วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 249 เรื่องน่าหัวเราะ

           “เจ้านี่มันชอบจุ้นจ้านนัก !”เหลียนลี่แค่นเสียง “ไปเลียนแบบฮูหยินของนายท่านเจ้าที่ดินอย่างนั้นรึ? เจ้าเองต้องมีชีวิตเยี่ยงนั้นให้ได้ก่อนสิ ! หากยังทำเรื่องขายหน้าอันใดออกมาอีก ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะมีจุดจบเยี่ยงไร !”

 

            วาจานี้เฉียวซื่อได้ฟังรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นพิเศษ นางสะกดกลั้นความเจ็บใจ “ไยข้าจะมีชีวิตเยี่ยงนั้นไม่ได้ รอลูกชายข้าเป็นใหญ่เป็นโตก่อนเถอะ  ข้าจะเป็นฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลขุนนาง! ฮึ่ม...มีเกียรติยศศํกดิ์ศรีดีกว่าเศรษฐีบ้านนอกพวกนั้นตั้งเยอะ ! และเมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะซื้อข้าทาสสาวใช้ 17-18 คนเลย ข้าอยากจะด่าใคร ข้าก็จะด่า ใครมันจะมาสนใจ หรือมาห้ามปราม ไม่ให้ข้าทำล่ะ!”

 

            เหลียนลี่แค่นเสียง “ไว้รอให้ถึงวันนั้นก่อนเถอะ แล้วค่อยมาพูด ! ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้ทำให้ข้าขายหน้าอีก  คอยคุมพวกเขาทำงานให้ดี ต่อไปภายหน้า ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการงานที่บ้านเราแล้ว !”

 

            พอคิดว่าภายหน้า งานการของบ้านตนเองทั้งหมดจะมีคนมารับช่วง  ในใจของนังเด็กน่าตายเหลียนฟางโจวนั่นคงไม่ยินยอม ทว่านางก็พูดออกไปไม่ได้แม้สักครึ่งคำ พอคิดขึ้นมาเฉียวซื่อพลันรู้สึกสะใจนัก

 

            นางเลิกคิ้วพูดอย่างย่ามใจ “ตาแก่...เจ้าวางใจเถิด! นังเด็กน่าตายนั่น มันไม่กล้าหักหน้าตัวเองหรอก มิเช่นนั้น ข้าจะทำให้ชื่อเสียงของครอบครัวนางฉาวโฉ่! ฮึ่ม..ขนาดทาสสองคน ข้ายังเอามาใช้ได้มิใช่รึ ! จะหมูหมากาไก่อะไรที่บ้านนาง นางก็อาจต้องนำมาบรรณาการพวกเราให้หมด !

 

            ขณะที่เหลียวซื่อกำลังวางท่าอวดเบ่งอย่างภาคภูมิใจอยู่ในเรือนนั้น หลี่เอ้อร์กับหลี่ซาน ก็เข้าไปในทุ่งนาเรียบร้อยแล้ว

 

            ส่วนเรื่องเตรียมอาหารมื้อเที่ยงให้สองคนนั้น  ย่อมไม่อยู่ในความคิดคำนึงของเฉียวซื่ออยู่แล้ว

 

            จวนจะเที่ยงแล้ว นางเพิ่งจะเริ่มลงมือทำอาหารอย่างใจเย็นไม่รีบร้อน โดยผัดกะหล่ำปลีจานหนึ่ง หั่นหมูสามชั้นนึ่ง วางบนข้าวสวย แบ่งเป็นถ้วยเล็ก แล้วเหยาะน้ำมันใสแจ๋วลงไป ทำให้ได้กลิ่นหอมเข้มโชยมา ชวนให้น้ำลายสอ

 

            นี่คืออาหารมื้อเที่ยงของนางและเหลียนลี่

   

            ยามยกสำรับมา เหลียนลี่จึงเงยหน้าถามขึ้น “แล้วเจ้าทาสสองคนนั่นเล่า? พวกนั้นกินอะไรหรือยัง?”

