ทันทีที่ท้องฟ้าแจ่มใส น้ำที่ขังบนผิวดินก็ระเหยกลายเป็นไอไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปเพียงสองวัน นอกจากน้ำฝนที่ขังอยู่ในหลุมใหญ่ไม่กี่แห่งบนถนน ซึ่งลึกกว่าที่อื่นแล้ว พื้นที่ ๆ อื่น ก็ไม่มีร่องรอยน้ำฝนให้เห็น
หลังจากวันที่ตนเองถูกคนขวางไว้ และโดนรุมกลั่นแกล้ง
ในตอนมีการปล่อยนักเรียนกลับบ้าน หลังเลิกเรียนครั้งต่อมา
เหลียนเช่อจะมารอเหลียนเจ๋อ ซึ่งขับรถเกวียนเทียมลามารับ อย่างเคร่งครัด ช่วงที่ฝนตกมาสองสามวันนี้
เหลียนเจ๋อจะเอารถเกวียนเทียมลามารับน้องชายทุก ๆวัน
หลังอาเจี่ยนนำถ้อยคำชี้แนะไปบอกกล่าว
ทุก ๆวันเหลียนเจ๋อจะไปถึงสำนักศึกษาก่อนเวลานิดหนึ่ง แล้วรออยู่ตรงประตูทางเข้า
ไม่เพียมารอรับเหลียนเช่อ เด็กหนุ่มก็รับเหล่านักเรียนในโรงเรียนที่กลับทางเดียวกันไปส่งด้วย
ซึ่งรวมถึงหยางเหวินจงกับหยางเหวินเซี่ยว
ในวันที่ฝนตกเช่นนี้ การที่ต้องรีบเร่งเดินทางเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ อีกทั้งมีเด็ก ๆ ในชนบทสักกี่คนที่ไม่ชอบนั่งรถไปเรียนหนังสือเล่า?
ความเอื้อเฟื้อของเหลียนเจ๋อและเหลียนเช่อทำให้พวกเด็ก ๆยินดีปรีดา พวกเขาต่างสวมเสื้อกันฝนคลุมกาย
แล้วเรียงแถวขอบคุณคนทั้งสองคน พลางปีนขึ้นไปบนรถเกวียนทีละคน
ๆ เแต่ละคนต่างยิ้มแฉ่ง และชื่นชมเหลียนเช่อกันยกใหญ่
แม้กระทั่งอาจารย์เมิ่งยังพยักหน้ายอมรับแย้มยิ้มด้วยความชื่นชม เด็กคนนี้มีรถเกวียนเทียมลาของที่บ้านมารับ
ไม่เพียงไม่อวดเบ่งทะนงตนต่อหน้าผองเพื่อนแล้ว เขายังไม่ยอมรับพวกของกำนัลที่มีคนเสนอให้เพื่อหวังความสะดวกสบาย
แต่ชอบที่จะเชิญเพื่อนนักเรียนนั่งเกวียนไปด้วยกันด้วยน้ำใสใจจริง อายุยังเยาว์นัก แต่กลับไม่เย่อหยิ่ง
ไม่หุนหันพลันแล่น ซ้ำจิตใจดีงาม สมแล้วที่เป็นคนหนึ่งซึ่งเขาให้ความสำคัญ
เพียงไม่นาน เหลียนเช่อก็กลายเป็นคนมีชื่อเสียงขึ้นมา
หยางเหวินจง หยางเหวินเซี่ยวกับพวก ต่างเกรงกลัวความผิดที่ก่อไว้ สองวันแรก พวกเขาไม่กล้าขึ้นรถเกวียนเทียมลาของสกุลเหลียนเลย
ซ้ำยังวิตกว่าอีกฝ่ายจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านอาจารย์ก็เป็นได้!
