วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 250 ด่าจนเคยตัว

            ภรรยาหวางก่วงซึ่งยืนดูเหตุการณ์อยู่ อดโน้มน้าวเฉียวซื่อสักสองสามประโยคไม่ได้

 

            ชาวบ้านราวสามถึงสี่คนซึ่งอยู่แถวนั้น จากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทยอยเดินเข้ามามุงดูทีละคน เมื่อมองดูเหตุการณ์ ก็อดไถ่ถามไม่ได้ เมื่อทราบแล้ว ก็หันไปซุบซิบกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้  ทุกคนลงความเห็นว่า เฉียวซื่อทำเกินไปหน่อย โดยเฉพาะเมื่อเห็นหลี่เอ้อร์กับหลี่ซาน ดูตื่นตระหนกและหวาดกลัว ดูแล้วน่าเวทนา ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าเฉียวซื่อทำเกินไปนัก   

   

            “อาซ้อเฉียว ช่างมันเถิดน่า!” ดูสิคนเขากลัวท่านจะแย่แล้ว แล้วจะทำงานได้อย่างไร!”

   

            “นั่นสิ  ผู้อื่นเขาก็พูดอธิบายไปหมดแล้ว ไยท่านยังมีโทสะไม่เลิกเช่นนี้ ! เฮ้อ!”

 

            ลองมาเป็นคนบ้านข้าเป็นไร รับรองชีวิตดีแน่? หากเป็นข้านะ มีใครมาทำงานให้ข้า ข้าจะให้การรับรองประหนึ่งแขกผู้มาเยือนแน่ เฮ้อ..คงไม่ต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้ !”

           

            ชาวบ้านแถวนั้นทุกคนต่างช่วยพูดเกลี้ยกล่อมกันใหญ่  โทสะของเฉียวซื่อจึงยิ่งเพิ่มทวี  นี่มันเป็นของบ้านรองสกุลเหลียนที่เป็นอริกับนางมิใช่หรือ? เจ้าบ่าวไพร่ 2 คนนี้มันจะทำให้นางพึงพอใจได้อย่างไร?

           

            นังเด็กน่าตายนั่นกล้าสั่งพวกมันไม่ให้เห็นหัวผู้อาวุโส มันกล้าดียังไง !

 

            เฉียวซื่อเป็นคนไม่มีคุณธรรมประจำใจอยู่แล้ว  ไม่ว่าใครจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร นางก็ยิ่งเถียงคอเป็นเอ็นจนหน้าดำหน้าแดง 

 

             เมื่อทุกคนเห็นว่านางไม่เห็นแก่หน้าพวกตนเช่นนี้ จึงรู้สึกเอือมระอา ไม่ทู่ซี้โน้มน้าวอีกต่อไป พวกเขาจึงได้เพียงแต่ถอยไปยืนมองอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบๆ

 

            ในบริเวณท้องทุ่งนา จึงมีแต่เสียงด่าทอของเฉียวซื่อเท่านั้น

 

            เฉียวซื่อค่อยๆรับรู้ความผิดปกติ สองอย่างขึ้นทีละน้อย ๆ

           

            โดยไม่ทราบสาเหตุ นางรู้สึกคล้ายมีเข็มทิ่มอยู่ข้างหลังเบาๆ เสียงก่นด่าจึงค่อยๆลดระดับลง แต่ความจริงก็คือบั้นเอวนางแข็งเกร็งไปแล้ว เฉียวซื่อหันไปขึงตาใส่หลี่เอ้อร์ และหลี่ซาน พร้อมสบถด่า “ยังมายืนทำบ้าอันใดตรงนี้ ? ยังไม่รีบไปทำงานอีก ! รู้จักแต่ขี้เกียจสันหลังยาว!”