 

            เฉียวซื่อกลอกตาใส่พลางพูดขึ้น “เดี๋ยวค่อยเอาไปส่งให้พวกมันทีหลัง!” ครั้นแล้วจึงเอ่ยเสริมอีกประโยค “เชอะ..ให้ยายแก่อย่างข้า เอาอาหารไปส่งให้พวกมัน ไม่กลัวพวกมันอายุสั้นรึ!”

 

            เหลียนลี่ขี้เกียจฟังถ้อยคำเพ้อเจอของภรรยา จึงเพียงเอ่ยขึ้น “เช่นนั้น...เจ้าก็รีบกินเสียให้เสร็จ กินเสร็จแล้ว ก็เอาข้าวไปส่งให้พวกนั้น! ส่วนเนื้อหมูสามชั้นนี่ไม่ต้องส่งไปนะ!” ความหมายก็คือ ให้ทาสพวกนั้นกินแค่กะหล่ำปลีผัดก็พอ

 

            อันที่จริงประโยคนี้เหลียนลี่ไม่จำเป็นต้องกล่าวออกไป

   

            ดังคาด เฉียวซื่อได้ยินก็ค้อนตาใส่ “รู้แล้วละน่า!” ความหมายนางก็คือ ข้าเป็นคนเชื่อถือไม่ได้ปานนั้นรึ?

           

            หลังจากทั้งสองคนกินมื้อเที่ยงเสร็จ เหลียนลี่ก็เอาแต่เร่งให้เฉียวซื่อ รีบไปส่งอาหารให้หลี่เอ้อร์และหลี่ซาน

 

            เฉียวซื่อหมดโอกาสคุยโวยกหางตนเองอีก จำต้องเข้าไปตักอาหารในครัวไปส่ง

 

            พอเห็นเช่นนี้ เหลียนลี่จึงค่อยคลายใจ เขาย่อมไม่เข้าไปดูว่า เฉียวซื่อตัก”อะไร”เป็นอาหารมื้อกลางวันไปส่ง

 

            เฉียวซื่อปรากฏตัวพร้อมชามข้าวต้มแบบเดียวกับที่นำมาให้หลี่เอ้อร์กับหลี่ซานกินเมื่อตอนเช้าตรู่ ทั้งสองคนต่างไม่กล้ามีปากเสียง อาหารมื้อกลางวันก็เป็นเช่นเดียวกับมื้อเช้า  ซึ่งเป็นข้าวต้มเห็นแต่น้ำใสแจ๋ว มี”ข้าว” ติดอยู่ก้นชามเล็กน้อย อีกทั้งนางนึกจงชังและขุ่นเคือง ที่โดนหลี่ซานทำชามใบนั้นแตกไปเมื่อเช้า ตอนตักข้าวต้ม ก็ยังตั้งใจตักให้น้อยกว่าเมื่อตอนเช้าอีกด้วย

 

            เป็นแค่ทาส มีให้กินแค่คำหนึ่ง ก็ดีถมถืดแล้ว ยังจะกล้าเรื่องมากได้รึ!

 

            เฉียวซื่อเอาแต่แค่นเสียงใส่ฮึ่มฮั่ม ขณะหิ้วตระกร้าสาน เดินนวยนาดเข้าไปในนา

 

            ยามนี้เป็นเวลาที่แต่ละครอบครัว มาส่งอาหารให้กับเหล่าแรงงานของพวกเขา ซึ่งกำลังนั่งพักเหนื่อยรออยู่ในนา เฉียวซื่อบรรลุถึงที่นาในที่สุด พอเห็นหลี่เอ้อรกับหลี่ซานยังทำงานอยู่ จึงรู้สึกภาคภูมิใจและพอใจขึ้นมาหน่อย  เป็นแค่ทาสไม่พอ ดูสิ  ลงท้ายยังต้องทำงานในนาให้ตนเองอย่างนอบน้อมเชื่อฟังอีก!

 

            แหม ความรู้สึกแบบนี้ ช่างประเสริฐนัก !

 

            อีกฟากหนึ่ง มีพรรคพวกในหมู่บ้านเดินผ่านมาทักทาย ไม่มีใครเลยที่ไม่อิจฉา ทุกคนต่างออกปากว่า เฉียวซื่อช่าง “วาสนา” ดีนัก!

