เป็นที่รู้กันดีว่า ช่วงเวลาไถหว่านในวสันต์ฤดู และเก็บเกี่ยวในสารทฤดู เป็นช่วงที่ยุ่งวุ่นวายที่สุด แม้แต่ครอบครัวชาวนาที่อัตคัดขัดสนกว่าบ้านอื่น แรงงานหลักของบ้านก็ยังต้องกินให้ท้องอิ่มไว้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีกำลังลุยงานหนัก ฉันใดก็ฉันนั้น หากเฉียวซื่ออยากให้ม้าวิ่ง หญ้าสดย่อมต้องมีให้มันกินไม่เคยขาด
ทว่า ในใจเฉียวซื่อไม่เคยมองบ่าวที่มาช่วยงานเป็นมนุษย์เหมือนตนเลย
บ่าวสองคนอดแอบทอดถอนใจไม่ได้
เคราะห์ดีที่เจ้านายแท้ๆของพวกตนคือแม่นางเหลียน ! เจ้านายดี
ๆอย่างแม่นางเหลียนนี่ ช่างหาได้ยากนัก !
“ขอรับ”
หลี่เอ้อร์ และหลี่ซานหาได้โต้แย้งเฉียวซื่อ ทั้งสองคนได้แต่รับคำเสียงเนือย พลางยกชามข้าวต้ม ที่ใสเป็นน้ำแกงขึ้นดื่ม
เห็นพวกเขายอมดื่มข้าวต้มที่ตนทำเองแต่โดยดี
โดยไม่หือไม่อือ สองตาของเฉียวซื่อที่จับตาดูพวกเขายิ่งเบิกถลนเข้าไปใหญ่
นางแอบก่นด่าทั้งสองในใจ “ทีกินละเก่งนัก
ทีงานละก็ ขี้เกียจตัวเป็นขน!”
พอคิดขึ้นมา
ก็ให้รู้สึกไม่พอใจ ปากจึงขยับพร่ำบ่นไม่หยุด “อย่ามัวแต่กินสิ จำเอาไว้
พอไปถึงที่นา ก็ทำงานให้มันดีด้วยเล่า และไถพรวนที่นาข้าให้ละเอียดๆ
ให้มันลึกหน่อย เข้าใจไหม! ได้ยินที่ข้าพูดไหม? กิน
กิน กินเข้าไป สนใจแต่เรื่องกิน เจ้าพวกหมูกลับชาติมาเกิดเอ้ย!”
หลี่เอ้อร์กับหลี่ซานอดโมโหขึ้นมาไม่ได้
ก่อนมาที่บ้านสกุลเหลียน พวกเขาเคยทำงานรับใช้บ้านผู้อื่นมาก่อน แต่ไม่เคยพบเคยเห็นคนแบบเฉียวซื่อเลย
หลี่เอ้อร์รับคำอย่างอดกลั้น
“ขอรับ !”
เฉียวซื่อถลึงตาด่าทอหลี่ซานเป็นคนต่อไป
“เจ้าก็อีกคน เข้าใจหรือไม่? อย่ามาแกล้งทำสำออยล่ะ!”
มือของหลี่ซานคลายลง
พลันได้ยินเสียงดังตามมา
“เพล้ง”
ชามในมือเขาร่วงหล่นแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“เจ้าทำอะไรของเจ้า?!” เฉียวซื่อหน้าเปลี่ยนสี
พลางตวาดแว้ด นางชี้นิ้วจิ้มจมูกหลี่ซาน
แล้วด่าบริภาษ “เจ้ามันตัวซวย ทำข้าวของบ้านข้าเสียหาย กะอีแค่ชามใบหนึ่งก็ถือไม่เป็น
! ทั้งหมดนี่ใช้เงินซื้อหามาทั้งนั้น
เจ้าต้องชดใช้ให้ข้า จ่ายมาเสียดี ๆ ! เจ้าขี้ข้างุ่มง่ามปัญญาอ่อน
มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่จะซื้อทาสอย่างพวกเจ้า!”
