วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 253 โดนแกล้ง

           “เจ้าจะไปอย่างไรในเมื่อฝนตกหนักออกปานนี้! ทำให้ยุ่งนะสิไม่ว่า!” อาหญิงสามตวัดสายตาใส่

เหลียนเจ๋อเหยียดริมฝีปากแสนขัดเคืองใจ ดูสิ มาบอกว่าเขาทำเรื่องยุ่ง ทำราวกับเขาเป็นเด็กน้อยไปได้

  “พี่ใหญ่” เหลียนเจ๋อหันไปสบตาเหลียนฟางโจว  ด้วยความคาดหวังหน่อยๆ

อาเจี่ยนหันไปเอ่ยกับเหลียนฟางโจว “ในเมื่ออาเจ๋อพูดเสียขนาดนี้ ก็แสดงว่าคงจัดการด้วยตัวเองได้ เช่นนั้น..ก็ให้เขาไปเถิดนะ!”

“จะไปได้อย่างไร! ระยะทางก็ไกลหลายลี้อยู่นะ! อาเจ๋อจะไปเทียบกับเจ้าได้อย่างไรกัน!” อาหญิงสามวิตกขึ้นมาทันใด

คิ้วของเหลียนเจ๋อขมวดน้อย ๆ ใบหน้าที่บึ้งตึงอยู่แล้ว ยิ่งครึ้มลงอย่างเห็นได้ชัด

“เช่นนั้น...เจ้าก็ไปเถิด! ข้าคิดว่าใกล้เวลาเลิกเรียนแล้วด้วย รีบ ๆ เข้าเถิด!” เหลียนฟางโจวระบายยิ้ม และหันไปปรามสายตาไม่เห็นด้วยของอาหญิงสาม “ให้อาเจ๋อไปเถิด ข้าว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ! ระยะทางถึงไม่ใกล้แต่ก็ไม่ใกลด้วย อีกทั้งเส้นทางก็ราบเรียบ เดินทางไปง่ายออก!

  พอตกปากรับคำเสร็จ หญิงสาวก็เดินไปเตรียมเสื้อกันฝนให้เหลียนเจ๋อ  มุมปากเด็กหนุ่มเหยียดขึ้น เขาเหล่มองตาม หากบอกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยจริง ก็ปล่อยให้ตัวเขาจัดการเองสิ ! เด็กหนุ่มขัดเคืองหน่อย ๆ  ทุกคนยังทำราวกับเขาเป็นเด็กน้อยอยู่จริง ๆ!

            อย่างไรก็ตาม มุมมองของพี่สาวต่อตัวเขานับว่ายังดี ตราบใดที่เขารู้จักจริงจังตั้งใจ ซ้ำออกไปสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ขึ้นสักสองส่วน  ก็น่าจะเห็นความแตกต่างได้บ้างใช่หรือไม่?

  อาหญิงสามจะไม่เข้าใจเหตุผลนี้ของเหลียนฟางโจวได้อย่างไร?  ทว่าในสายตาของนาง ก็ยังมองว่าเหลียนเจ๋อเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ เหตุผลทั้งหลายทั้งแหล่นี้ย่อมยากจะมีน้ำหนักในใจนาง!

            ดังนั้นอาหญิงสามจึงพูดอย่างโมโหฉุนเฉียว “พวกเจ้าดันเห็นด้วยกันหมด ข้าเองก็ไม่มีวิธีอื่นด้วย! ดูเอาเถิด เขาเตรียมพร้อมจะไปเองอยู่แล้ว ทว่าก็ยังเชื่อฟังคำพวกเจ้า ถ้อยคำนี้สัมผัสได้ถึงความอิจฉาเจืออยู่ลาง ๆ

            อาเจี่ยนเอ่ยขึ้น “อาหญิงสาม อาเจ๋อน่ะ อันที่จริงเขาเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจทำงานดีมากเลยนะ ท่านวางใจเถิด! เขาไม่เด็กแล้ว ซ้ำยังควรปล่อยให้ลองจัดการเรื่องต่าง ๆตามลำพังคนเดียวบ้าง จะให้คอยพึ่งพาฟางโจวไปเรื่อย ๆคงไม่ได้หรอก!”

