“เจ้าจะไปอย่างไรในเมื่อฝนตกหนักออกปานนี้! ทำให้ยุ่งนะสิไม่ว่า!” อาหญิงสามตวัดสายตาใส่
เหลียนเจ๋อเหยียดริมฝีปากแสนขัดเคืองใจ
ดูสิ มาบอกว่าเขาทำเรื่องยุ่ง ทำราวกับเขาเป็นเด็กน้อยไปได้
“พี่ใหญ่”
เหลียนเจ๋อหันไปสบตาเหลียนฟางโจว ด้วยความคาดหวังหน่อยๆ
อาเจี่ยนหันไปเอ่ยกับเหลียนฟางโจว
“ในเมื่ออาเจ๋อพูดเสียขนาดนี้ ก็แสดงว่าคงจัดการด้วยตัวเองได้
เช่นนั้น..ก็ให้เขาไปเถิดนะ!”
“จะไปได้อย่างไร! ระยะทางก็ไกลหลายลี้อยู่นะ! อาเจ๋อจะไปเทียบกับเจ้าได้อย่างไรกัน!” อาหญิงสามวิตกขึ้นมาทันใด
คิ้วของเหลียนเจ๋อขมวดน้อย ๆ
ใบหน้าที่บึ้งตึงอยู่แล้ว ยิ่งครึ้มลงอย่างเห็นได้ชัด
“เช่นนั้น...เจ้าก็ไปเถิด! ข้าคิดว่าใกล้เวลาเลิกเรียนแล้วด้วย
รีบ ๆ เข้าเถิด!” เหลียนฟางโจวระบายยิ้ม และหันไปปรามสายตาไม่เห็นด้วยของอาหญิงสาม
“ให้อาเจ๋อไปเถิด ข้าว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ! ระยะทางถึงไม่ใกล้แต่ก็ไม่ใกลด้วย
อีกทั้งเส้นทางก็ราบเรียบ เดินทางไปง่ายออก!”
พอตกปากรับคำเสร็จ หญิงสาวก็เดินไปเตรียมเสื้อกันฝนให้เหลียนเจ๋อ มุมปากเด็กหนุ่มเหยียดขึ้น เขาเหล่มองตาม
หากบอกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยจริง ก็ปล่อยให้ตัวเขาจัดการเองสิ ! เด็กหนุ่มขัดเคืองหน่อย ๆ ทุกคนยังทำราวกับเขาเป็นเด็กน้อยอยู่จริง ๆ!
อย่างไรก็ตาม
มุมมองของพี่สาวต่อตัวเขานับว่ายังดี ตราบใดที่เขารู้จักจริงจังตั้งใจ
ซ้ำออกไปสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ขึ้นสักสองส่วน ก็น่าจะเห็นความแตกต่างได้บ้างใช่หรือไม่?
อาหญิงสามจะไม่เข้าใจเหตุผลนี้ของเหลียนฟางโจวได้อย่างไร? ทว่าในสายตาของนาง ก็ยังมองว่าเหลียนเจ๋อเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ
เหตุผลทั้งหลายทั้งแหล่นี้ย่อมยากจะมีน้ำหนักในใจนาง!
ดังนั้นอาหญิงสามจึงพูดอย่างโมโหฉุนเฉียว
“พวกเจ้าดันเห็นด้วยกันหมด ข้าเองก็ไม่มีวิธีอื่นด้วย! ดูเอาเถิด เขาเตรียมพร้อมจะไปเองอยู่แล้ว
ทว่าก็ยังเชื่อฟังคำพวกเจ้า” ถ้อยคำนี้สัมผัสได้ถึงความอิจฉาเจืออยู่ลาง
ๆ
อาเจี่ยนเอ่ยขึ้น
“อาหญิงสาม อาเจ๋อน่ะ อันที่จริงเขาเป็นคนมุ่งมั่นตั้งใจทำงานดีมากเลยนะ ท่านวางใจเถิด! เขาไม่เด็กแล้ว ซ้ำยังควรปล่อยให้ลองจัดการเรื่องต่าง
ๆตามลำพังคนเดียวบ้าง จะให้คอยพึ่งพาฟางโจวไปเรื่อย ๆคงไม่ได้หรอก!”