หลี่ซานโต้กลับ
“หากข้าบอกป้าเหลียน ท่านจะยิ่งด่าข้าหรือไม่? หากมิใช่ว่าจู่ ๆ ท่านตวาดเสียดังใส่ข้าปานนั้น
ข้าคงไม่สะดุ้งตกใจ ! จึงไม่ทันระวังตัวทำชามหลุดมือหรอก
! เคราะห์ดีนะที่มือไม่โดนบาด หากบาดมือเข้า ข้าคงทำงานไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้น...ท่านจะช่วยงานข้าได้หรือไม่?”
“เจ้า!” เฉียวซื่อคิดไม่ถึงว่าทาสคนหนึ่งจะกล้าต่อปากต่อคำกับนาง
นางสั่นด้วยโทสะจนพูดไม่ออก
หลี่เอ้อร์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆกัน
พูดขึ้นด้วยเสียงเรียบเรื่อย “ป้าเหลียน ที่น้องชายข้าพูดมาไม่ผิดเลย
เมื่อครู่ข้าเองก็เกือบทำชามหลุดมือเหมือนกัน! ท่านจะให้ข้าจ่ายเงินโดยไร้เหตุผลเนี่ยนะ ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ออกไปเล่าให้คนอื่นฟังกันเถอะ
ให้ทุกคนช่วยตัดสินว่าใครผิดใครถูกดีหรือไม่?”
จนถึงตอนนี้เหลียนลี่ยังคงหลบหน้าอยู่ในเรือน
ขณะที่ลอบฟังการสนทนาอย่างไม่มีตกหล่น เขาอดนิ่วหน้าไม่ได้ เมื่อได้ยินเฉียวซื่อพูดจาวางก้ามใหญ่โต
เขาชิงชังนางนักที่ดีแต่หาเรื่อง ยามนี้ เมื่อได้ยินหลี่เอ้อร์บอกว่าพวกเขาจะออกไปเล่าให้คนข้างนอกตัดสิน
เมื่อถึงตอนนั้นจะกลายเป็นครอบครัวเขาที่เป็นฝ่ายผิดนะสิ
ทั้งนี้ก็เพราะสองคนนี้ก็หาได้เป็นบริวารของตน
ตามหลักแล้ว เฉียวซื่อไม่ควรเอาแต่ดุด่าเช่นนี้
นางเด็กน่าตายเหลียนฟางโจวนั่น คงอยากให้เรื่องออกมาเป็นแบบนี้ที่สุด เมื่อถึงตอนนั้น นางจะได้มีข้ออ้างถือโอกาสเอาตัวสองคนนั่นกลับไป เช่นนี้...จะไม่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หรอกรึ?
เมื่อคิดมาถึงตอนนี้
เหลียนลี่ก็ไอโขลกๆขึ้นมา
เฉียวซื่อคงมิใช่คนฉลาดมีไหวพริบเป็นแน่แท้
เหลียนลี่ไอโขลก ๆ อยู่ในเรือน จนปอดแทบจะกระเด็นออกมาจากตัวแล้ว
เฉียวซื่อก็ยังเอาแต่ยืนอยู่ที่เดิม พร้อมทั้งแยกเขี้ยวเอาแต่ก่นด่า “ก็แค่คำพูด อีแก่อย่างข้าเกรงว่า ขี้ข้าอย่างพวกเจ้าสองคน คงจะทำอะไรไม่ได้หรอก
! เฮอะ...จริง ๆเลย ใครนะที่เลี้ยงทาสแบบนี้เอาไว้
! เจ้านายมันก็สารเลวเหมือนพวกเจ้านั่นแหละ หาดีไม่ได้เลย!”