  อาหญิงสามอึ้งไป เหลียนเจ๋อผู้ซึ่งอยู่ในเรือนรู้สึกฮึกเหิมในใจขึ้นมา

  เมื่อเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ เหลียนเจ๋อบอกลาทุกคนอย่างเร่งรีบ เด็กหนุ่มสวมชัวอวี้[1]คลุมกาย และหมวกสานไม้ไผ่ทรงกรวย ครั้นแล้วจึงฟาดแส้เพื่อ บังคับรถเกวียนเทียมลาให้เคลื่อนที่ไป

  ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม เขาและเหลียนเข่อก็กลับมาพร้อมกับร่างที่เปียกชื้นไปทั่วตัว กระทั่งแขนเสื้อยังเปียกโชกด้วย

       ฝ่ายเหลียนฟางฉิงซึ่งกำลังนั่งคอยอยู่ใต้ชายคาระเบียงพร้อมกับลูกหมาป่าตัวน้อยในอ้อมแขน เมื่อเห็นรถเกวียนเทียมลาเคลื่อนเข้ามาในลานบ้าน ก็รีบลุกขึ้นตะโกนโห่ร้องไล่หลังด้วยความยินดี “เย้...พี่รอง พี่สามกลับมาแล้ว!”นางตะเบ็งเสียงร้องเรียกเหลียนเจ๋อ และเหลียนเช่อ

            เหลียนฟางโจวและคนอื่น ๆ พากันโล่งอก อาหญิงสามเอ่ยแย้มยิ้ม “กลับมาก็ดีแล้ว ไปกันนานเหลือเกิน พาให้ทุกคนเป็นห่วงจริง ๆ! กลับมาก็ดีแล้ว! น้ำร้อนมีอยู่ในครัวแล้ว  รีบไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดเสีย”

            เมื่อเหลียนเจ๋อกับเหลียนเช่อกลับมาถึงบ้าน เหลียนเช่อทักทายทุกคนด้วยความเร่งรีบ แล้วรีบตรงดิ่งเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในชั่วพริบตา

            เหลียนเจ๋อส่งยิ้มและสนทนาไม่กี่คำ ก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกัน

    เมื่อสองหนุ่มพี่น้องเดินออกมา เหลียนฟางโจพลันพินิจเหลียนเช่อนานขึ้นนิดหนึ่ง เพียงแค่เห็นสายตาที่จับจ้องมา ก็พาให้เหลียนเช่อรู้สึกตัวชาหน่อย ๆ เด็กน้อยเอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “พี่ใหญ่ ท่านมองข้าเช่นนี้ มีอันใดหรือขอรับ?”

            “ไม่มีอะไรหรอก!” เหลียนฟางโจวเก็บสายตากลับ แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าไม่เป็นอันใดใช่ไหม?”

   เหลียนเช่อกำมือแน่น กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกสองครา และเกือบจะหลุดกิริยาออกมา  เขาสั่นศีรษะพลางหัวเราะเจื่อน ๆ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลย ข้าสบายดีขอรับ!”

            “จะไม่เป็นไรได้อย่างไร?” อาหญิงสามเดินจากครัวเข้ามา พลางขึงตาใส่ “เปียกโชกไปทั้งตัวอย่างนี้ ยังบอกอีกว่าไม่เป็นไรได้รึ!  ระวังลมเย็นกันด้วยสิ!  วันนี้ เกือบจะเป็นหวัดเข้าให้แล้ว! ไปเลย พวกเจ้าสองคนรีบไปดื่มน้ำขิงกันคนละชามเลย!”

