“เหลียนฟางโจว เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”เฉียวซื่อตวาดพยายามปรี่ไปเข้าไปดึงตัวหลานสาว ทว่ากลับโดนเหลียนลี่ฉุดข้างหลังไว้แน่น
“เจ้าอยู่นิ่งๆเลยนะ!” เหลียนลี่คำรามขู่
เหลียนฟางโจวหยุดเท้า
แล้วหันกลับมาเผชิญหน้า พลางคลี่ยิ้มบางให้เหลียนลี่ “นับว่าลุงใหญ่ยังฉลาดอยุ่บ้าง!”
หญิงสาวหันหลังกลับอีกครา
คราวนี้จึงได้สาวเท้าจากไปจริง ๆ
“ท่านรั้งข้าไว้ทำไมเนี่ย!”เฉียวซื่อหอบหายใจด้วยเพลิงโทสะที่ทะยานขึ้น
“มันต้องเป็นกับดักที่นางวางไว้ ต้องเป็นฝีมือนางแน่! อย่างที่ข้าว่าไว้ไม่มีผิด
นางเด็กน่าตายนั่นมันจะเอื้อเฟื้อยกบ่าวไพร่มาให้เราใช้สอยได้ปานนั้น อย่างที่ข้าพูดไว้! ที่แท้นังเด็กน่าตายก็เล่นงานเราลับหลังอย่างไร้คุณธรรมนี่เอง! นังเด็กใจดำเหมือนอีกาเอ้ย!”
“ทั้งหมดที่พวกนางพูดมาเป็นเรื่องจริงรึเปล่า?”
เมื่อเห็นใบหน้าเย็นชาแข็งกระด้างของเหลียนลี่
ดูคล้ายว่าตราบใดที่นางบอกว่า “ใช่”
โทสะที่กักเก็บไว้ในตัวเขา คงได้ระเบิดทะลุฟ้าลั่นพสุธาในพริบตาแน่
เฉียวซื่อเสมองด้านข้างด้วยความรู้สึกประหม่าเล็กน้อย “เรื่องจริงเรื่องเท็จอะไรกัน...”
“เรื่องจริงเรื่องเท็จอะไรรึ!” เหลียนลี่แผดเสียงก้องด้วยโทสะ
“ข้าต่างหากที่ควรถามเจ้า!
เจ้าไปทำอะไรมา? พูดมาเดี๋ยวนี้!”
เฉียวซื่อเผยอปาก
เดิมทีคิดบอกปฏิเสธ พอเห็นเหลียวลี่เกรี้ยวกราด ก็ตื่นตระหนก
เลยรีบหลบเลี่ยงปิดบัง
เหลียนลี่กับนางเป็นสามีภรรยากันมาเกือบทั้งชีวิต
แล้วยังจะไม่รู้นิสัยนางอีกรึ? เขาไม่มีทางต้อนนางให้จนมุมได้หรอก
เพราะนางไม่เคยบอกความจริงหมดอยู่แล้ว
แต่พอโดนเหลียนลี่ถามต้อนเอามาก
ๆ เข้า เฉียวซื่อเลยต้องคายความจริงออกมาทีละนิดละนิด และในที่สุดก็ต้องเล่าออกมาหมดเปลือก
ไม่อาจเก็บงำไว้ได้เลย
เหลียนลี่สั่นเทิ้มด้วยเพลิงโทสะ
พลางสบถด่า “นังผู้หญิงหน้าโง่น่าตายนี่ เจ้านี่มันจริง ๆเลย ให้จัดการอะไรแต่ละที
ก็พังทุกที ไม่เคยสำเร็จเลย!”
ต่อให้เขาแกล้งป่วย
แล้วโดนเหลียนฟางโจวเปิดโปงอีก แล้วจะทำไม? เขาก็จะยืนกรานท่าเดียวนี่แหละ บอกว่าตัวเองไม่สบายเล็กน้อย
แล้วใครหน้าไหนจะบอกว่าไม่เล่า?
อย่างมาก
ก็แค่ถูกผู้อื่นเอาไปนินทาลับหลังเป็นเรื่องสนุกปาก และก็ค่อยรอให้เรื่องซาลง
ใครมันจะไปจำเรื่องขี้ประติ๋วเช่นนั้นได้ตลอดเวลากัน?