           

            “พวกข้า ...พวกข้ายังไม่ได้กินข้าวกลางวัน....” หลี่ซานเอ่ยขึ้น เพียงแต่เสียงค่อยๆแผ่วหายไป เมื่อเห็นเฉียวซื่อถลึงตาใส่

           

             หลี่เอ้อร์กระตุกแขนเสื้อเพื่อนเบาๆ พลางรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ป้าอย่าได้มีโทสะเลย พวกเราจะไปทำงานเดี๋ยวนี้แล้ว ไปทำงานแล้วขอรับ....”  ขณะพูดก็ลากตัวหลี่ซานเข้าท้องนาไป

 

            พอเห็นแบบนี้ ชาวบ้านทุกคนต่างพากันส่ายหน้าพลางพรูลมหายใจ แล้วต่างก็แยกย้ายจากไปด้วยเหมือนกัน

 

            เฉียวซื่อพรูลมหายใจยาวเหยียดด้วยความโล่งอก นางยืนอยู่ในนา พลางเชิดหน้าและแค่นเสียงในลำคอซ้ำ ๆ  แล้วบ่นในใจ เจ้าพวกทาสน่าตายสองตัว คิดกำแหงมาต่อกรกับฮูหยินผู้เฒ่ารึ

   

             นางเก็บชามบนพื้นขึ้นมา แล้วเอามือปัดส่งๆ  ครั้นแล้วจึงเก็บชามลงในตระกร้า เมื่อตาเหลือบเห็นชามข้าวต้มส่วนของหลี่เอ้อร์ที่ยังไม่ได้กินอยู่ในนั้น เฉียวซื่อหาได้รู้สึกรู้สาว่ามีสิ่งใดผิดสักนิด  นางบ่นพึมพำต่ออีกคำสองคำ พลางหิ้วตระกร้าแล้วเดินนวยนาดจากไป

 

            ส่วนการที่หลี่เอ้อร์กับหลี่ซานทำงานโดยยังไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องนั้น หาได้มีความสำคัญไม่ นางไม่แม้แต่จะนึก ตรงกันข้าม กลับรู้สึกว่าสมควรแล้ว พวกนั้นสมควรได้รับบทเรียนเช่นนั้นแล้ว !”

 

            อย่างไรก็ตาม นางไม่คาดว่า พอกลับมาถึงบ้าน ก็พบสามีจ้องนางเขม็งอยู่ก่อนแล้ว

 

เฉียวซื่อรู้สึกร้อนตัว และไม่กล้ามองตอบเขา นางฉุกคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในทุ่งนา ซึ่งข่าวไม่น่าแพร่มาไวถึงปานนี้ แต่ต่อให้เขาล่วงรู้เข้าจริง นางก็หาได้รู้สึกผิดไม่!

 

            พอคิดถึงเรื่องนี้ นางพลันยืดหลังตรง พลางพูดขึ้น “ตาแก่ มีอันใดรึ? ไยถึงได้หน้าหงิกปานนั้นเล่า?  มิใช่ว่าเกิดป่วยขึ้นมาจริง ๆนะ?

 

            เพราะมีชนักปักหลังอยู่ เสียงนางผู้เป็นภรรยาจึงดูดังกว่าปกติ

 

            ทันทีที่เสียงเงียบลง สีหน้าของเหลียนลี่ก็ยิ่งบูดบึ้งกว่าเดิม พลางส่งเสียงคำรามฮึ่มฮั่ม เขาเอ่ยเสียงลอดไรฟันอย่างเย็นชา “หากมันเป็นเรื่องจริง...”

 

            “อะไรนะ?” เฉียวซื่อทำตาโตด้วยความแปลกใจ  รู้สึกว่าหูตนเองท่าจะมีปัญหา

 

            มุมปากของเหลียนลี่กระตุกไปสองรอบ เขาพูดเสียงขื่น “จะอะไรเสียอีกล่ะ? ก็นังเด็กน่าตายเหลียนฟางโจวน่ะสิ นางเชิญหมอมาตรวจข้า!”

