วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 255 ขู่กรรโชก

          ทันทีที่ท้องฟ้าแจ่มใส  น้ำที่ขังบนผิวดินก็ระเหยกลายเป็นไอไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปเพียงสองวัน  นอกจากน้ำฝนที่ขังอยู่ในหลุมใหญ่ไม่กี่แห่งบนถนน ซึ่งลึกกว่าที่อื่นแล้ว พื้นที่ ๆ อื่น  ก็ไม่มีร่องรอยน้ำฝนให้เห็น

           หลังจากวันที่ตนเองถูกคนขวางไว้ และโดนรุมกลั่นแกล้ง ในตอนมีการปล่อยนักเรียนกลับบ้าน  หลังเลิกเรียนครั้งต่อมา เหลียนเช่อจะมารอเหลียนเจ๋อ ซึ่งขับรถเกวียนเทียมลามารับ อย่างเคร่งครัด  ช่วงที่ฝนตกมาสองสามวันนี้ เหลียนเจ๋อจะเอารถเกวียนเทียมลามารับน้องชายทุก ๆวัน

           หลังอาเจี่ยนนำถ้อยคำชี้แนะไปบอกกล่าว  ทุก ๆวันเหลียนเจ๋อจะไปถึงสำนักศึกษาก่อนเวลานิดหนึ่ง แล้วรออยู่ตรงประตูทางเข้า ไม่เพียมารอรับเหลียนเช่อ เด็กหนุ่มก็รับเหล่านักเรียนในโรงเรียนที่กลับทางเดียวกันไปส่งด้วย ซึ่งรวมถึงหยางเหวินจงกับหยางเหวินเซี่ยว

          ในวันที่ฝนตกเช่นนี้ การที่ต้องรีบเร่งเดินทางเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ  อีกทั้งมีเด็ก ๆ ในชนบทสักกี่คนที่ไม่ชอบนั่งรถไปเรียนหนังสือเล่า? ความเอื้อเฟื้อของเหลียนเจ๋อและเหลียนเช่อทำให้พวกเด็ก ๆยินดีปรีดา พวกเขาต่างสวมเสื้อกันฝนคลุมกาย  แล้วเรียงแถวขอบคุณคนทั้งสองคน พลางปีนขึ้นไปบนรถเกวียนทีละคน ๆ เแต่ละคนต่างยิ้มแฉ่ง และชื่นชมเหลียนเช่อกันยกใหญ่

          แม้กระทั่งอาจารย์เมิ่งยังพยักหน้ายอมรับแย้มยิ้มด้วยความชื่นชม  เด็กคนนี้มีรถเกวียนเทียมลาของที่บ้านมารับ ไม่เพียงไม่อวดเบ่งทะนงตนต่อหน้าผองเพื่อนแล้ว เขายังไม่ยอมรับพวกของกำนัลที่มีคนเสนอให้เพื่อหวังความสะดวกสบาย แต่ชอบที่จะเชิญเพื่อนนักเรียนนั่งเกวียนไปด้วยกันด้วยน้ำใสใจจริง  อายุยังเยาว์นัก แต่กลับไม่เย่อหยิ่ง ไม่หุนหันพลันแล่น ซ้ำจิตใจดีงาม สมแล้วที่เป็นคนหนึ่งซึ่งเขาให้ความสำคัญ

       เพียงไม่นาน เหลียนเช่อก็กลายเป็นคนมีชื่อเสียงขึ้นมา หยางเหวินจง หยางเหวินเซี่ยวกับพวก ต่างเกรงกลัวความผิดที่ก่อไว้  สองวันแรก พวกเขาไม่กล้าขึ้นรถเกวียนเทียมลาของสกุลเหลียนเลย ซ้ำยังวิตกว่าอีกฝ่ายจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านอาจารย์ก็เป็นได้!