 

            คราแรกเฉียวซื่อรู้สึกภาคภูมิใจ จนยกยิ้ม ทันใดนั้น ก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “นี่พูดอะไรกันน่ะ! รอลูกชายข้าได้เป็นขุนนางก่อนสิ จะดีกว่านี้อีกโข !”

   

            คนที่มาทักทาย หัวเราะคิกคักแล้วเตินจากไป ในใจรู้สึกไม่เห็นด้วยกับเฉียวซื่อขึ้นมาสองส่วน

 

            ถึงแม้ไม่เห็นด้วย แล้วจะทำอะไรได้? ผู้อื่นเขามีวาสนาดี จะไปขัดได้หรือ!

 

            เฉียวซื่อยืนดูหลี่เอ้อร์และหลี่ซาน ซึ่งกำลังก้มหน้าทำงานงกๆ ในทุ่งนาด้วยสีหน้าพึงพอใจหาใดเปรียบ ครั้นแล้วก็โก่งคอตะโกนเรียกพวกเขาให้มากินอาหารมื้อกลางวัน

 

            หลี่เอ้อร์กับหลี่ซานขานรับเสียงดัง และต่างสาวเท้าเข้ามาหาทีละคน

           

            “กินซะ ! รีบๆกินให้เสร็จ ! พวกเจ้านี่ขี้เกียจกันเสียจริง ๆ ที่นาบ้านข้ามีแค่ 9 หมู่  ไฉนยังทำกันไม่เสร็จอีก ลองแหกตาดูสิ  แล้วทำไมดินถึงได้ก้อนใหญ่ปานนั้น ไถซ้ำอีกสักสองสามรอบสิ ทำแบบนี้จะหว่านข้าวได้เยี่ยงไร ! ” เฉียวซื่อเริ่มก่นด่า

 

            หลี่ซานช้อนตาขึ้นมองเฉียวซื่อ พร้อมเอ่ยด้วยความนอบน้อม “ป้าแซ่เหลียง จะไถพรวนดินให้ดีกว่านี้  คราดมันต้องตาถี่กว่านี้นะขอรับ ทำอย่างกับท่านไม่เคยทำนา แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้รึขอรับ?”

 

            บังเอิญมีคนสอง ถึงสามคนกำลังเดินผ่านมาแถวนี้พอดี พอได้ยินถ้อยคำ ก็อดไม่ไหว เปิดปากหัวเราะลั่นออกมา

 

            เป็นชาวนาไม่รู้เรื่องนี้ได้รึ ?

 

            กระทั่งภรรยาของหวางก่วงก็หันไปเย้าแหย่เฉียวซื่อ “คนอย่างอาซ้อเฉียว เขามีวาสนาดี เป็นฮูหยินของตระกูลร่ำรวยชีวิตสมบูรณ์พูนสุข จะไปเข้าใจเรื่องการงานในนาเช่นนี้ที่ไหนกันเล่า !”

 

            อีกสองคนที่มาด้วยกัน พลันร่วมผสมโรงหยอกไปด้วย “ถูกล่ะ ถูกล่ะ ป้าเฉียวเขาไม่เหมือนพวกเราหรอก  เป็นคนตระกูลใหญ่เสียปานนั้น ดูสิ  กระทั่งทำนา ยังต้องใช้ข้าทาสมาทำให้ !’

 

             ไยเฉียวซื่อจะไม่รู้เรื่องพวกนี้จริง ๆ ?  นางก็แค่จับผิดเพื่อหาเรื่องด่าให้พวกนั้นไม่กล้าหือก็เท่านั้น  นางจึงจงใจพูดมาแบบนั้น ใครจะไปคิดเล่า ว่าเจ้าหลี่ซานมันจะขวัญกล้าเทียมฟ้า กล้าเถียงตนเองกลับ ทำให้ตนเองต้องมากลายเป็นตัวตลกโดยไร้เหตุผล

 

            พอนึกย้อนถึงเมื่อเช้า ที่ทาสหนุ่มจงใจปล่อยชามหลุดมือเห็น ๆ  ก็บังเกิดความอาฆาตแค้น !

 

            เฉียวซื่อถลึงตา พลางตวาดใส่ “หลี่ซาน เจ้าบังอาจยอกย้อนข้ารึ !”

