วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 252 วันฝนตก

             “เจ้าไม่รู้จักวิธีหลบเลี่ยงผู้คนรึ?” เหลียนลี่แค่นสียงเย็นชา “เรียกคนมามุงดู แล้วแพร่ข่าวให้คนทั้งหมู่บ้านรู้กันไปทั่ว เจ้ายังจะมีหน้าไปพบใครอยู่อีกรึ !”

ถ้อยคำนี้เฉียวซื่อเห็นด้วยเต็ม ๆ  และประทับอยู่กลางใจนางเลยก็ว่าได้

            “ข้าก็เสียใจเป็นเหมือนกันนะ! ข้าไม่ควรเป็นแบบนั้นต่อหน้าชาวบ้านเลย!”เฉียวซื่อรู้สึกหดหู่ใจในที่สุด ทว่าทันใดนั้นนางก็เอ่ยเสียงลอดไรฟัน  “นั่นคือเหตุผลที่ข้าคอยพร่ำบอกว่า ทั้งหมดล้วนเป็นแผนการของนังเด็กน่าตายนั่น! นังนั่นทำร้ายข้า!”

            “ตาแก่ ท่านต้องคิดหาวิธีกู้สถานการณ์กลับมานะ  ข้าท้อใจแล้วจริง !” เฉียวซื่อมองหน้าเหลียนลี่อย่างกลัดกลุ้ม

       เหลียนลี่มองหน้าภรรยา และปิดเปลือกตาลงด้วยความสิ้นหวัง

            นางท้อใจรึ?  ผู้ที่ท้อแท้ใจจริง ๆ  แท้จริงแล้วคือเขาต่างหาก !

            เหนืออื่นใด ที่เขาอุตส่าห์พูดจนปากเปียกปากแฉะไปก่อนหน้านั้น  ก็เหมือนกับสูญเปล่า! หากไม่ใช่เพราะนางเป็นคนเจ้าอารมณ์  นังเด็กน่าตายนั่นมันจะทำสำเร็จได้อย่างไร ต่อให้นางตั้งใจวางแผนการไว้แล้วก็เถอะ?

            “ขอข้าสงบสติอารมณ์หน่อย  ต่อไปก็อย่าได้พูดเรื่องนี้อีก! จากนี้ไปเราก็ดำเนินชีวิตของเราไป แล้วก็เลิกวอแวพวกเด็กนั่นอีก!”มุมปากเหลียนลี่บิดขึ้น เขาเอ่ยเสียงลอดไรฟัน “ทำเหมือนว่าพวกมันตายไปก็แล้วกัน !”

            เขาไม่เคยยินยอม เกียรติยศสูงส่งและความร่ำรวยอู้ฟู่เช่นนั้น เดิมทีทั้งหมดล้วนต้องเป็นของเขาสิ  ทั้งหมดต้องเป็นเขาที่ควบคุมวางแผน  ใครเล่าทำให้เขาต้องทิ้งโอกาสที่คว้าเอาไว้ในมือได้แล้วไปเสียเปล่า ๆ?

            หากรู้เสียแต่เนิ่น ๆ ว่านังเด็กน่าตายจัดฉากเขียนสัญญาข้อตกลงเลิกเกี่ยวข้องกันสองฉบับนั่น ก็เพื่อรอวันเช่นนี้  เขาจะบอกปัด และแก้ลำด้วยการขอเป็นฝ่ายออกหน้ามาจัดการดูแล  และเลี้ยงดูพวกนั้นด้วย!

            เจ็บใจนัก ไม่น่าพลาดเลย !

            เฉียวซื่ออึ้งงันไป และเมื่อคืนสติกลับมา ก็เปิดปากซึ่งยังไม่ทันหลุดคำใดออกมา ก็ถูกเหลียนลี่จ้องหน้าเขม็ง เขาเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าจงจำเอาไว้! ได้ยินที่ข้าพูดไหม? หากเจ้ากล้าก่อเรื่องซ้ำซากลับหลังข้าอีก ก็อย่ามาตำหนิที่ข้าจะลงโทษตามกฏบ้านก็แล้วกัน!”