ทว่า
เรื่องที่เขาแกล้งป่วย ผสมกับเรื่องที่นังหญิงหน้าโง่ได้กระทำลงไปด้วย เช่นนั้นแล้ว...มันจะให้ความรู้สึกต่างกันราวฟ้ากับเหว
นั่นกลับกลายเป็นว่า
พวกเขาจงใจโขกสับบ่าวไพร่ของบ้านเหลียนฟางโจว หากพูดแบบไม่เกรงใจก็คือ
พวกเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ผู้อิจฉาชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองของเหล่าหลานสาวและหลานชาย
ก็เลยจงใจกลั่นแกล้งหาเรื่องชวนทะเลาะ
ไม่เช่นนั้น
จะเรียกร้องให้ผู้อื่นช่วยงานต่าง ๆได้อย่างไร?
กระทั่งให้ข้าวสักชามก็ไม่ให้กิน หรือที่ให้กิน ก็เป็นเพียงแต่ข้าวต้มน้ำใสจ๋องชามหนึ่งเท่านั้น
แม้แต่อาหารกลางวัน
ก็ไม่มีให้คนพวกนี้ใส่ปาก มิหนำซ้ำยังเอาแต่ดุด่าพวกเขา
ทารุณผู้น้อยให้ทำงานด้วยความหิวโหย!
“เจ้าทำได้อย่างไรกัน!
เจ้าคิดทำเรื่องโง่เขลาเบาปัญญานี้ได้เยี่ยงไร!” เหลียนลี่กระทืบเท้าด้วยความชิงชัง
เขาจ้องหน้าเฉียวซื่อเขม็ง
ยิ่งจ้อง ก็ยิ่งเพิ่มพูนความไม่พอใจ เขาคิดว่า ตัวเองเป็นคนฉลาด หากไม่ใช่เพราะมีหญิงหน้าโง่นางนี้
มาคอยขัดแข้งขัดขา เขาและบ้านรองจะไม่ต้องมาไกลถึงขั้นนี้! ทั้งหมดต้องพังเพราะหญิงหน้าโง่นี่แท้
ๆ !
ทว่ามีหลายเรื่องที่เขาไม่อาจทำด้วยตัวเองคนเดียวได้
และยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องให้นางผู้หญิงน่าตายคนนี้ออกหน้า จึงจะเหมาะสมกว่า
มีภรรยาที่ไร้ประโยชน์ปานนี้
ชีวิตมีแต่จะตกต่ำ!
พอความคิดนี้แวบขึ้นมา
ชั่วอึดใจเดียว ก็กลับกลายเป็นจนใจอีกครา
อย่าพูดถึงเลยว่าตัดขาดภรรยาตอนอายุปูนนี้
มันโหดร้ายเพียงใด และอย่าพูดถึงเลยว่าการหย่าภรรยาเพราะเรื่องอันไร้เหตุผลนี้ มันน่าขบขันเพียงไหน
อีกทั้งยังมีอาไห่ซึ่งเป็นบุตรชายของภรรยาคนนี้ เพื่ออนาคตอันรุ่งโรจน์ของเขา เขาจะกล่าวอันใด
ย่อมเห็นแก่หน้าบุตรชายสักสามส่วน เขาจะปล่อยให้ตนเองหย่าร้างกับมารดาของบุตรชายได้อย่างไร?
มิหนำซ้ำ
การมีมารดาที่ไร้ค่าไร้ศีลธรรม แถมยังถูกหย่าร้าง ใครจะรู้เล่าว่าอนาคตของเขาจะได้รับผลกระทบหรือไม่?
เหลียนลี่พลันรู้สึกสิ้นหวังและไร้เรี่ยวแรงเป็นที่สุด!
ไม่เป็นไร! ต่อแต่นี้ไปก็ต่างคนต่างอยู่เถิด ส่วนบ้านรองนั่น ไม่ต้องไปคอยหาเรื่องพวกนั้นท่าจะดีกว่า! เพราะผู้หญิงโง่เขลาผู้นี้
ทั้งชีวิตคงไม่มีหวังจะเปลี่ยนสันดานขี้โมโหเช่นนี้ไปได้ และอีกประการหนึ่งก็คือ
นางจะได้ไม่ไปเที่ยวหาเรื่องก่อกวนบ้านรองให้ผู้คนเห็นแล้วเอาไปนินทาเป็นเรื่องสนุกมากจนเกินไปด้วย!