           

            “หา...พระอาทิตย์คงได้ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว! จู่ ๆจะเกิดใจดีอะไรขึ้นมาตอนนี้...เล่า! นั่น ไม่ใช่หรอก...” หลังหลุดวาจาเผ็ดร้อนออกมา ก็พลันรู้สึกได้กลิ่นตุ ๆ เฉียวซื่อพลันเบิกตากว้างใบหน้าเผือดสี  มองเหลียนลี่ด้วยสายตาตกตะลึง

 

            ดวงหน้าเหลียนลี่มืดครึ้มลง  ไม่เอ่ยอันใด

 

            “นังเด็กน่าตายนั่น มันประสงค์ร้ายจริง ๆ!” เฉียวซื่อเองอดกัดฟันกรอด ๆ ไม่ได้

 

            หากว่าเหลียนลี่ป่วยจริง ๆ หลานสาวย่อมไม่เชิญหมอมาตรวจเขาแน่ แต่นางเพิ่งเชิญหมอมา! นี่แสดงว่านางคงสงสัยว่าเหลียนลี่มิได้ล้มป่วยแน่นอน !

            เฉียวซื่ออดสบถด่าไม่ได้ “นังเด็กน่าตายนี่  จะอย่างไรก็ใจคอคับแคบ และช่างหยาบคายกับญาติผู้ใหญ่ยิ่งนัก เรื่องทำนองนี้มันจะเดาไม่ออกเลยรึ!”

 

            ข้าป้าใหญ่ผู้นี้บอกเจ้าว่าลุงใหญ่เจ้าป่วย ที่ข้ากล่าวไปก็ถูกต้องแล้ว ส่วนเจ้าหาได้เชื่อจริง ๆตั้งแต่แรก ช่างดื้อด้านนัก !

   

            “แล้ว...แล้วท่านหมอว่าอย่างไร? และนังเด็กน่าตายนั่นมันว่าอย่างไรบ้างเล่า ?” เฉียวซื่อรีบสอบถาม

 

            เหลียนลี่แค่นเสียงเย็นชา “นังเด็กน่าตายนั่นมันไม่พูดอะไรเลยนะสิ!”

   

            เฉียวซื่อชะงักไป ใจที่เครียดขึ้งอยู่พลันคลายลง มุมปากนางเหยียดขึ้นอย่างไม่ยินยอม พลางแค่นเสียงเอ่ย “ไม่พูดก็ดี! ก็ถูกต้องแล้ว ต่อให้แกล้งป่วย ก็ป่วยอีกได้นี่? ก็เรียกบ่าวไพร่ของบ้านนาง 2 คนมาช่วยได้อีกนี่? อย่าบอกนะว่า นางจะไม่เห็นแก่หน้าพี่ชายบิดา และพี่สะใภ้ของบิดา!”

 

            ใบหน้าเหลียนลี่ฉายชัดว่าไม่คล้อยตามวาจานี้ ทันใดนั้นเขาก็จับจ้องอีกฝ่าย พลางถามขึ้น “แล้วงานในนาเป็นอย่างไรบ้าง? แล้วสองคนนั่นไม่ได้เล่นอะไรตุกติกใช่หรือไม่?”

 

            “บอกตามตรง! ก็แค่บ่าวตัวเล็ก ๆเท่านั้น ไม่มีอันใดหรอก จะกล้าเหิมเกริมกับข้าได้รึ!” เฉียวซื่อเลิกคิ้วขึ้นเอ่ยขึ้น  ท่าทางอวดเบ่งหน่อย ๆ

 

            เหลียนลี่หรี่ตาลง เอ่ยเสียงเรียบ “แล้วเจ้าเล่า?  ไม่ได้ทำอะไรผู้อื่นใช่ไหม?”