            เฉียวซื่อสะดุ้งงัน สองสามปีที่ผ่านมา บางคราว เพื่อนบ้านและลูกบ้านก็ตั้งเวทีเชิญคณะงิ้วมาแสดงในช่วงเทศกาลปีใหม่ หรือไม่ ก็ตอนฉลองวันเกิดของผู้เฒ่าหรือฮูหยินผู้เฒ่าจากตระกูลใหญ่ นางก็ได้ดูมาหลายหนด้วยเหมือนกัน ซ้ำยังรู้จักคำว่า “การลงโทษตามกกฏบ้าน” ด้วยว่ามันหมายความว่าอย่างไร

            “จะฆ่ากันรึ?” เฉียวซื่อพูดด้วยโทสะ “ท่านฆ่าข้าได้ลงคอรึ? ท่าน ท่าน!” นางโกรธจัดถึงขีดสุด จนพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

            ฆ่านางรึ? กล้าคิดเข้าไปได้!

            เหลียนลี่รู้สึกว่าโทสะพุ่งขึ้นเสียจนอยากจะฆ่าตัวตายไปเสียเดี๋ยวนั้น ครั้นแล้วจึงพูดอย่างเย็นชา “หากเจ้าอยากลองดีก่อเรื่องซ้ำซากอีก ข้าจะเอาเชือกมามัดเจ้าและลากไปคุกเข่านอกศาลบรรพชน! อยากไปหรือไม่?”

            “....”  ฉียวซื่อสั่นสะท้าน ตัวแข็งทื่อ

            เหลียนลี่คำรามฮึ่มอีกครา แล้วหันกายเดินกลับเข้าเรือนไป

              **

            ก่อนเวลาเย็น ท้องฟ้าค่อย ๆ ครึ้มลง มีลมพัดบรรดาก้อนเมฆเข้ามาชิดกันและรวมตัวกันทีละน้อย ๆ  เมฆสีเทาดูเข้มขึ้นจนเกือบดำ เมฆดำขึ้น ก้อนหนาขึ้น ท้องฟ้าเบื้องบนอันสูงลิบ ดูเตี้ยลง  ประหนึ่งกำลังจะกดทับลงมา

       ฝนใกล้จะตกแล้ว

       นี่คือฝนแรกของต้นฤดูใบไม้ผลิ

            แม้ว่าทันทีที่ฝนตก มันจะทำให้งานในไร่นาล่าช้าออกไป  ยิ่งไปกว่านั้น อากาศซึ่งเพิ่งอุ่นขึ้นเมื่อไม่นานมานี้  ก็พลันเย็นลงอย่างรวดเร็ว

       อย่างไรก็ดี ทุก ๆคนยังคงตั้งตารอฝน

       เมื่อฝนตก ดินจะอ่อนตัวลง  ย่างก้าวของฤดูใบไม้ผลิกำลังเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที

            ในตอนเย็น ฝนเริ่มตกหนักจริง ๆ

       ขณะที่ท้องฟ้าแปรปรวน ผู้คนที่กำลังทำงานอยู่ในไร่ในนา ต่างก็กลับถึงบ้านคนแล้วคนเล่า ยามนี้เกือบทั้งหมด มองดูม่านฝนข้างนอกผ่านช่องประตูและหน้าต่าง ต่างคนต่างพูดคุยซุบซิบหัวเราะกัน

            ลมและฝนนอกบ้าน รวมทั้งหมอก ยังเปลี่ยนบ้านหลังหนึ่งให้อบอุ่นสบาย

            ยามนี้ ซุนฉางซิงและซุนซื่ออยู่ในบ้านไม้บนเนินเขา

            เมื่อเห็นฝนตก  ซุนซื่อรู้สึกชื่นชอบและเบิกบานใจเป็นพิเศษ พอได้ฟังเสียงฝนตกด้านนอก นางหัวเราะอยู่สองสามครา และหันไปมองสามีซึ่งกำลังนั่งเช็ดถูคันธนูและลูกธนูอยู่ตรงมุมห้อง มีสุนัขสีเหลืองตัวเล็ก ๆท่าทางเกียจคร้านนอนหมอบอยู่ข้างกัน เจ้าตัวเล็กไม่อาจสะกดกลั้นความตื่นเต้นไว้ได้ และเห่าใส่สามีนางอย่างคึกคัก ทำนองว่า “เจ้านาย ฝนกำลังตก ฝนกำลังตกล่ะ!”