  พอเหลียนเช่อฟังอาหญิงสามกล่าวจบ ก็แอบผ่อนคลายร่างกายที่เกร็งมาตลอดลง แล้วหันไปยิ้มขอบคุณให้เหลียนเจ๋อทันที จากนั้นทั้งสองก็ยกชามน้ำขิงขึ้นดื่ม

  เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้มให้น้องชายทั้งสอง พลางลุกขึ้นยืนแล้วพูดขึ้น “พักผ่อนกันให้มาก ๆ เล่า ข้าจะไปเข้าครัวก่อน!”

            เหลียนเช่อและเหลียนเจ๋อลอบส่งสายตาให้กัน คล้ายดูโล่งอก  ขณะที่เหลียนฟางโจวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

            ตลอดเย็นเหลียนฟางโจวมิได้สนใจซักไซร้อันใดพวกเขาอีก  ทว่าหลังมื้อเย็น หญิงสาวก็ไปหาอาเจี่ยน แล้วเอ่ยถามอาเจี่ยนเสียงเบา “ต้องมีเรื่องเกิดขึ้นกับเช่อเอ๋อร์แน่ ไม่แน่อาจโดนพวกเด็กนักเรียนในสำนักศึกษาแกล้งเอาก็ได้  ทว่าพวกเขาสองพี่น้องไม่ยอมเล่าให้ข้าฟัง ข้าก็ไม่ได้ซักไซร้พวกเขาด้วย  อาเจี่ยน....ท่านช่วยถามให้ข้าได้หรือไม่  บางทีอาเจ๋อคงอยากจะเล่าให้ท่านฟังน่ะ”

            เหลียนฟางโจวชมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าน่าจะคิดถึงเรื่องนี้ก่อนนานแล้ว เด็กวัยนี้ ปกติย่อมซุกซน ชอบก่อเรื่องเป็นที่สุด ครอบครัวชาวนาชาวไร่อย่างเรา ๆ  มีเด็กในครอบครัวไหนซื่อ ๆ ไร้พิษภัยบ้างเล่า? เช่อเอ๋อร์เป็นนักเรียนใหม่ เขาเกิดมารูปร่างผอมบาง นิสัยสุภาพอ่อนน้อม พอไปโรงเรียน อาจารย์ก็เอ็นดู รักใคร่ชื่นชม จะไม่มีใครเห็นเขาขัดลูกนัยน์ตาบ้างเลยรึ!”

  สำหรับเรื่องนี้ ดูคล้ายอาเจี่ยนไม่รู้สึกแปลกใจเท่าใด ชายหนุ่มกลับเลิกคิ้วแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่อเอ๋อร์ไม่ได้ไปโรงเรียนเป็นวันแรกนี่นะ ไยเจ้าถึงพูดว่าที่เขากลับมาจากโรงเรียนในวันนี้ไม่เหมือนวันอื่นเล่า?”

  

            เหลียนฟางโจวแค่นเสียงเบา ๆ แล้วกลอกตาใส่เขา “ท่านคิดว่าข้าโง่รึ ต่อให้เขาแอบย่องเข้าบ้านมาเงียบ ๆ ทว่าข้าก็ยังเห็น เสื้อคลุมเปียกโชกออกปานนั้น  รอยยับย่นมีให้เห็นเด่นชัดไปทั่ว ซึ่งดูแล้วเพิ่งถูกซักล้างมาหยก ๆ และรองเท้าคู่นั้น หากเปียกโชกเพราะฝน ก็ยังพอเข้าใจได้ แต่นี่ดันดูสะอาดเกินไป เพียงแค่เปียกน้ำ แต่ไม่เปื้อนโคลน ท่านเคยเห็นใครที่รองเท้าเป็นเช่นนั้นในวันฝนตกบ้างรึ? ชัดเจนว่าคงเอารองเท้าไปล้างริมแม่น้ำมาแน่ ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้ แต่มันต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้นแน่!”

  เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยความหงุดหงิดหน่อย ๆ หญิงสาวทอดมองอาเจี่ยน พลางเอ่ยอย่างหดหู่ “สองคนนั้นกระทั่งข้า ก็น่าจะไม่บอก และแน่นอนว่าก็คงไม่เล่าให้อาหญิงสามฟังเหมือนกัน ผู้อื่นมาหาท่านให้ช่วย ท่านก็ทำเถิด ช่วยไปถามเรื่องนี้มาให้หน่อยนะ!”

  อาเจี่ยนหัวเราะหึ ๆ  และเอ่ยอย่างนึกขัน “ขนาดเจ้าพวกเขายังไม่เล่า แล้วจะมาเล่าให้ข้าฟังได้อย่างไร?”

            เหลียนฟางโจวชะงักนิ่งไป แล้วพูดต่อทันที “นี่มันต่างกัน! พวกเขาไม่บอกข้า แต่หากท่านถาม พวกเขาจะบอกท่าน อาเจ๋อจะไม่ปดท่านแน่”

  ได้ยินหญิงสาวกล่าวมาด้วยน้ำเสียงเจือความอิจฉานิด ๆ อาเจี่ยนให้อดรู้สึกภาคภูมิใจไม่ได้ ชายหนุ่มยกยิ้ม พลางพยักหน้าตกลงพร้อมด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ “ก็ได้ ข้าจะช่วยถามให้เจ้าเอง!”

            เหลียนฟางโจวส่งยิ้มขอบคุณชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน

  เหลียนเจ๋อหาใด้ปิดบังความจริงจากอาเจี่ยน ทว่ากลับขอร้องไม่ให้อาเจี่ยนไปบอกเหลียนฟางโจว

       อาเจี่ยนตอบตกลงและมุ่งหน้ากลับไปหาเหลียนฟางโจวเพื่อไขข้อข้องใจ

  เป็นดังที่เหลียนฟางโจวคาดการณ์ เหลียนเช่อถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียนนิสัยอันธพาล สามถึงสี่คน ซึ่งมาจากหมู่บ้านสกุลหลิน และหมู่บ้านสกุลหยาง รังแก

            ตามที่เหลียนเจ๋อเล่ามา เด็กพวกนั้นมีนิสัยประหลาด ซ้ำคอยหาโอกาส เยาะเย้ยถากถางเหลียนเช่อสารพัด ซึ่งไม่ใช่กระทำมาแค่หนึ่งหรือสองวัน เพียงแต่การกลั่นแกล้ง ยังไปไม่ถึงขั้นทะเลาะกันใหญ่โต  และเหลียนเช่อเองก็คอยระวังตัวแจ อีกทั้งไม่เล่าให้ใครฟังด้วย

            เรื่องมาเกิดขึ้นในวันนี้ที่ฝนตกอย่างหนัก และพอฝนหยุด ขณะที่พวกเขากำลังออกจากสำนักศึกษา หยางเหวินเซี่ยว กับหยางเหวินจงจากหมู่บ้านสกุลหยาง  ทั้งสองเป็นฝ่ายเข้ามาหาเหลียนเช่อ พลางพูดคุยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

            เหลียนเช่อไม่อยากไปกับพวกนั้น ทว่าสองคนในนั้นชักชวนอย่างแข็งขัน ไม่เพียงไม่ให้ปฏิเสธ

พวกนั้นกึ่งจูงกึ่งลากเขาไปอย่างดันทุรัง

  เพียงแค่ออกจากหมู่บ้านสกุลหลิน  เมื่อเดินมาถึงตรงจุดที่มีแอ่งโคลนอยู่ข้าง ๆ เมื่อเด็กพวกนั้นเดินมา  จู่ ๆ สองคนนั่นก็งอข้อศอกและกระแทกใส่เขาโดยไม่บอกกล่าว  ทั้งยังยื่นขาข้างหนึ่งไปขัดด้วย เหลียนเช่อจึงล้มลงไปในแอ่งโคลนโดยไม่ทันระวัง  ล้มกลิ้งลงไปโครมใหญ่ เสื้อคลุมเปื้อนน้ำโคลนสีเหลืองไปซีกหนึ่ง

   ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น