วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา -บทที่ 254 จัดการเองได้

            เคราะห์ดีที่เหลียนเช่อเป็นคนรักหนังสือ จึงใช้กระดาษน้ำมันห่อเสริมอีกชั้น หาไม่แล้วหนังสือทั้งหมดคงได้เปียกโชก

            หยางเหวินเซี่ยว หยางเวินจง พอเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะเหี้ยมแปลก ๆ ขณะเดียวกันเด็กชายสองคน ซึ่งกำลัหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง พร้อมกับปรบมือชอบใจ ได้ก้าวออกมาจากหลังพุ่มไม้ข้าง ๆ ซึ่งพวกเขามีนามว่า หลินจิ้นและหลินเฟย

       เหลียนเช่อพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้น ริมฝีปากเด็กชายเม้มสนิท  ไม่ต้องนึกก็รู้ว่าแอ่งน้ำโคลนนี้ เป็นหลิ่นจิ้นกับหลิ้นเฟยที่ขุดไว้ หาไม่แล้วมันคงไม่ลึกมากผิดปกติ และเขาคงไม่ต้องมาอับอายปานนี้

  พอมองไปเห็นน้ำโคลนสีเหลืองซึ่งกระเซ็นเปื้อนไปทั่วตัวเหลียนเช่อ แล้วหยดติ๋ง ๆ ลงมา คนทั้งสี่ต่างหัวเราะลั่นจนตัวโยน ขำจนน้ำตาเล็ด

    พวกเขาหัวเราะไปพลาง รุมเย้าแหย่เหลียนเช่อไปพลาง

       หนึ่งในนั้นพูดขึ้น “นี่...เหลียนเช่อ ไยเจ้าถึงไม่ระวังเช่นนี้เล่า ! เดินอีท่าไหน ถึงได้เดินตกลงไปในแอ่งโคลนได้เล่า!”

 ส่วนอีกคนก็ถอนหายใจกล่าวขึ้น “นี่...มิใช่ว่าท่านอาจารย์ยกย่องว่าเจ้าฉลาดล้ำหรือไร? ข้ามองดู

แล้ว หาใช่เช่นนั้นเลยนี่นา! เดินทีก็ล้มแผละที  คล้ายเป็ดที่บ้านข้าเลี้ยงไว้เลย ซุ่มซ่ามจริง ๆ !

       กล่าวจบก็ยิ่งหัวเราะครื้นเครงยิ่งกว่าเดิม

      “พวกเจ้าอย่าพูดเช่นนั้นเลย ดีชั่วอย่างไร พวกเราก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกัน!” จากนั้นทุกคนก็ระเบิดหัวเราะออกมาอีกครา ครั้นแล้วคนที่พูดก็สาวเท้ามาก้าวหนึ่ง แล้วตบอกเขา พลางเอามือผลักอกเหลียนเช่อจนซวนเซไปอีกสองสามก้าว จากนั้นก็ถอนหายใจ  แล้วเอ่ยด้วยดวงหน้าใสซื่อ “เหลียนเช่อ เจ้านี่มันไม่ระวังตัวเสียเลยจริง ๆ ! คราวหน้าคราวหลังน่ะ เวลาเดิน ก็ดูทางให้มันดี ๆ ด้วยเล่า! นี่...เมื่อครู่ก่อน ข้ายังคิดจะยื่นมือดึงเจ้าขึ้นมาเลย  แต่โชคร้ายจัง ที่ข้ามีเวลา แต่มันไม่พอน่ะ! ตัวข้าน่ะ ตั้งใจจะดึงเจ้าจริง ๆนะ ต่อให้ท่านอาจารย์รู้เข้า ก็คงชมเชยในเจตนาดีของข้าด้วย จริงไหม?”

            ทันทีที่ถ้อยคำดังกล่าวหลุดออกมา อีกคนก็รับลูก และขึงตาใส่เหลียนเช่อ พลางพูดขึ้น “ใช่แล้ว ใช่แล้ว  ข้าเองก็คิดจะดึงตัวเจ้าเช่นกัน ใช่หรือไม่พวกเรา?”

            เด็กสองคนซึ่งมาจากหมู่บ้านสกุลหลินนั่น ก็หลุดหัวเราะคิกคิกครั้งหนึ่ง หลังกลั้นขำสำเร็จ จึงเอ่ยด้วยท่าทางเปี่ยมคุณธรรม “แอ่งโคลนนี้ ไม่ใช่พวกเราที่ขุดขึ้นมาแน่นอน เดิมทีมันก็มีอยู่ตรงนี้แล้ว พวกเราเพียงแค่บังเอิญผ่านมาก็เท่านั้น! เหลียนเช่อ...เจ้าจงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจล่ะ !”