เมื่อพูดพาดพิงถึงเหลียนฟางโจว
พอมองไปที่เศษกระเบื้องขาวโพลนบนพื้น
ไฟโทสะขุมหนึ่งของเฉียวซื่อก็ทะยานขึ้นเป็นลำดับ นางพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ และแน่ใจว่า เจ้าสองคนนี้ต้องได้รับคำสั่งมาจากเหลียนฟางโจวอย่างแน่นอน
พวกมันจงใจใช้แผนสกปรกเพื่อให้การงานของตนเองสะดุด
เสียงด่าของเฉียวซื่อจึงอดกระด้างห้วนขึ้นมาไม่ได้
ในความเป็นจริง
เหลียนฟางโจวจะต้องสั่งการพวกมันมาเป็นแน่แท้ นางคงมิอยากให้สองคนนี่มาช่วยงานของตนและสามีนาน
ๆ
หลี่เอ้อร์กับหลี่ซานมิเอื้อนเอ่ยอันใด
และปล่อยให้นางด่าทอต่อไป
เหลียนลี่ได้ยินแล้วเกิดโทสะ
พลางแอบก่นด่าในใจ “นังหญิงหน้าโง่เอ้ย” เขาเองไม่สามารถไออีกต่อไปแล้ว เพราะรู้ว่าต่อให้เขาไอจนปอดหลุดออกมา
นังหญิงหน้าโง่ผู้นี่คงไม่เอะใจขึ้นมาหรอก
เหลียนลี่กดเสียงตนเองให้ต่ำ
และตะโกนเรียกเสียงพร่าขึ้นสองส่วน “รินน้ำให้ข้าหน่อย! รินน้ำให้ข้าที!”
เมื่อเฉียวซื่อได้ยิน
จึงผละจากหลี่เอ้อร์และหลี่ซานไปชั่วครู่ แล้วรินน้ำใส่แก้วเดินเข้าไปในเรือน
หลี่เอ้อร์และหลี่ซานต่างมองหน้ากัน
หลี่ซานอดด่าทอไม่ได้ “หญิงน่าตายผู้นี้ช่างน่าชิงชังเสียจริง ! คนดี ๆอย่างแม่นางเหลียน มีญาติสนิทเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“จะทำอะไรได้เล่า? คิดว่าแม่นางเหลียนจะไม่เอือมระอาพวกเขาหรอกรึ
? พวกเขาไม่ละอายใจเสียอย่าง แม่นางเหลียนยังจะทำอะไรได้เล่า! พวกเราก็คงได้แต่อดทนกันไป !”
หลี่เอ้อร์เอ่ยขึ้น
“ก็ว่างั้น...ยังจะมีอะไรที่ทำได้อีกเล่า
!” หลี่ซานพรูลมหายใจเบาๆ แล้วสบถพึมพำ
“นังแก่น่าตายเอ้ย”
หลังเฉียวซื่อออกมาจากเรือน
แม้ว่าใบหน้ายังคงบึ้งตึงดุจเดิม และมิได้ดุด่าคนทั้งสองอีก แต่ก็แค่นเสียงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
“ยังจะมายืนบื้อทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย? ยังไม่ไปทำงานให้ข้าอีก! เอาแต่เกียจคร้าน
ทีเรื่องอู้งาน เก่งกันนักนะ !”
หลี่เอ้อร์
และหลี่ซานหันไปมองหน้ากัน ครั้นแล้วจึงหันกายผละจากไป
**
“ป้าเหลียน
ขอน้ำดึ่มสักแก้วได้ไหม? พอดีข้ากระหายน้ำนิดหน่อยน่ะ
!” หลี่เอ้อร์พลันพูดขึ้น เมื่อเดินเข้ามาในลานบ้าน
มีน้ำอยู่ในบ่อน้ำ
ไปตักดื่มเอาเองสิ !”