ในวันที่สาม
เหลียนเช่อเป็นฝ่ายมาเชิญพวกเขา อีกทั้ง
พวกเขาเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าเอาเรื่องไปฟ้องอาจารย์สักนิดด้วย จึงยินดีปรีดา
แล้วปีนขึ้นรถอย่างหยาบคาย พวกเขาเชื่อฝังหัวว่าเหลียนเช่อเกรงกลัวพวกตน จึงแสดงท่าทางอวดดีอย่างย่ามใจ ไม่เห็นหรือไร ว่าที่บ้านของเด็กคนนี้ร่ำรวยอู้ฟู่ไม่เบา
หลังจากนั้นสองสามวัน ค่อยยึดเงินมันมาใช้จ่าย หากมันไม่มีเงิน มันก็น่าจะเอาของกินอร่อย
ๆ ติดมาด้วย ไม่เช่นนั้นละก็...ฮึ่ม....
พอพวกเขาคิดได้เช่นนั้น
ก็ลงมือทำตามที่คิด
ภายหลังที่ท้องฟ้ากลับมาสดใสแล้ว
เหลียนเจ๋อจึงไม่ได้เอารถเกวียนเทียมลามารับอีก ส่วนเหล่านักเรียนคนอื่น ๆ ล้วนมิได้ติดใจอันใด
เพราะเหนืออื่นใด ที่บ้านของเหลียนเช่อมิได้รวยล้นฟ้า ไยจะจัดหารถเกวียนมารับพวกเขาเป็นการเฉพาะได้เล่า? แค่ได้รับความสะดวกสบายในวันฝนตก
ในใจของทุกคนล้วนซาบซึ้งในตัวเขานัก
มิตรภาพซึ่งแปรเปลี่ยนมาจากความซาบซึ้งบุญคุณ
ย่อมจะไม่เลือนหายไปพร้อมกับวันฝนตก และผู้คนที่อยากใกล้ชิด และเล่นสนุกกับเหลียนเช่อ
นับวันจะมากขึ้นทุกที
แต่หยาวเหวินจง
และหยางเหวินเซี่ยวกับพวกหาได้คิดเช่นนั้นไม่ ตอนเที่ยงวันนี้ได้ฉวยจังหวะที่คนอื่น ๆ เผลอ
คว้าตัวเหลียนเช่อลากไปตรงมุมห้อง พลางถามขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “เหลียนเช่อ
สองวันมานี้พี่ชายเจ้า ไฉนไม่ขับรถมารับพวกเราเลยเล่า?”
ดวงตาดำขลับคู่นั้นของเหลียนเช่อ
ทอดมองพวกเขานิ่ง ๆ ทันใดนั้นให้รู้สึกอยากหัวเราะขึ้นมานิด
ๆ
ดูสิ
พวกเขามีสิทธิ์อะไรมาตั้งคำถามนี้กับเขาอย่างมั่นใจเสียเหลือเกิน ทำราวกับเขาเป็นหนี้พวกนี้อย่างนั้นแหละ
“ที่บ้านข้าต้องใช้รถน่ะ
อีกอย่างเดิมทีข้าก็เดินกลับบ้านเองอยู่แล้ว และเพื่อสะดวกต่อการเดินทางในวันฝนตกไม่กี่วันนั้น
พี่รองของข้าจึงสามารถมารับข้าได้” เหลียนเช่อสบตาพวกเขา
พลางอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย
“เฮอะ” หยางเหวินเซี่ยวแค่นเสียง
พลางขึงตาใส่อีกฝ่าย “ข้าว่าไม่ใช่ละมั้ง? ข้าว่าเจ้าคิดว่าพวกเราทุกคนเอาเปรียบเจ้าละสิ
เพราะฉะนั้น ก็เลยไม่อยากให้รถที่บ้านมาอีก!
เหลียนเช่อ เจ้ามันตระหนี่เกินไปแล้ว!”
“ใช่
ๆ !” หยางเหวินจงถลึงตาใส่แล้วเอ่ยขึ้น
“พรุ่งนี้ก็สั่งพี่ชายเจ้าขับรถมาอีกล่ะ ยิ่งกว่านั้น เริ่มจากพรุ่งนี้ไป
เอาพี่น้องเราสองคนไปส่งที่หมู่บ้านสกุลหยางด้วยล่ะ!”