            เหลียนเช่อยังคงเม้มริมฝีปากแน่นอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าเล็ก ๆประเดี๋ยวก็ขึ้นสีแดง ประเดี๋ยวก็ซีดขาว น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาในดวงตาเด็กน้อย เขาอดทนนิ่งเฉย ไม่ตอบโต้ ขณะเผชิญหน้ากับเด็ก ๆทั้งสี่คนที่ตัวสูงใหญ่กว่าตนเองอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เขาดูตัวเล็กไปถนัดตา

            เด็กน้อยไม่หลุดปากออกมาสักคำ เห็นได้ชัดว่าทำให้เด็กสี่คนที่กำลังกลั่นแกล้งเขาขุ่นเคือง หยางเหวินเซียวก็เอ่ยอย่างฉุนเฉียว “นี่...ที่ข้าพูดกับเจ้า ได้ยินบ้างหรือไม่? พรุ่งนี้หากเจ้ากล้าเอาเรื่องนี้ไปพล่ามต่อหน้าอาจารย์ละก็ เจ้าได้เจอกำปั้นพวกเราแน่! ฮึ่ม!”

  ไม่ว่าพวกเด็กซุกซนจะดื้อดึงเพียงไหน พวกเขาล้วนเกรงกลัวอาจารย์ด้วยกันทั้งสิ้น นี่คือการตอบสนองต่อความเชื่อ ในเรื่องการให้ความเคารพครูบาอาจารย์ที่สอนสั่ง ซึ่งเป็นความเชื่อประเภทหนึ่ง ที่ซึมลึกถึงเนื้อในกระดูกส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น พวกเขาข่มขู่สำทับ ประการหนึ่งก็เพราะ ไม่กล้าไปอยู่หน้าอาจารย์ กลัวอาจารย์ทำโทษ

            เด็กทั้งสี่คนเดินย่างสามขุมเข้ามาพร้อม ๆ กัน พากันมาล้อมรอบตัวเหลียนเช่อ เพื่อข่มขู่ให้เขารับปาก

  เหลียนเช่อยังคงเม้มปากแน่น ไม่ยอมเปิดปากพูด ดวงหน้าเล็ก ๆ ซีดขาว เด็กน้อยยืนนิ่งอยู่ที่เดิม หรุบตาต่ำ ทว่ายังดื้อดึง ไม่ยอมเปิดปากพูดอยู่ดี

  ถึงแม้ว่า เดิมทีเขาไม่มีความคิดจะนำเรื่องนี้ไปฟ้องอาจารย์เสียด้วยซ้ำ กระนั้นเมื่อโดนพวกนั้นข่มขู่ เขาก็ไม่ยอมรับปากอยู่ดี

  ทั้งสี่คนทั้งผลักทั้งขู่เหลียนเช่อ เห็นเขายังมีท่าทางแบบนี้ ก็อดรู้สึกโมโหไม่ได้ แล้วหยางเหวินจงก็แค่นเสียงใส่ “คล้ายว่ามันจะกลัวจนตะลึงตาค้างไปแล้ว มิสู้พวกเรามาช่วยปลุกมันตื่นขึ้นเถิด!”

            หลินจิ้นกลอกตาขึ้นฟ้า แล้วยิ้มยิงฟันเอ่ยขึ้น “เอาสิ เอาสิ ข้าเคยได้ยินว่าคนที่มึนงงเป็นลมเนี่ย พอสาดน้ำเย็นใส่สักกาละมังหนึ่งเข้าไป ก็ตื่นได้ทันทีเลยนะ  คล้ายว่ามันไร้สติไปแล้ว มิสู้พวกเราลองเอาน้ำเย็นเทใส่มันด้วยสิ!”

            หยางเหวินเซี่ยวปรบมือชอบใจ พลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ความคิดล้ำเลิศ ! ถึงเราไม่มีกาละมัง แต่บนพื้นก็มีแอ่งน้ำน้อยใหญ่มากมาย ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำฝนที่เพิ่งตกไปนี่นา !”