อาหญิงสามอึ้งไป
เหลียนเจ๋อผู้ซึ่งอยู่ในเรือนรู้สึกฮึกเหิมในใจขึ้นมา
เมื่อเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ เหลียนเจ๋อบอกลาทุกคนอย่างเร่งรีบ
เด็กหนุ่มสวมชัวอวี้[1]คลุมกาย และหมวกสานไม้ไผ่ทรงกรวย
ครั้นแล้วจึงฟาดแส้เพื่อ บังคับรถเกวียนเทียมลาให้เคลื่อนที่ไป
ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม เขาและเหลียนเข่อก็กลับมาพร้อมกับร่างที่เปียกชื้นไปทั่วตัว
กระทั่งแขนเสื้อยังเปียกโชกด้วย
ฝ่ายเหลียนฟางฉิงซึ่งกำลังนั่งคอยอยู่ใต้ชายคาระเบียงพร้อมกับลูกหมาป่าตัวน้อยในอ้อมแขน
เมื่อเห็นรถเกวียนเทียมลาเคลื่อนเข้ามาในลานบ้าน ก็รีบลุกขึ้นตะโกนโห่ร้องไล่หลังด้วยความยินดี
“เย้...พี่รอง พี่สามกลับมาแล้ว!”นางตะเบ็งเสียงร้องเรียกเหลียนเจ๋อ และเหลียนเช่อ
เหลียนฟางโจวและคนอื่น
ๆ พากันโล่งอก อาหญิงสามเอ่ยแย้มยิ้ม “กลับมาก็ดีแล้ว ไปกันนานเหลือเกิน
พาให้ทุกคนเป็นห่วงจริง ๆ! กลับมาก็ดีแล้ว! น้ำร้อนมีอยู่ในครัวแล้ว รีบไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดเสีย”
เมื่อเหลียนเจ๋อกับเหลียนเช่อกลับมาถึงบ้าน
เหลียนเช่อทักทายทุกคนด้วยความเร่งรีบ แล้วรีบตรงดิ่งเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในชั่วพริบตา
เหลียนเจ๋อส่งยิ้มและสนทนาไม่กี่คำ
ก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกัน
เมื่อสองหนุ่มพี่น้องเดินออกมา เหลียนฟางโจพลันพินิจเหลียนเช่อนานขึ้นนิดหนึ่ง
เพียงแค่เห็นสายตาที่จับจ้องมา ก็พาให้เหลียนเช่อรู้สึกตัวชาหน่อย ๆ
เด็กน้อยเอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “พี่ใหญ่ ท่านมองข้าเช่นนี้ มีอันใดหรือขอรับ?”
“ไม่มีอะไรหรอก!” เหลียนฟางโจวเก็บสายตากลับ
แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าไม่เป็นอันใดใช่ไหม?”
เหลียนเช่อกำมือแน่น
กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกสองครา และเกือบจะหลุดกิริยาออกมา เขาสั่นศีรษะพลางหัวเราะเจื่อน ๆ “ไม่เป็นไร
ไม่เป็นไรเลย ข้าสบายดีขอรับ!”
“จะไม่เป็นไรได้อย่างไร?” อาหญิงสามเดินจากครัวเข้ามา
พลางขึงตาใส่ “เปียกโชกไปทั้งตัวอย่างนี้ ยังบอกอีกว่าไม่เป็นไรได้รึ! ระวังลมเย็นกันด้วยสิ! วันนี้ เกือบจะเป็นหวัดเข้าให้แล้ว! ไปเลย
พวกเจ้าสองคนรีบไปดื่มน้ำขิงกันคนละชามเลย!”