  ในวันที่สาม เหลียนเช่อเป็นฝ่ายมาเชิญพวกเขา  อีกทั้ง พวกเขาเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าเอาเรื่องไปฟ้องอาจารย์สักนิดด้วย จึงยินดีปรีดา แล้วปีนขึ้นรถอย่างหยาบคาย พวกเขาเชื่อฝังหัวว่าเหลียนเช่อเกรงกลัวพวกตน  จึงแสดงท่าทางอวดดีอย่างย่ามใจ  ไม่เห็นหรือไร ว่าที่บ้านของเด็กคนนี้ร่ำรวยอู้ฟู่ไม่เบา หลังจากนั้นสองสามวัน ค่อยยึดเงินมันมาใช้จ่าย หากมันไม่มีเงิน มันก็น่าจะเอาของกินอร่อย ๆ ติดมาด้วย ไม่เช่นนั้นละก็...ฮึ่ม....

            พอพวกเขาคิดได้เช่นนั้น ก็ลงมือทำตามที่คิด

            ภายหลังที่ท้องฟ้ากลับมาสดใสแล้ว เหลียนเจ๋อจึงไม่ได้เอารถเกวียนเทียมลามารับอีก ส่วนเหล่านักเรียนคนอื่น ๆ ล้วนมิได้ติดใจอันใด เพราะเหนืออื่นใด ที่บ้านของเหลียนเช่อมิได้รวยล้นฟ้า ไยจะจัดหารถเกวียนมารับพวกเขาเป็นการเฉพาะได้เล่า? แค่ได้รับความสะดวกสบายในวันฝนตก ในใจของทุกคนล้วนซาบซึ้งในตัวเขานัก

            มิตรภาพซึ่งแปรเปลี่ยนมาจากความซาบซึ้งบุญคุณ ย่อมจะไม่เลือนหายไปพร้อมกับวันฝนตก และผู้คนที่อยากใกล้ชิด และเล่นสนุกกับเหลียนเช่อ นับวันจะมากขึ้นทุกที

            แต่หยาวเหวินจง และหยางเหวินเซี่ยวกับพวกหาได้คิดเช่นนั้นไม่  ตอนเที่ยงวันนี้ได้ฉวยจังหวะที่คนอื่น ๆ เผลอ คว้าตัวเหลียนเช่อลากไปตรงมุมห้อง พลางถามขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “เหลียนเช่อ สองวันมานี้พี่ชายเจ้า ไฉนไม่ขับรถมารับพวกเราเลยเล่า?”

            ดวงตาดำขลับคู่นั้นของเหลียนเช่อ ทอดมองพวกเขานิ่ง ๆ  ทันใดนั้นให้รู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมานิด ๆ

            ดูสิ พวกเขามีสิทธิ์อะไรมาตั้งคำถามนี้กับเขาอย่างมั่นใจเสียเหลือเกิน ทำราวกับเขาเป็นหนี้พวกนี้อย่างนั้นแหละ

            “ที่บ้านข้าต้องใช้รถน่ะ อีกอย่างเดิมทีข้าก็เดินกลับบ้านเองอยู่แล้ว และเพื่อสะดวกต่อการเดินทางในวันฝนตกไม่กี่วันนั้น พี่รองของข้าจึงสามารถมารับข้าได้” เหลียนเช่อสบตาพวกเขา พลางอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

    “เฮอะ” หยางเหวินเซี่ยวแค่นเสียง พลางขึงตาใส่อีกฝ่าย “ข้าว่าไม่ใช่ละมั้ง? ข้าว่าเจ้าคิดว่าพวกเราทุกคนเอาเปรียบเจ้าละสิ เพราะฉะนั้น ก็เลยไม่อยากให้รถที่บ้านมาอีก! เหลียนเช่อ เจ้ามันตระหนี่เกินไปแล้ว!”

            “ใช่ ๆ !” หยางเหวินจงถลึงตาใส่แล้วเอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้ก็สั่งพี่ชายเจ้าขับรถมาอีกล่ะ ยิ่งกว่านั้น เริ่มจากพรุ่งนี้ไป เอาพี่น้องเราสองคนไปส่งที่หมู่บ้านสกุลหยางด้วยล่ะ!”