            ซุนฉางซิงหยุดมือที่เช็ดถูคันธนูและลูกธนูลง และเงยหน้าขึ้น เขาจ้องมองมัน และพูดขึ้น “รู้แล้ว” แล้วพูดต่อว่า “ไม่ใช่ว่าฝนตกอยู่แล้วรึ? อะไรจะมีความสุขปานนั้น?”

 

            พอได้ยินถ้อยคำเขา ใบหน้าที่เบิกบานในทีแรกของซุนซื่อก็พลันหม่นหมอง นางพรูลมหายใจเบา ๆ  ช่างแตกต่างจากสีหน้าที่เผยความเบิกบานและตื่นเต้นเมื่อสักครู่นี้ ไปอย่างสิ้นเชิง

            นางพรูลมหายใจเบา ๆ และเอ่ยน้ำเสียงกดต่ำ “เมื่อก่อน ข้ากลัวฝนตกที่สุด ทันทีที่เห็นท้องฟ้ามืดครึ้ม หัวใจข้าจะกระตุก ทว่าการที่ข้าไปบีบคั้นจิตใจตนเองเช่นนั้น นับว่าไร้ประโยชน์  หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้บันดาลให้ฝนตก ฝนก็จะตกอยู่ดี ข้าหวังจึงเพียงว่าฝนจะหยุดตกในไม่ช้า ท้องฟ้าจะกลับมาใสกระจ่างไว ๆ แล้วข้าก็ไปวิตกกังวลกับฝนที่จะตกคราวหน้าต่อ....”

       ซุนฉางซิงไม่รู้ว่าจะเช็ดถูธนูและลูกธนูต่อไปอย่างไร เมื่อทั้งสองมือหยุดนิ่งค้าง พร้อมคันธนูในมือข้างหนึ่งและผ้าขี้ริ้วในมืออีกข้างหนึ่ง

            เขาเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่ง และอดเงี่ยหูฟังเสียงฝนด้านนอกไม่ได้

            หากภรรยาไม่พูดขึ้นมา  เขาก็คงนึกไม่ออกด้วยซ้ำ แม้ว่าเขาจะจดจำไม่ได้ ทว่าก่อนหน้านั้นเขาเคยเกลียดวันฝนตก ใช่หรือไม่?

            เป็นไปไม่ได้ที่จะไปล่าสัตว์บนภูเขาในวันฝนตก ป่าบนเขาเซียนเถิงซานเก่าแก่และรกครึ้ม อีกทั้งมีความชื้นสูงมาก กระทั่งฝนหยุดตกแล้ว จะต้องใช้เวลา 5-6 วัน หรือแม้กระทั่งต้องมีฝีมือดี เพื่อเข้าไปในป่าบนภูเขา ด้วยเหตุนั้นเขาจึงตระเวณได้เพียงรอบ ๆ เนินเขา บ่อยครั้งที่วันหนึ่ง เขาจับได้เพียงไก่ฟ้า สองหรือสามตัว ซึ่งตัวผอมกว่าที่เจอบนเขาเซียนเถิงซานนัก

            และกระท่อมหลังเก่า เมื่อฝนตก น้ำจะรั่วเข้ามาในบ้านจากแทบทุกจุด พื้นจะนองไปด้วยน้ำ เมื่อก้าวเท้าไป บนพื้นจะมีแต่ดินโคลน บางคราวฝนก็ตกหนักยิ่ง และแม้แต่เตียงไม้หลังเล็กก็กลายเป็นภาชนะรองรับน้ำฝน  แต่ละครั้ง ต้องใช้เวลาวิดน้ำออกเป็นครึ่งชั่วยาม ยิ่งช่วงกลางคืน จงเลิกคิดไปนอนได้เลย...

