นี้ช่างน่าชิงชังเสียจริง !  คนดี ๆอย่างแม่นางเหลียน  มีญาติสนิทเช่นนี้ได้อย่างไร!”

            “จะทำอะไรได้เล่า? คิดว่าแม่นางเหลียนจะไม่เอือมระอาพวกเขาหรอกรึ ? พวกเขาไม่ละอายใจเสียอย่าง  แม่นางเหลียนยังจะทำอะไรได้เล่า!  พวกเราก็คงได้แต่อดทนกันไป !” หลี่เอ้อร์เอ่ยขึ้น

 

            “ก็ว่างั้น...ยังจะมีอะไรที่ทำได้อีกเล่า !” หลี่ซานพรูลมหายใจเบาๆ แล้วสบถพึมพำ “นังแก่น่าตายเอ้ย”

 

            หลังเฉียวซื่อออกมาจากเรือน แม้ว่าใบหน้ายังคงบึ้งตึงดุจเดิม และมิได้ดุด่าคนทั้งสองอีก แต่ก็แค่นเสียงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “ยังจะมายืนบื้อทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย? ยังไม่ไปทำงานให้ข้าอีก! เอาแต่เกียจคร้าน  ทีเรื่องอู้งาน เก่งกันนักนะ !”

 

            หลี่เอ้อร์ และหลี่ซานหันไปมองหน้ากัน  ครั้นแล้วจึงหันกายผละจากไป

 

**

            “ป้าเหลียน ขอน้ำดึ่มสักแก้วได้ไหม? พอดีข้ากระหายน้ำนิดหน่อยน่ะ !” หลี่เอ้อร์พลันพูดขึ้น เมื่อเดินเข้ามาในลานบ้าน

 

            มีน้ำอยู่ในบ่อน้ำ ไปตักดื่มเอาเองสิ !” เฉียวซื่อกำลังอารมณ์ไม่ดี

 

            อากาศตอนนี้ แม้ว่าไม่เย็นอีกแล้ว อีกทั้งกำลังเข้าสู่ฤดูวสันต์เป็นลำดับ ทว่าถึงอย่างไรก็ยังเย็นเยือกเสียสองส่วน  ถึงกระนั้นแม้แต่น้ำร้อน เฉียวซื่อก็ไม่เต็มใจจัดเตรียมให้พวกเขา

 

            อย่างไรก็ตาม สองคนนั้นก็มิได้หวังอะไรอยู่แล้ว หลี่เอ้อร์ร้องขึ้น “อ้อ” แล้วไปตักน้ำ

 

            เมื่อกลัวว่าพวกเขาจะทำให้บ่อน้ำตนเองสกปรกและเสียหาย เฉียวซื่อจึงรีบเขย่งเท้าชะโงกดู

 

            หลี่เอ้อร์กำลังตักน้ำ เฉียวซื่อก็เข้าไปดู  เมื่อเห็นนางถลึงตาปูดโปนใส่เขาอย่างกับตาปลา ทาสหนุ่มจึงพูดขึ้น “ตอนเที่ยง พวกข้ากลับไปกินอาหารที่บ้านคุณหนูเหลียน แล้วป้าเหลียนค่อยส่งเราเข้าไปทำนาต่อดีหรือไม่?”

 

            เฉียวซื่อเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “กลับไปอะไรกัน? กินข้าวในทุ่งนาได้เท่านั้น!” เอาแต่ไป ๆ กลับ ๆ จะไม่เสียเวลาหรือไร?  วันนี้นางหวังเร่งให้พวกเขาทำงานเสร็จไว ๆ  จะได้คุ้มค่าข้าวของบ้านนาง

 

            หลี่เอ้อร์หัวเราะหึ ๆถามขึ้น “เช่นนั้น...ท่านจะเอาข้าวมาส่งให้พวกเรารึ?”

 

            เฉียวซื่อถลึงตาใส่เขา แล้วพูดอย่างฝืนใจเต็มทน “ใช่..ข้าจะส่งข้าวให้พวกเจ้าเอง !”

 

            ขณะกล่าววาจานี้  เฉียวซื่อรู้สึกไม่สบอารมณ์อีกครา ถึงอย่างไร นางก็เป็น “เจ้านาย” จะไปส่งข้าวให้ทาสทั้งสองกิน  พวกนั้นจะโชคดีมากไปหน่อยไหม ? แต่ครั้นจะไม่ให้ข้าวพวกมันกิน ก็คงไม่ได้ ไม่เช่นนั้น นังเด็กน่าตายเหลียนฟางโจวคงต้องหาข้ออ้างอะไรแน่

 

            “อ้อ” หลี่เอ้อร์เอ่ยออกมาคำหนึ่ง  แล้วจึงหันไปเรียกหลี่ซาน “พวกเราไปกันเถอะ!”

 

            ทั้งสองคนจึงผละจากไปเช่นนี้เอง

 

            พอเห็นว่าทาสทั้งสองคนผินกายเดินจากไปเฉย และไม่พูดบอกลาอย่างมีมรรยาทกับตน เฉียวซื่อจึงถลึงตามองตามหลังสองคนนั้นจนกระทั่งลับตาไป ครั้นแล้วก็ถ่มน้ำลายลงพื้น พลางสบถด่า “สมควรแล้วที่เป็นได้แค่ขี้ข้า ไม่มีการศึกษาสักนิด!”

   

            บ่นพึมพำอะไรอยู่อีก!” เหลียนลี่ออกมาจากเรือน พลางขึงตาใส่ภรรยาด้วยโทสะ “พวกเขาทำงานให้เราได้ ก็พอแล้ว ไฉนเจ้าถึงทำตัวไร้สาระปานนี้! หากไม่ใช่เพราะเจ้าเอาแต่บ่นไม่เลิก  ตอนนี้ก็ควรจะเข้าไปในที่นากันตั้งนานแล้ว !”

 

            ข้าเปล่านะ” เฉียวซื่อพูดเสียงอ่อย “กว่าจะเอาทาสสองนี่มาได้ ก็แทบหืดขึ้นคอ แล้วจะไม่ให้ข้าแสดงอำนาจใส่พวกนั้นได้อย่างไร ข้าเลียนแบบมาจากฮูหยินของนายท่านเจ้าของที่ดินน่ะ!  มิหนำซ้ำ เจ้าทาสสองคนนี่ ดูท่าทางเกียจคร้านจะตาย  แค่เห็นก็พาลให้โมโหแล้ว!  แล้วจะมาบ่นข้าได้อย่างไร!”

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น