เหลียนเช่อจ้องมองพวกเขานิ่ง
ๆ พลางเม้มปากแน่น
หยางเหวินเซี่ยวพลันเกิดโทสะ เอ่ยอย่างเดือดดาล “อะไรนะ? เจ้าไม่อยากทำรึ? เหลียนเช่อ
เจ้ากล้าไม่ยินยอมรึ?”
ดวงตาเหลียนเช่อเรืองวาบ
ไยเขาจะไม่กล้าเล่า? อีกอย่างเขาไม่ได้เป็นหนี้พวกนี้เสียหน่อย!
หยางเหวินจง
ทำท่าโบกกำปั้นไปมาเป็นการเตือน เขาพูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำ
“เจ้ากล้าไม่ยินยอม ก็ระวังกำปั้นพวกข้าไว้ให้ดี ! ฮึ่ม
อย่าคิดว่าพวกข้าลงโทษเจ้าไม่ได้!
โดนสั่งสอนไปครั้งที่แล้วยังไม่เข็ดอีกรึ?”
“บ้านข้ามีรถแค่คันเดียวจริง ๆนะ ข้าเอาไปใช้เป็นของตัวเองได้ที่ไหน?
ไม่เช่นนั้น ข้าคงให้รถมารับตั้งแต่เริ่มเรียนวันแรกแล้ว!”
เหลียนเช่อเอ่ยเสียงเบา แล้วทำตาปริบ ๆ ดวงตากระจ่างใสแวววาว ดูใสซื่อและจริงใจ
ไม่มีใครสงสัยว่าเขาโกหกเลย
หยางเหวินเซี่ยวกับหยางเหวินจงย่อมตระหนักได้ว่า
เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ การที่ให้รถเกวียนเทียมลาของสกุลเหลียน ไปส่งพวกเขากลับบ้านทุกวันนั้น นั่นเป็นเพียงคำพูดที่จงใจให้อีกฝ่ายลำบากขึ้นไปอีก
หากพวกเขากล้าทำเช่นนั้นจริง ๆ พี่ชายคนรองของเหลียนเช่อจะยังไม่บอกผู้ใหญ่ที่บ้านได้รึ? หากเกิดพูดไป
ผู้ใหญ่จะไม่ตั้งคำถามได้อย่างไร?
หากเรื่องที่พวกเขารังแกเหลียนเช่อ โดนผู้คนล่วงรู้เข้า คนที่ต้องทรมานกับการโดนสั่งสอน
แน่นอนก็คือพวกเขาต่างหาก
พวกเขาสองคนขี้โกงและเจ้าเล่ห์มาตั้งแต่เด็ก
ผ่านประสบการณ์รังแกคนอ่อนแอกว่ามานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งขั้นแรกจะใช้ถ้อยคำรุนแรงป่าเถื่อนขู่ใส่
จากนั้นก็ผ่อนปรนถอยให้หนึ่งก้าว เพื่อให้อีกฝ่ายโล่งใจ
แล้วยอมศิโรราบทำตามคำสั่งพวกเขาโดยง่าย
พวกขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่า
เรียกราคาให้สูง ๆไว้ก่อน แล้วค่อยยื่นข้อเสนอที่ดีกว่าจนอีกฝ่ายต้องคว้าไว้ แต่ถึงอย่างไร
พวกเขาก็แสดงบทบาทนี้ได้อย่างน่ายกย่องนัก
ทั้งสองคนได้ฟังวาจานี้แล้ว
ต่างก็แลกเปลี่ยนสายตากัน หนึ่งในนั้น ก็ยกวาจานี้มาดุด่าสั่งสอนเหลียนเช่อ
ครั้นแล้วก็เข้าประเด็นด้วยใบหน้าเมตตาปราณี “ไม่เป็นไร !
ดูเจ้าท่าทางน่าสงสารนัก !
เราไม่รบกวนเจ้าแล้ว เจ้าก็ร่ำรวยมิใช่รึ? พรุ่งนี้เอาเงินมาสัก
4-5 อีแปะนะ!”
หยางเหวินเซี่ยวเอ่ยเสริม
“หากมีมาก ก็เอามาให้มากกว่านี้อีกหน่อย! ปกติเจ้าไม่พกมาสักหนึ่งอีแปะ ไม่พกมาเลยหรือไร? หากไม่มีล่ะก็
ฮึ่ม!”