 

            คล้ายว่าหลี่ซานจะตกใจกลัวเสียงตวาดของเฉียวซื่อ พลันเกิดเสียงดัง “เพล้ง”  ชามในมือร่วงผลอยตกพื้นจนได้

 

            พื้นดินบนที่นาไม่แข็งนัก ชามที่หล่นเลยไม่แตก  แต่ข้าวต้มในชามสาดกระเซ็นไปทั่วพื้น

 

            ในตอนนั้น ภรรยาหวางก่วง ให้บังเอิญเดินมาอยู่ข้างๆ หลี่ซานพอดี  เมื่อหยุดยืนมอง ก็อดอึ้งงันไม่ได้

 

            “ข้า..ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ ! ข้าไม่ได้ตั้งเลย ! ป้าเหลียนยกโทษให้ข้าด้วย ยกโทษให้ข้าด้วย!” หลี่ซานหน้าซีดเผือด ทั้งลนลานหวาดกลัว

 

            เฉียวซื่อโกรธจัด สาดคำด่าระคายหูออกจากปากเป็นชุด

           

            หลี่ซานก็ยังคงขอโทษขอโพยไม่หยุด หลี่เอ้อรีบมาเกลี้ยกล่อมคู่กรณี พูดแก้ต่างกับเฉียวซื่อ “ป้าใหญ่แซ่เหลียน ท่านใจเย็นหน่อยเถิด น้องหลี่ซานก็อธิบายท่านจนกระจ่างไปแล้ว  เขาเป็นคนขวัญอ่อน เขาตกใจกลัวเสียงนั่นจริง ๆ เขาหาได้ตั้งใจเลย ท่านเลิกด่าเถิด...”

 

            ปกติเฉียวซื่อก็ชอบรังแก เอาเปรียบผู้อื่น เป็นเจ้านายที่กลัวคนหัวแข็ง เมื่อมาเห็นอีกฝ่ายอ่อนแอ จะไม่คว้าโอกาสนี้ สำแดงบารมีได้อย่างไร? ยิ่งหลี่เอ้อร์ กับหลี่ซาน สองคนนี้ มาขอโทษยอมรับผิด นางก็ยิ่งได้ใจ

 

            ภรรยาหวางก่วง และพวกหลี่ซานอดนิ่วหน้าน้อย ๆ ไม่ได้

 

            ที่ผ่านมา กล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะอิจฉาริษยาก็ดี  ไม่ว่าจะข่มเหงรังแกกันก็ดี นับได้ว่าเหลียนลี่และเฉียวซื่อ ก่อเรื่องเลวร้ายสารพัดกับเหลียนฟางโจว และน้อง ๆ มานักต่อนัก ทว่ายามนี้ พวกเขายังหาข้ออ้าง มาใช้บ่าวไพร่ของเหลียนฟางโจวอีก ชาวบ้านทุกคนรู้สึกค่อนข้างไม่ชอบใจ แน่นอน หากเหลียนฟางโจว บอกปัดไม่ให้บ่าวไพร่ไปช่วยเหลือเฉียวซื่อ นางอาจถูกผู้คนนินทาได้

   

            บางครั้งเรื่องราวต่าง ๆในใต้หล้า ก็ช่างแปลกประหลาดและไร้เหตุผลปานนี้ ทว่ากลับมีผู้คนรู้สึกว่ามันถูกต้องสมควรแล้วอยู่บ่อยครั้ง

 

            ยามนี้เมื่อเห็นเฉียวซื่อดุด่าโขกสับบ่าวไพร่เช่นนี้ บอกได้เลยว่า ยิ่งเห็นใจเหลียนฟางโจวขึ้นอักโข นี่เรียกได้ว่าทำให้ผู้คน ยากจะทนมองอยู่เฉย ๆได้

1 ความคิดเห็น:

  1. กลับมาอ่านอีกทีแล้วไรท์อัพเพิ่มคือมีความสุขมาก​ จากที่อ่านหลายๆที่​ ยังแปลได้ติดขัดบ้าง​ แต่ไรท์แปลได้รื่นสุด​ อ่านแล้วไม่​ขัด​ ขอบคุณ​ที่แปลมาให้อ่านนะคะ

    ตอบลบ