 

            ใจของเฉียวซื่อสั่นสะท้าน พยายามฝืนยิ้ม “ท่านพูดอันใดกัน? ข้าไปทำอันใดผู้อื่นได้ ! ข้าพูดจริง ๆนะ! “ กล่าวจบ ก็บ่ายหน้าเดินเข้าครัวไป

 

            เหลียนลี่ทอดตามองตามหลัง แม้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ทว่าก็ไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องนี้ต่อ

   

            สิ่งที่คนทั้งคู่มิได้คาดคิด นั่นก็คือในตอนเย็นเหลียนฟางโจว อาเจี่ยน และเหลียนเจ๋อมาเยือนถึงบ้าน

 

            เหลียนฟางโจวพูดกับสองสามีภรรยาอย่างไม่อ้อมค้อมว่า ในภายหน้าจะไม่สั่งบ่าวไพร่ของพวกเขาให้มาช่วยงานบ้านลุงใหญ่อีกแล้ว ! หากพวกเขามีงานล้นมือจริง ๆ  ก็ให้จ่ายเงินค่าจ้างตามราคาตลาด นางจะคัดบ่าวที่ฝีมือดีที่สุดให้พวกเขา โดยลดค่าจ้างให้ 2 ส่วนในสิบส่วน!

 

            พอวาจานี้หลุดออกมา เฉียวซื่อถลึงตาใส่ทันควัน อยากตะคอกใส่หน้านางนัก แต่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเห็นดวงตาเยียบเย็นของเหลียนฟางโจว ก็หมดคำพูดทันที

   

            เหลียนเจ๋อแค่นเสียงใส่ อย่างดูแคลนเต็มที่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถูกถ่ายทอดออกมา เรื่องหนึ่งคือการแกล้งป่วย อีกเรื่องคือ การดูแลคนบ่าวของเขาที่ให้ไปอย่างไม่เหมาะสม กระทั่งอาหารกลางวัน ก็ไม่เตรียมไว้ให้คนของเขา แถมยังเอาแต่ดุด่าพวกเขาไปครึ่งค่อนวัน  ชาวบ้านที่ผ่านมาเห็น มาเกลี้ยกล่อมห้ามปรามก็ไม่นำพา!  ยิ่งเกลี้ยกล่อม ก็ยิ่งด่าทอจนสุดจะทน !

            ดูแลคนที่ขอไปช่วยงานเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าจิตใจอำมหิตนัก หากเรื่องข่มเหงรังแกผู้อื่นแพร่ออกไป จะยังรักษาชื่อเสียงเอาไว้ได้รึ? กล่าวโดยสรุป พวกเขาพี่น้อง ไม่อาจยอมรับเรื่องทำนองนี้ได้แน่! พวกเขากำพร้าบิดามารดา ก็โชคร้ายพออยู่แล้ว พวกเขาจะไม่ทำอะไรที่ทำให้ศีลธรรมด่างพร้อยเป็นเด็ดขาด!

   

            “หากลุงใหญ่กับป้าใหญ่คิดว่าพวกข้าใจดำ พวกเราก็ไปขอให้จางลี่เจิ้ง กับเหล่าผู้อาวุโสของหมู่บ้านตัดสินเถิด ! หากไม่มีข้อค้าน พวกข้าขอตัวก่อน!” เหลียนฟางโจวทิ้งคำพูดไว้อย่างเย็นชาในท้ายสุด

 

            ก่อนเหลียนฟางโจวกล่าวจบ เฉียวซื่อก็ร้องตวาดขึ้น “เหลียนฟางโจว! เป็นเจ้า! เป็นกับดักของเจ้าใช่ไหม? ต้องเป็นเจ้าแน่! เจ้าวางแผนเล่นงานข้าอีกแล้ว!”

 

            เหลียนฟางโจวแค่นเสียง “ข้าวางแผนเล่นงานท่านรึ? ข้ามีเวลาว่างเช่นท่านเมื่อไรกัน? มีเวลามาวางแผนการทั้งวันเช่นท่านเมื่อไรกัน? ท่านเองช่างประเมินข้าสูงนัก! ท่านพูดอะไรของท่าน ไยข้าจะวางแผนเล่นเล่ห์กับท่านได้? วันนี้ที่ท่านก่อวีรกรรมอะไรไว้ ตัวเองคงรู้อยู่แก่ใจนะ!” กล่าวจบก็แค่นเสียงในลำคอ แล้วพาเหลียนเจ๋อกับอาเจี่ยนสาวเท้าจากไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น