พอเหลียนเช่อฟังอาหญิงสามกล่าวจบ
ก็แอบผ่อนคลายร่างกายที่เกร็งมาตลอดลง แล้วหันไปยิ้มขอบคุณให้เหลียนเจ๋อทันที จากนั้นทั้งสองก็ยกชามน้ำขิงขึ้นดื่ม
เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้มให้น้องชายทั้งสอง
พลางลุกขึ้นยืนแล้วพูดขึ้น “พักผ่อนกันให้มาก ๆ เล่า ข้าจะไปเข้าครัวก่อน!”
เหลียนเช่อและเหลียนเจ๋อลอบส่งสายตาให้กัน
คล้ายดูโล่งอก
ขณะที่เหลียนฟางโจวแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ตลอดเย็นเหลียนฟางโจวมิได้สนใจซักไซร้อันใดพวกเขาอีก ทว่าหลังมื้อเย็น หญิงสาวก็ไปหาอาเจี่ยน
แล้วเอ่ยถามอาเจี่ยนเสียงเบา “ต้องมีเรื่องเกิดขึ้นกับเช่อเอ๋อร์แน่ ไม่แน่อาจโดนพวกเด็กนักเรียนในสำนักศึกษาแกล้งเอาก็ได้ ทว่าพวกเขาสองพี่น้องไม่ยอมเล่าให้ข้าฟัง
ข้าก็ไม่ได้ซักไซร้พวกเขาด้วย
อาเจี่ยน....ท่านช่วยถามให้ข้าได้หรือไม่
บางทีอาเจ๋อคงอยากจะเล่าให้ท่านฟังน่ะ”
เหลียนฟางโจวชมวดคิ้วน้อย
ๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าน่าจะคิดถึงเรื่องนี้ก่อนนานแล้ว เด็กวัยนี้ ปกติย่อมซุกซน
ชอบก่อเรื่องเป็นที่สุด ครอบครัวชาวนาชาวไร่อย่างเรา ๆ มีเด็กในครอบครัวไหนซื่อ ๆ ไร้พิษภัยบ้างเล่า? เช่อเอ๋อร์เป็นนักเรียนใหม่
เขาเกิดมารูปร่างผอมบาง นิสัยสุภาพอ่อนน้อม พอไปโรงเรียน อาจารย์ก็เอ็นดู รักใคร่ชื่นชม
จะไม่มีใครเห็นเขาขัดลูกนัยน์ตาบ้างเลยรึ!”
สำหรับเรื่องนี้
ดูคล้ายอาเจี่ยนไม่รู้สึกแปลกใจเท่าใด ชายหนุ่มกลับเลิกคิ้วแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่อเอ๋อร์ไม่ได้ไปโรงเรียนเป็นวันแรกนี่นะ
ไยเจ้าถึงพูดว่าที่เขากลับมาจากโรงเรียนในวันนี้ไม่เหมือนวันอื่นเล่า?”
เหลียนฟางโจวแค่นเสียงเบา
ๆ แล้วกลอกตาใส่เขา “ท่านคิดว่าข้าโง่รึ ต่อให้เขาแอบย่องเข้าบ้านมาเงียบ ๆ
ทว่าข้าก็ยังเห็น เสื้อคลุมเปียกโชกออกปานนั้น
รอยยับย่นมีให้เห็นเด่นชัดไปทั่ว ซึ่งดูแล้วเพิ่งถูกซักล้างมาหยก ๆ
และรองเท้าคู่นั้น หากเปียกโชกเพราะฝน ก็ยังพอเข้าใจได้ แต่นี่ดันดูสะอาดเกินไป
เพียงแค่เปียกน้ำ แต่ไม่เปื้อนโคลน
ท่านเคยเห็นใครที่รองเท้าเป็นเช่นนั้นในวันฝนตกบ้างรึ? ชัดเจนว่าคงเอารองเท้าไปล้างริมแม่น้ำมาแน่
ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้ แต่มันต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้นแน่!”
เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยความหงุดหงิดหน่อย
ๆ หญิงสาวทอดมองอาเจี่ยน พลางเอ่ยอย่างหดหู่ “สองคนนั้นกระทั่งข้า ก็น่าจะไม่บอก
และแน่นอนว่าก็คงไม่เล่าให้อาหญิงสามฟังเหมือนกัน ผู้อื่นมาหาท่านให้ช่วย
ท่านก็ทำเถิด ช่วยไปถามเรื่องนี้มาให้หน่อยนะ!”
อาเจี่ยนหัวเราะหึ
ๆ และเอ่ยอย่างนึกขัน
“ขนาดเจ้าพวกเขายังไม่เล่า แล้วจะมาเล่าให้ข้าฟังได้อย่างไร?”
เหลียนฟางโจวชะงักนิ่งไป
แล้วพูดต่อทันที “นี่มันต่างกัน! พวกเขาไม่บอกข้า
แต่หากท่านถาม พวกเขาจะบอกท่าน อาเจ๋อจะไม่ปดท่านแน่”
ได้ยินหญิงสาวกล่าวมาด้วยน้ำเสียงเจือความอิจฉานิด
ๆ อาเจี่ยนให้อดรู้สึกภาคภูมิใจไม่ได้ ชายหนุ่มยกยิ้ม พลางพยักหน้าตกลงพร้อมด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ
“ก็ได้ ข้าจะช่วยถามให้เจ้าเอง!”
เหลียนฟางโจวส่งยิ้มขอบคุณชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน
เหลียนเจ๋อหาใด้ปิดบังความจริงจากอาเจี่ยน
ทว่ากลับขอร้องไม่ให้อาเจี่ยนไปบอกเหลียนฟางโจว
อาเจี่ยนตอบตกลงและมุ่งหน้ากลับไปหาเหลียนฟางโจวเพื่อไขข้อข้องใจ
เป็นดังที่เหลียนฟางโจวคาดการณ์
เหลียนเช่อถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียนนิสัยอันธพาล สามถึงสี่คน
ซึ่งมาจากหมู่บ้านสกุลหลิน และหมู่บ้านสกุลหยาง รังแก
ตามที่เหลียนเจ๋อเล่ามา
เด็กพวกนั้นมีนิสัยประหลาด ซ้ำคอยหาโอกาส เยาะเย้ยถากถางเหลียนเช่อสารพัด
ซึ่งไม่ใช่กระทำมาแค่หนึ่งหรือสองวัน เพียงแต่การกลั่นแกล้ง
ยังไปไม่ถึงขั้นทะเลาะกันใหญ่โต
และเหลียนเช่อเองก็คอยระวังตัวแจ อีกทั้งไม่เล่าให้ใครฟังด้วย
เรื่องมาเกิดขึ้นในวันนี้ที่ฝนตกอย่างหนัก
และพอฝนหยุด ขณะที่พวกเขากำลังออกจากสำนักศึกษา หยางเหวินเซี่ยว
กับหยางเหวินจงจากหมู่บ้านสกุลหยาง ทั้งสองเป็นฝ่ายเข้ามาหาเหลียนเช่อ
พลางพูดคุยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เหลียนเช่อไม่อยากไปกับพวกนั้น
ทว่าสองคนในนั้นชักชวนอย่างแข็งขัน ไม่เพียงไม่ให้ปฏิเสธ
พวกนั้นกึ่งจูงกึ่งลากเขาไปอย่างดันทุรัง
เพียงแค่ออกจากหมู่บ้านสกุลหลิน
เมื่อเดินมาถึงตรงจุดที่มีแอ่งโคลนอยู่ข้าง
ๆ เมื่อเด็กพวกนั้นเดินมา จู่ ๆ สองคนนั่นก็งอข้อศอกและกระแทกใส่เขาโดยไม่บอกกล่าว
ทั้งยังยื่นขาข้างหนึ่งไปขัดด้วย เหลียนเช่อจึงล้มลงไปในแอ่งโคลนโดยไม่ทันระวัง
ล้มกลิ้งลงไปโครมใหญ่ เสื้อคลุมเปื้อนน้ำโคลนสีเหลืองไปซีกหนึ่ง
...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น