            เหลียนเช่อจ้องมองพวกเขานิ่ง ๆ  พลางเม้มปากแน่น

            หยางเหวินเซี่ยวพลันเกิดโทสะ  เอ่ยอย่างเดือดดาล “อะไรนะ?  เจ้าไม่อยากทำรึ? เหลียนเช่อ เจ้ากล้าไม่ยินยอมรึ?”

  ดวงตาเหลียนเช่อเรืองวาบ ไยเขาจะไม่กล้าเล่า?  อีกอย่างเขาไม่ได้เป็นหนี้พวกนี้เสียหน่อย!

           หยางเหวินจง ทำท่าโบกกำปั้นไปมาเป็นการเตือน  เขาพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำ “เจ้ากล้าไม่ยินยอม ก็ระวังกำปั้นพวกข้าไว้ให้ดี ! ฮึ่ม อย่าคิดว่าพวกข้าลงโทษเจ้าไม่ได้! โดนสั่งสอนไปครั้งที่แล้วยังไม่เข็ดอีกรึ?”

           “บ้านข้ามีรถแค่คันเดียวจริง ๆนะ  ข้าเอาไปใช้เป็นของตัวเองได้ที่ไหน? ไม่เช่นนั้น ข้าคงให้รถมารับตั้งแต่เริ่มเรียนวันแรกแล้ว!” เหลียนเช่อเอ่ยเสียงเบา แล้วทำตาปริบ ๆ ดวงตากระจ่างใสแวววาว ดูใสซื่อและจริงใจ ไม่มีใครสงสัยว่าเขาโกหกเลย

           หยางเหวินเซี่ยวกับหยางเหวินจงย่อมตระหนักได้ว่า เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ การที่ให้รถเกวียนเทียมลาของสกุลเหลียน  ไปส่งพวกเขากลับบ้านทุกวันนั้น นั่นเป็นเพียงคำพูดที่จงใจให้อีกฝ่ายลำบากขึ้นไปอีก หากพวกเขากล้าทำเช่นนั้นจริง ๆ พี่ชายคนรองของเหลียนเช่อจะยังไม่บอกผู้ใหญ่ที่บ้านได้รึ? หากเกิดพูดไป ผู้ใหญ่จะไม่ตั้งคำถามได้อย่างไร? หากเรื่องที่พวกเขารังแกเหลียนเช่อ โดนผู้คนล่วงรู้เข้า คนที่ต้องทรมานกับการโดนสั่งสอน แน่นอนก็คือพวกเขาต่างหาก

          พวกเขาสองคนขี้โกงและเจ้าเล่ห์มาตั้งแต่เด็ก ผ่านประสบการณ์รังแกคนอ่อนแอกว่ามานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งขั้นแรกจะใช้ถ้อยคำรุนแรงป่าเถื่อนขู่ใส่ จากนั้นก็ผ่อนปรนถอยให้หนึ่งก้าว เพื่อให้อีกฝ่ายโล่งใจ แล้วยอมศิโรราบทำตามคำสั่งพวกเขาโดยง่าย

         พวกขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่า เรียกราคาให้สูง ๆไว้ก่อน แล้วค่อยยื่นข้อเสนอที่ดีกว่าจนอีกฝ่ายต้องคว้าไว้ แต่ถึงอย่างไร พวกเขาก็แสดงบทบาทนี้ได้อย่างน่ายกย่องนัก

            ทั้งสองคนได้ฟังวาจานี้แล้ว ต่างก็แลกเปลี่ยนสายตากัน หนึ่งในนั้น ก็ยกวาจานี้มาดุด่าสั่งสอนเหลียนเช่อ ครั้นแล้วก็เข้าประเด็นด้วยใบหน้าเมตตาปราณี “ไม่เป็นไร ! ดูเจ้าท่าทางน่าสงสารนัก ! เราไม่รบกวนเจ้าแล้ว เจ้าก็ร่ำรวยมิใช่รึ? พรุ่งนี้เอาเงินมาสัก 4-5 อีแปะนะ!”

            หยางเหวินเซี่ยวเอ่ยเสริม “หากมีมาก ก็เอามาให้มากกว่านี้อีกหน่อย!  ปกติเจ้าไม่พกมาสักหนึ่งอีแปะ ไม่พกมาเลยหรือไร? หากไม่มีล่ะก็ ฮึ่ม!”