            คนทั้งสี่ซึ่งต่างกำลังพูดคุยหัวเราะเฮฮาอยู่ ก็ตื้นเต้นขึ้นมาโดยพลัน คล้ายว่าได้เจอเรื่องสนุกและน่าสนใจสุดขีดเข้าแล้ว  จิตใจพวกเขาเต็มไปด้วยความกระหายใคร่กลั่นแกล้งนัก ครั้นแล้วก็ตรงเข้ามาดึงกระชากแขนเสื้อของเหลียนเช่อ ที่จริงก็คืออยากจะผลักเหลียนเช่อล้มลงไปในแอ่งโคลนอีกนั่นเอง

  เหลียนเช่อผู้ซึ่งทั้งรำคาญ ทั้งกังวลใจ ทั้งโกรธเกรี้ยว ดิ้นรนด้วยโทสะ พลางร้องตะโกนลั่น “ปล่อยข้า! ปล่อยข้านะ! พวกเจ้าปล่อยข้าสิ!” ทว่าผู้อื่นซึ่งตัวเล็กและเรี่ยวแรงน้อยกว่า  ไยจะเป็นคู่ต่อสู้ของคนทั้งสี่ได้เล่า?

            พอทั้งสี่คนได้เห็นคนตัวเล็กดิ้นรนร้องตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด  พาให้จิตใจยิ่งฮึกเหิมเข้าไปใหญ่ ขณะกำลังฉุดลากคนตัวเล็กว่า พวกเขาก็เย้าแหย่อีกฝ่าย พลางหัวเราะอย่างครื้นเครง หมายลากตัวเขาลงไปในแอ่งน้ำโคลนนั่นให้ได้

            ใบหน้าน้อย ๆ ของเหลียนเช่อขึ้นสีแดงก่ำอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกกระวนกระวายร้อนรนในใจ

            ทว่า จะมีประโยชน์อันใดเล่า?

  พอเห็นว่าตนกำลังจะโดนคนพวกนี้ผลักลงไปในหล่มโคลนอยู่รอมร่อแล้ว ดวงตาทั้งคู่จึงแดงก่ำอย่างรวดเร็ว มีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาในดวงตา

            โดนคนรุมกลั่นแกล้งเช่นนี้ เขาจะแบกรับความอัปยศนี้อย่างไรดี?

            ทันใดนั้นเอง พลันมีเสียงร้องตะโกนของคนขับรถเกวียน และเสียงล้อเกวียนหมุน รวมทั้งเสียงกีบเท้าของสัตว์พาหนะดังขึ้นมา

            หลินจิ้นกับพวกรวมสี่คน พากันตื่นตระหนก ไม่อาจรุมเล่นงานเหลียนเช่อได้อีก จึงปล่อยมือจากคนตัวเล็กอย่างไว แล้วต่างแตกฮือเปิดแน่บไปในพริบตา

  บุคคลที่ขับเกวียนมาก็คือเหลียนเจ๋อ....

  ดังนั้นรายละเอียดของเหตุการณ์ที่ผ่านมา เหลียนเช่อย่อมไม่เล่าให้อาเจี่ยนฟัง แต่ภายใต้การคาดคั้นกดดันของเหลียนเจ๋อ ผู้ซึ่งเห็นเขาถูกลบหลู่ดูหมิ่นด้วยตาตัวเอง  เหลียนเช่อจึงยอมเล่าให้เขาฟังเพียงคนเดียว

  ส่วนที่อาเจี่ยนเล่าให้เหลียนฟางโจวฟังก็คือ “แน่นอนว่าเหลียนเช่อโดนเด็กสามสี่คนหาเรื่อง ทว่าเรื่องนี้อาเจ๋อบอกว่าเขาสามารถจัดการได้ จึงให้ข้าไม่ต้องบอกเจ้า และให้เลิกเป็นห่วงด้วย”

  เหลียนฟางโจวนิ่วหน้าน้อย ๆ อาเจี่ยนถึงเอ่ยปลอบว่า “ภายภาคหน้าพวกเขาจะต้องก้าวเข้าสู่สังคมทีละก้าว ๆ และยังต้องเผชิญเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ! ในเมื่ออาเจ๋อออกปากมาแล้ว เจ้าก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ ให้พวกเขาจัดการกันเองเถิด!” 