            “นายท่าน” ดวงตาของซุนซื่อรื้นด้วยน้ำตา นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูสิ ตอนนี้ช่างดีอะไรเช่นนี้! ไม่ว่าข้างนอกฝนจะตกหนักเพียงใด เราก็แค่ปิดประตู  ห้องก็แห้ง สามารถทำอะไรที่อยากทำ ไม่ต้องกังวลสิ่งใด  ช่างประเสริฐนัก! ที่จริงข้าหาได้เป็นคนละโมบเลย จริง ๆนะ และเมื่ออนาคตมาถึง เราก็สามารถมีบ้านแบบนี้ที่เป็นของพวกเราเอง!  ข้าย่อมพอใจยิ่ง ไม่ขออันใดแล้ว!”

            ซุนฉางซิงอดรู้สึกผิดเล็กน้อยไม่ได้ เมื่อได้ยินถ้อยคำของภรรยา เขาเงยหน้ามองนาง แล้วยกยิ้มเอ่ยว่า “จะมีแน่! คอยดู จวนอันสูงส่ง เราจะต้องมีแน่!”

ดวงตาของซุนซื่อทอประกายเรืองรอง ใบหน้าเปล่งรัศมีมารดาผู้ภาคภูมิใจในความสำเร็จ นาง พยักหน้าและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาหมิงของพวกเรา ทั้งปราดเปรื่องและกตัญญูรู้คุณ จะต้องประสบความสำเร็จแน่!”

            “ใช่แล้ว!” ซุนฉางซิงทอดถอนใจแล้วระบายยิ้ม “แม่นางเหลียนเป็นคนดี  รอให้อาหมิงของเรามีอนาคตอันรุ่งเรือง พวกเราต้องตอบแทนนางแน่ !”

“นี่ยังต้องพูดออกมาด้วยรึ?” ซุนซื่อเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ย่อมสมควรแล้ว! ภายหน้าไม่ว่าพวกเรามีสิ่งใด  ล้วนต้องมีของขวัญให้แม่นางเหลียน หากไม่ใช่เพราะนาง เฮ้อ...ชีวิตของอาหมิงคง...ฟังข้าพูดนะ อาหมิงนี่ ต่อไปต้องมีแต่โชคดีแน่!”

       ขณะที่สองสามีภรรยากำลังทอดถอนใจอยู่นั้น  คนทั้งครอบครัวของเหลียนฟางโจวก็กำลังเล่นกับหมาป่าตัวน้อย และทันใดนั้น ทุกคนก็นึกถึงเหลียนเช่อซึ่งยังคงอยู่ที่สำนักศึกษา และยังไม่กลับ แต่ละคนก็เริ่มนั่งไม่เป็นสุข

            “ฝนตกหนักขนาดนี้  ข้าเกรงกว่าอีกนานกว่าจะหยุด!” อาหญิงสามนิ่วหน้า พลางเอ่ยขึ้น “ฟางโจว ไปรับกลับเถิดนะ!”

            เหลียนฟางโจวรู้สึกฉงนในใจ อากาศแบบนี้  ต่อไปไม่รู้ว่าจะตกหนักกว่าเดิมไหม เอาล่ะ ต้องไปรับ แต่จะไปรับอย่างไรดี?

            “เจ้าอยู่บ้านเถิด ให้ข้าไปเอง!” อาเจี่ยนพูด “ข้าจะไปเอาเกวียนเทียมลามา  แล้วเอาเสื้อติดไปให้เขาด้วยเลย!”แน่นอนเสื้อกันฝนก็ต้องเตรียมไปด้วย

 

            “พี่เจี่ยน ให้ข้าไปเองเถิด!” เหลียนเจ๋อลุกขึ้น พลางหัวเราะ “ข้าจัดการคนเดียวได้! ข้าชับรถเกวียนเป็น!”

            ตอนนี้เขาโตแล้ว ทว่าเขาไม่อยากให้พี่สาวปฏิบัติกับตัวเขาคล้ายเด็กที่ยังไม่โต คอยแต่เป็นลูกมือ แค่ไปรับน้องชายที่เรียนอยู่ เรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ ยังต้องคอยตามก้นพี่เจี่ยน เช่นนั้นแล้ว..เขาช่างเป็นคนไร้ประโยน์จริง ๆ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น