            คนทั้งสองถลึงตาสองคู่ใส่เหลียนเช่ออย่างดุร้ายหมายขมขู่

            เดิมทีพวกเขายังคิดใช้กำลังหมายให้เหลียนเช่อยอมศิโรราบด้วยดี  แต่ไม่นึกเลยว่า เหลียนเช่อไม่รอให้พวกเขาพูดอะไรเลย แต่กลับรับปากทันที “ได้.... ข้ายังมีเงินอีแปะจำนวนหนึ่ง ที่พี่สาวข้าให้เป็นเงินติดตัว ไว้พรุ่งนี้ข้าจะนำเงินมาให้พวกเจ้า”

            หยางเหวินจง กับหยางเหวินเซี่ยว รีบเอ่ยทันที “แล้วมีทั้งหมดเท่าไรล่ะ?”

            เหลียนเช่อตอบ “ราว ๆ 4-5 อีแปะน่ะ

            นับว่าไม่น้อยเลย หยางเหวินจง กับหยางเหวินเซี่ยวหัวใจพองโต พูดขึ้นอีก “เช่นนั้น...พรุ่งนี้เจ้าก็อย่าลืมเอามาเด็ดขาด! ไม่เช่นนั้นละก็ ก็อย่าได้ตำหนิ ที่กำปั้นของพวกเราพี่น้อง แยกแยะคนไม่ได้!” จากนั้นก็พูดต่อ “ คราวหน้าคราวหลัง หากที่บ้านเจ้าให้เงินติดตัวมาอีก ก็เอามาให้พวกข้าทั้งหมดเล่า มีอะไรอร่อย ๆ ก็อย่าลืมเอามาให้ด้วยเล่า! บ้านเจ้าให้เงินเจ้าติดตัวบ่อยแค่ไหน...หืม?

            เหลียนเช่อสะกดกลั้นความชิงชังอันล้นเหลือในใจ  พลางจัดการกับคำถามของพวกเขาอย่างขอไปที

            สองคนพี่น้องต่างยินดีปรีดายิ่งนัก

            ขณะที่คนทั้งหมดสนทนากันอยู่ จางควนก็บังเอิญเดินผ่านมาพอดี พอเห็นเข้าก็ตะลึงไป และร้องออกมา “เหลียนเช่อ! พวกเจ้ามาทำอะไรกันตรงนี้เนี่ย?

            หยางเหวินจง กับหยางเหวินเซี่ยวตื่นตระหนก แล้วหันไปจ้องจางควน พลางแค่นเสียงใส่  จากนั้นจึงเอ่ยกับเหลียนเช่อ “อย่าลืมเรื่องที่พูดกันเมื่อครู่นี้นะ! พวกเรา...ไป!”

            สองคนนั้นเดินจากไปด้วยท่าทางวางก้ามใหญ่โต และย่อมไม่เหลือบแลจางควนด้วย

            เหลียนเช่อ พวกเขามิได้รังแกเจ้าใช่ไหม?” จางควนเดินเข้ามาถามทันที

            จางควนมาเรียนที่สำนักศึกษาตั้งแต่ปีที่แล้ว  ซ้ำญาติชายผู้พี่เขาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทและอยู่บ้านติดกัน ก็เรียนที่นี่ด้วย หยางเหวินจงผู้เป็นน้องไม่กล้ารังแกเขาเลย

  “ไม่มีอันใด!” เหลียนเช่อสั่นศีรษะพร้อมรอยยิ้ม

            จางควนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และก็ไม่คิดซักไซ้ต่อ พลางเอ่ยยิ้มแย้ม “ไม่มีก็ดี! พวกเขาสองคนชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ รังแกคน! หากพวกนั้นรังแกเจ้า เจ้ามาบอกข้าเลยนะ!”

            “อื้ม! หากพวกเขารังแกข้า ข้าจะบอกเจ้าแน่!” เหลียนเช่อผงกศีรษะขอบคุณ  แล้วทังสองก็เดินไปด้วยกัน พลางคุยหัวเราะหยอกล้อกันไปด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น