            เมื่อไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งเหลียนฟางโจวจึงพยักหน้า “ก็ได้ เพียงแต่ว่า ท่านช่วยฝากถ้อยความไปให้อาเจ๋อหน่อย เด็กพวกนั้น จะอย่างไร ก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเช่อเอ๋อร์  ไม่ว่าเขาจะออกหน้าตอบโต้แทนเช่อเอ๋อร์อย่างไร  ก็อย่าได้วู่วามเด็ดขาด  ขอให้รู้ไว้ว่า   จากนี้ไป เช่อเอ๋อร์ก็ยังต้องไปเรียนร่วมกับพวกนั้นอีก! มิหนำซ้ำ หากเรื่องนี้ลุกลามใหญ่โต รู้ถึงหูอาจารย์เมิ่งซึ่งอยู่ที่นั่นเข้า เขายิ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างปัญหาให้เช่อเอ๋อร์ได้!

            เหลียนเช่อโดนคนแกล้ง โดยไม่มีความผิด แต่เพราะเรื่องนี้ เหลียนเจ๋อจะตอบโต้เพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยความรุนแรง  แน่นอนว่าอาจมีคนไปรายงานอาจารย์เมิ่ง  และแล้วความประทับใจที่มีต่อการเรียนของเหลียนเช่อ  ย่อมสั่นคลอน

            ขอถามหน่อย มีบัณฑิตแท้ ๆสักกี่คน ที่สามารถแลกหมัดกับผู้อื่นได้บ่อย ๆ?

            และสำหรับพวกที่รังแกเหลียนเช่อ เหลียนฟางโจวไม่อาจมองพวกเขาในฐานะบัณฑิต เพียงแต่ในเมื่อฐานะทางบ้านของเด็กพวกนั้นยังพอไปได้ บิดามารดาย่อมส่งพวกเขาเข้าเรียนในสำนักศึกษา เพียงเพื่อพอให้รู้หนังสือบ้างก็เท่านั้น!

  เหนืออื่นใด เส้นทางการสอบเคอจวี่(การสอบเข้ารับราชการในราชสำนัก) นั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ถึงได้เป็นซิ่วไฉแล้ว(ผู้สอบผ่านเป็นบัณฑิตระดับท้องถิ่น) ก็มิใช่ว่าจะเก่งกาจจนสอบผ่านได้  อีกทั้งมีผู้ที่มุ่งมั่นจำนวนเท่าไรแล้ว ที่ร่ำเรียนหนักตั้งแต่เด็กยันแก่ผมขาว ทว่าก็ยังไม่สามารถผ่านด่านสอบเข้าไปได้! แล้วยิ่งชาวบ้านในชนบท จะมีสักกี่คนที่ตระหนักได้ และส่งเสียลูก ๆ ของพวกเขาร่ำเรียนจนหลุดพ้นจากสถานภาพเดิมได้?

  “ข้าบอกเขาไปแล้ว!”อาเจี่ยนระบายยิ้ม แล้วพูดขึ้น “อาเจ๋อมิใช่คนหุนหันพลันแล่นหรอกนะ”

            “อืม” เหลียนฟางโจวเปล่งเสียงในลำคอ แล้วยิ้มขอบคุณชายหนุ่ม พลางเอ่ยเสียงกดต่ำ “ท่านช่วยเร่งตามเรื่องนี้ให้หน่อย มีความคืบหน้าอันใด อย่าลืมเล่าให้ข้าฟังด้วยนะ!”

            “ย่อมเป็นเช่นนั้น!”อาเจี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

  วันต่อมา รวมถึงวันที่สาม ฝนยังคงตกอยู่ จากนั้นก็หยุดตกไปพักหนึ่ง แล้วก็หยุดๆ ตก ๆเช่นนี้ผ่านไปจนถึงวันที่ห้า หรือวันที่หก ท้องฟ้าจึงแจ่มใสเต็มที่

            เมฆลอยสูงอยู่ลิบ ๆ ผ่านช่วงฝนพรำอยู่หลายวัน  ดวงอาทิตย์ก็กลับมาส่องแสง ท้องฟ้าก็ปลอดโปร่งแจ่มใสเป็นพิเศษ อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของพื้นดิน

  โดยไม่ทันรู้ตัว ก็เข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว ต้นหลิวซึ่งขึ้นอยู่ริมแม่น้ำ และพุ่มวัชพืชที่ขึ้นตามทางลาดชันล้วนเผยเงาเหลือบเขียว ท่ามกลางสายลมอุ่นที่พัดผ่านมาระลอกแล้วระลอกเล่า

            บางครั้งยังสามารถเห็นนกสองหรือสามตัวบินผ่านไปมาอย่างว่องไว  เสียงร้องจ๊อกแจ๊กของพวกมัน ฟังดูไพเราะกระจ่างใส  ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น