เมื่อตาไม่เห็น
ใจย่อมไม่เจ็บ ทำเป็นหลับหูหลับตากับชีวิตรุ่งโรจน์ของบ้านรองไปเสีย ! ถึงอย่างไร
อีกไม่กี่ปี หากบุตรชายประสบความสำเร็จขึ้นมา ฮึ่ม...ใครจะได้ดีกว่าใคร มันก็ยังไม่แน่!
เหลียนลี่สูดหายใจเข้าลึกสองสามเฮือก
ให้รู้สึกว่าจิตใจสบายขึ้นมาหน่อย จึงไม่เห็นว่าเฉียวซื่อน่าชิงชังมากอีกแล้ว
เฉียวซื่อไม่รู้ว่า
เพียงชั่วไม่กี่อึดใจ ความคิดขอเหลียนลี่พลิกผันไปมานับครั้งไม่ถ้วน
ขณะที่นางยังคงสบถด่าอย่างมีโทสะไม่เลิก
เมื่อเหลียนลี่ทำใจมองข้ามได้แล้ว
นางก็ร้องขึ้นโดยพลัน “ฮ้า” เฉียวซื่อเอ่ยเสียงลอดไรฟัน “ข้ารู้แล้ว! ที่ชามข้าวหล่นจนข้าวหกกระจาย
ก็เพราะเจ้าทาสต่ำช้านั่น มันจงใจทำ ! เจ้าทาสน่าตายต้องได้รับคำสั่งมาจากนางเด็กน่าตายนั่นแน่
พวกมันรวมหัวกันวางแผนเล่นงานข้า!”
เหลียนลี่พลันเงยหน้าสบตาเฉียวซื่อ
นางไม่ตระหนักถึงสายตาแปลกๆของสามี เพราะมัวแต่โกรธเกรี้ยว พลางพูดเสียงขื่น
“เป็นนังเด็กน่าตายที่วางแผนเล่นงานข้า นางวางแผนเล่นงานข้าอีกแล้ว! ไปหานางกันเถิด
ไป ข้าจะถามมันซึ่ง ๆ หน้า ข้าจะทวงคืนความยุติธรรม !”
หากกล่าวว่าเมื่อตอนเที่ยงเฉียวซื่อทะนงตนมากเพียงใด! ยามนี้ก็ท่วมท้นด้วยโทสะมากเพียงนั้น! นังเด็กน่าตายนั่น
มันวางแผนการกับนางตั้งต้น! มันมีแผนการชั่วร้ายเต็มท้อง
ไม่เคยหวังดีกับใครเลย !
“หุบปากไปเลย!” เหลียนลี่จ้องนางเขม็ง
สีหน้าฉายแววชิงชังอย่างแรงกล้า เขาแค่นเสียง “เจ้าบอกว่านางเล่นงานเจ้ารึ? ใช่
นางเล่นงานเจ้า! เจ้ามันโง่เขลายิ่งนัก ข้าไม่แปลกใจเลยที่นางเล่นงานเจ้า! เจ้ามันโง่นัก
รู้ไหมว่าเจ้าเป็นเช่นไร
ที่จริงข้าคิดว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ซ้ำยังคิดว่าเจ้าจะยุติไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับเรื่องในครั้งนี้อีก
! เพ้ย! “
“ท่าน
ท่านพูดอะไรของท่านกัน!” เฉียวซื่อทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ
ดวงตาเบิกถลนด้วยโทสะ “ท่านรู้ชัดว่านังเด็กน่าตายนั่นมันวางแผนเล่นงานข้า หนำซ้ำข้าไม่นึกเลยว่า ท่านจะยังมาพูดจาถากถางข้าอีก! ท่าน
ท่าน...”