เฉียวซื่อกำลังอารมณ์ไม่ดี
อากาศตอนนี้
แม้ว่าไม่เย็นอีกแล้ว อีกทั้งกำลังเข้าสู่ฤดูวสันต์เป็นลำดับ ทว่าถึงอย่างไรก็ยังเย็นเยือกเสียสองส่วน
ถึงกระนั้นแม้แต่น้ำร้อน เฉียวซื่อก็ไม่เต็มใจจัดเตรียมให้พวกเขา
อย่างไรก็ตาม
สองคนนั้นก็มิได้หวังอะไรอยู่แล้ว หลี่เอ้อร์ร้องขึ้น “อ้อ” แล้วไปตักน้ำ
เมื่อกลัวว่าพวกเขาจะทำให้บ่อน้ำตนเองสกปรกและเสียหาย
เฉียวซื่อจึงรีบเขย่งเท้าชะโงกดู
หลี่เอ้อร์กำลังตักน้ำ
เฉียวซื่อก็เข้าไปดู เมื่อเห็นนางถลึงตาปูดโปนใส่เขาอย่างกับตาปลา
ทาสหนุ่มจึงพูดขึ้น “ตอนเที่ยง พวกข้ากลับไปกินอาหารที่บ้านคุณหนูเหลียน
แล้วป้าเหลียนค่อยส่งเราเข้าไปทำนาต่อดีหรือไม่?”
เฉียวซื่อเอ่ยด้วยความไม่พอใจ
“กลับไปอะไรกัน? กินข้าวในทุ่งนาได้เท่านั้น!” เอาแต่ไป
ๆ กลับ ๆ จะไม่เสียเวลาหรือไร? วันนี้นางหวังเร่งให้พวกเขาทำงานเสร็จไว ๆ จะได้คุ้มค่าข้าวของบ้านนาง
หลี่เอ้อร์หัวเราะหึ
ๆถามขึ้น “เช่นนั้น...ท่านจะเอาข้าวมาส่งให้พวกเรารึ?”
เฉียวซื่อถลึงตาใส่เขา
แล้วพูดอย่างฝืนใจเต็มทน “ใช่..ข้าจะส่งข้าวให้พวกเจ้าเอง !”
ขณะกล่าววาจานี้
เฉียวซื่อรู้สึกไม่สบอารมณ์อีกครา ถึงอย่างไร
นางก็เป็น “เจ้านาย” จะไปส่งข้าวให้ทาสทั้งสองกิน พวกนั้นจะโชคดีมากไปหน่อยไหม ? แต่ครั้นจะไม่ให้ข้าวพวกมันกิน
ก็คงไม่ได้ ไม่เช่นนั้น นังเด็กน่าตายเหลียนฟางโจวคงต้องหาข้ออ้างอะไรแน่
“อ้อ”
หลี่เอ้อร์เอ่ยออกมาคำหนึ่ง แล้วจึงหันไปเรียกหลี่ซาน
“พวกเราไปกันเถอะ!”
ทั้งสองคนจึงผละจากไปเช่นนี้เอง
พอเห็นว่าทาสทั้งสองคนผินกายเดินจากไปเฉย
และไม่พูดบอกลาอย่างมีมรรยาทกับตน เฉียวซื่อจึงถลึงตามองตามหลังสองคนนั้นจนกระทั่งลับตาไป
ครั้นแล้วก็ถ่มน้ำลายลงพื้น พลางสบถด่า “สมควรแล้วที่เป็นได้แค่ขี้ข้า
ไม่มีการศึกษาสักนิด!”
“บ่นพึมพำอะไรอยู่อีก!” เหลียนลี่ออกมาจากเรือน
พลางขึงตาใส่ภรรยาด้วยโทสะ “พวกเขาทำงานให้เราได้ ก็พอแล้ว ไฉนเจ้าถึงทำตัวไร้สาระปานนี้! หากไม่ใช่เพราะเจ้าเอาแต่บ่นไม่เลิก
ตอนนี้ก็ควรจะเข้าไปในที่นากันตั้งนานแล้ว
!”
“ข้าเปล่านะ”
เฉียวซื่อพูดเสียงอ่อย “กว่าจะเอาทาสสองนี่มาได้ ก็แทบหืดขึ้นคอ แล้วจะไม่ให้ข้าแสดงอำนาจใส่พวกนั้นได้อย่างไร
ข้าเลียนแบบมาจากฮูหยินของนายท่านเจ้าของที่ดินน่ะ! มิหนำซ้ำ เจ้าทาสสองคนนี่ ดูท่าทางเกียจคร้านจะตาย
แค่เห็นก็พาลให้โมโหแล้ว! แล้วจะมาบ่นข้าได้อย่างไร!”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น