คนทั้งสองถลึงตาสองคู่ใส่เหลียนเช่ออย่างดุร้ายหมายขมขู่
เดิมทีพวกเขายังคิดใช้กำลังหมายให้เหลียนเช่อยอมศิโรราบด้วยดี
แต่ไม่นึกเลยว่า เหลียนเช่อไม่รอให้พวกเขาพูดอะไรเลย
แต่กลับรับปากทันที “ได้.... ข้ายังมีเงินอีแปะจำนวนหนึ่ง
ที่พี่สาวข้าให้เป็นเงินติดตัว ไว้พรุ่งนี้ข้าจะนำเงินมาให้พวกเจ้า”
หยางเหวินจง
กับหยางเหวินเซี่ยว รีบเอ่ยทันที “แล้วมีทั้งหมดเท่าไรล่ะ?”
เหลียนเช่อตอบ
“ราว ๆ 4-5 อีแปะน่ะ”
นับว่าไม่น้อยเลย
หยางเหวินจง กับหยางเหวินเซี่ยวหัวใจพองโต พูดขึ้นอีก
“เช่นนั้น...พรุ่งนี้เจ้าก็อย่าลืมเอามาเด็ดขาด! ไม่เช่นนั้นละก็
ก็อย่าได้ตำหนิ ที่กำปั้นของพวกเราพี่น้อง แยกแยะคนไม่ได้!”
จากนั้นก็พูดต่อ “ คราวหน้าคราวหลัง หากที่บ้านเจ้าให้เงินติดตัวมาอีก
ก็เอามาให้พวกข้าทั้งหมดเล่า มีอะไรอร่อย ๆ ก็อย่าลืมเอามาให้ด้วยเล่า! บ้านเจ้าให้เงินเจ้าติดตัวบ่อยแค่ไหน...หืม?”
เหลียนเช่อสะกดกลั้นความชิงชังอันล้นเหลือในใจ
พลางจัดการกับคำถามของพวกเขาอย่างขอไปที
สองคนพี่น้องต่างยินดีปรีดายิ่งนัก
ขณะที่คนทั้งหมดสนทนากันอยู่
จางควนก็บังเอิญเดินผ่านมาพอดี พอเห็นเข้าก็ตะลึงไป และร้องออกมา “เหลียนเช่อ! พวกเจ้ามาทำอะไรกันตรงนี้เนี่ย?”
หยางเหวินจง
กับหยางเหวินเซี่ยวตื่นตระหนก แล้วหันไปจ้องจางควน พลางแค่นเสียงใส่ จากนั้นจึงเอ่ยกับเหลียนเช่อ
“อย่าลืมเรื่องที่พูดกันเมื่อครู่นี้นะ! พวกเรา...ไป!”
สองคนนั้นเดินจากไปด้วยท่าทางวางก้ามใหญ่โต
และย่อมไม่เหลือบแลจางควนด้วย
เหลียนเช่อ
พวกเขามิได้รังแกเจ้าใช่ไหม?” จางควนเดินเข้ามาถามทันที
จางควนมาเรียนที่สำนักศึกษาตั้งแต่ปีที่แล้ว
ซ้ำญาติชายผู้พี่เขาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทและอยู่บ้านติดกัน
ก็เรียนที่นี่ด้วย หยางเหวินจงผู้เป็นน้องไม่กล้ารังแกเขาเลย
“ไม่มีอันใด!” เหลียนเช่อสั่นศีรษะพร้อมรอยยิ้ม
จางควนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
และก็ไม่คิดซักไซ้ต่อ
พลางเอ่ยยิ้มแย้ม “ไม่มีก็ดี! พวกเขาสองคนชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ รังแกคน! หากพวกนั้นรังแกเจ้า
เจ้ามาบอกข้าเลยนะ!”
“อื้ม! หากพวกเขารังแกข้า
ข้าจะบอกเจ้าแน่!” เหลียนเช่อผงกศีรษะขอบคุณ
แล้วทังสองก็เดินไปด้วยกัน พลางคุยหัวเราะหยอกล้อกันไปด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น