เหลียนลี่เอ่ยเสียงเย็น
“เจ้ายังจะมีหน้ามาพูดอีก! หากเจ้าไม่มีความคิดเหลวไหล
เจ้าควรไปส่งอาหาร หลังจากที่ส่งไปแล้ว ก็ควรกลับมา
นางจะกล้าหาข้ออ้างได้อย่างไร? เจ้าลองตรองดูเองเถิด!”
เหลียนลี่เปี่ยมด้วยเพลิงโทสะ
หอบหายใจหนัก
ทว่าเขาไม่อยากขบคิดอีกแล้ว
จะเป็นเช่นไรกันนะ
หากพวกเขาสามีภรรยาเป็นแบบเดียวกับคู่อื่นทั่ว ๆไป ไม่เล่นเล่ห์สกปรก และเป็นเหมือนบ้านป้าจางที่ดีต่อบ้านเหลียนฟางโจวเป็นพิเศษ
เป็นเหมือนจางลี่เจิ้งที่ทำตัวเป็นกลาง
ความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวคงไม่พังทะลายจนมาถึงจุดนี้!
บางทีพวกเหลียนฟางโจวบ้านรองจะเป็นฝ่ายออกปากถามไถ่พวกเขาเพื่อให้ความช่วยเหลือ
และสองครอบครัวต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อทำให้ชีวิตของแต่ละฝ่ายรุ่งโรจน์เจิดจรัส
และใกล้ชิดอบอุ่นเพราะความผูกพันทางสายเลือด!
ความจริงซึ่งพี่น้องฟางโจวมาถึงจุดนี้
ก็เพราะถูกพวกเขาบังคับผลักไสไปทีละก้าว ๆ แท้ ๆ
ไฉนพวกเด็ก
ๆจะไม่หวังให้มีญาติผู้ใหญ่ที่ลุกขึ้นมาช่วยเหลือครอบครัวพวกเขาในยามวิกฤติเล่า?
การมีญาติผู้ใหญ่ในตระกูล
กับการไม่มี มันช่างแตกต่างกันอย่างมหาศาล!
เฉียวซืออ้าปากพะงาบ
ๆ ไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ
ใช่หรือ
หากนางหุงข้าวอย่างสัตย์ซื่อและทำผัดผักเป็นกับข้าวส่งไปให้คนงาน
หากมีใครเผอิญทำชามหล่นโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วนางไม่ด่าทอ ก็จะไม่ลงเอยเช่นนี้หรือ?
คำตอบคือใช่
แต่ทว่า...
เฉียวซื่อยังคงตวาดด้วยโทสะ
“กะอีแค่ทาสรับใช้สองคน จะอะไรนักหนา! ถึงกับต้องให้ข้าวสวยให้หมูสามชั้นแก่พวกมัน
พวกมันสมควรได้รับด้วยรึ? ดีเท่าไรแล้วที่ได้กินข้าวต้ม! ชั้นต่ำเห็น
ๆ นึกว่าตัวเองสูงส่งปานไหนกัน ! แล้วยังมีหน้ามาทำชามหล่นต่อหน้าข้าอีก
คนอะไรกัน! หากไม่ด่าเสียบ้าง ข้าจะหายหงุดหงิดได้รึ? นี่ถือว่ายังด่าน้อยไปด้วยซ้ำ!”
“เจ้า...”
เหลียนลี่รู้สึกวูบโหวงในใจ รู้สึกหมดแรงจะขยับตัว สุดท้ายยามนี้ ผู้หญิงของเขา
ไม่เพียงจะไม่สำนึกเสียใจแม้สักกึ่งหนึ่ง ที่ตัวเองทำสิ่งไม่ถูกไม่ควรไป กลับกลายเป็นว่า
นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายโดนกระทำเสียมากกว่า!
แล้วเขายังจะพูดอันใดได้อีกเล่า? เขาสามารถพูดอันใดได้อีก? ต่อให้พยายามจาระไนเหตุผลไปร้อยแปดแค่ไหน
มันก็ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี!
เหลียนลี่เหมือนกับยกหินทับเท้าตัวเอง ชอบให้เมียออกหน้าทั้งที่รู้ว่าโง่ แล้วพอทำไปนานก็กลายเป็นสันดาน ยากจะกลับตัวได้
ตอบลบ