วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 771 ดูเหมือนนางจะลืมเปี่ยวเกอไปนานแล้ว

      ในจวนเล็ก ๆในตรอกเทียนเซ่วจิ่ง ทางตอนใต้ของกรุงปักกิ่งเมืองหลวง ซูซินเอ๋อร์และซุนหมิงกำลังรับสำรับมื้อเย็นเร็วขึ้นกว่าปกติ ดังเช่นคนอื่น ๆ เพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอก


     ซูซินเอ๋อร์ผู้ซึ่งอารมณ์ดีขึ้นมากมาชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว ยามนี้กำลังนั่งอยู่หน้าคันฉ่องแต่งหน้า นางสั่งให้จู๋เซียงหวีผมและแต่งตัวให้ตนเอง

     บางครั้ง หญิงสาวก็เม้มปาก บางครั้งก็ยิ้ม ดวงตาคู่โตนั้น ซึ่งตาดำตัดกับตาขาวชัดเจน ทอประกายแห่งความเบิกบานยินดีและความคาดหวัง

     จู๋เซียงเหลือบมองฮูหยินน้อยที่หมู่นี้ค่อนข้างเปล่งปลั่งสดใส   วันนี้นายหญิงสวมชุดคลุมสีชมพูคอป้าย ปักลายเมฆงดงาม และกระโปรงจับจีบรอบตัว ซึ่งลงตัวเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นสีหรือแบบเสื้อ  มือของสาวใช้เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ยามเกล้าผมดำมันขลับนั้น ผู้เป็นสาวใช้จึงอดยิ้มไม่ได้ "ที่จริงแล้วฮูหยินน้อยดูดีขึ้นเรื่อยๆเลยนะเจ้าคะ! บ่าวดีใจที่เห็นฮูหยินน้อยเป็นแบบนี้! "

     ซูซินเอ๋อร์เหลือบมองตัวเองในคันฉ่องโดยไม่รู้ตัว แล้วยิ้มออกมา "เจ้าไปเรียนรู้คำพูดปากหวานนี้มาตั้งแต่เมื่อไร?" 

     จู๋เซียงร้องออกมาพร้อมรอยยิ้ม "สิ่งที่บ่าวพูดมาเป็นเรื่องจริงนะเจ้าคะ! หากฮูหยินน้อยไม่เชื่อ ก็ลองถามนายน้อยดูสิเจ้าคะ! จะต้องพูดเหมือนกันแน่ๆ! "

     ซุนหมิงรึ? ซูซินเอ๋อร์รู้สึกเขินเล็กน้อย มีร่องรอยของอารมณ์ที่ไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไรปราฏกขึ้นในดวงตา ขณะที่หัวใจของนางวูบไหวโดยไม่ทราบสาเหตุ

     หญิงสาวจึงรีบเงยหน้าขึ้นมาแค่นเสียง แล้วเหลือบมองจู๋เซียงในคันฉ่อง พลางเอ่ยเสียงกดต่ำ "คิดหรือว่าเขาจะพูดเช่นนั้นรึ! เจ้าฝันกลางวันแล้ว! "

     หากไม่ใช่เพราะเขา นางจะตกลงมาในจุดนี้ไหม? หากไม่ใช่เพราะเขา บางทีนางอาจจะสามารถสานความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นกับเปี่ยวเกอให้ติดได้สักวัน!

     เปี่ยวเกอรึ ?

     ซูซินเอ๋อร์รู้สึกละอายใจขึ้นมาหน่อยๆอีกครั้ง  ทันใดนั้นนางก็พบว่า ดูคล้ายว่านางจะไม่คิดถึงเปี่ยวเกอของนางมาเป็นเวลานานแล้ว คงเพราะมัวแต่สู้รบปรบมือกับเจ้าสัตว์ร้ายตัวนั้น นางจึงลืมคิดถึงเปี่ยวเกอคนที่นางชอบไป

    ซูซินเอ๋อร์จึงรู้สึกหงุดหงิดอยู่ครู่หนึ่ง และอดนึกหงุดหงิดรําคาญซุนหมิงอีกครั้งไม่ได้

   เมื่อจู๋เซียงเห็นว่าท่าทีของฮูหยินน้อยของนางกลายเป็นคลุมเครืออีกครั้ง ก็อดแอบนึกหงุดหงิดใจไม่ได้ รู้อย่างนี้นางไม่น่าพูดมากเลย!

    เอาอีกแล้ว ใครจะไปรู้ว่า ฮูหยินน้อยจะกลับมาเปลี่ยนเป็นคนเจ้าอารมณ์ เมื่อนางพูดมาอย่างนั้น!

   เมื่อนางมองอีกฝ่ายมาช่วงหลายวันนี้ ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของฮูหยินน้อยกับท่านเขยก็ดูไม่เลวเลย แต่ใครจะไปรู้เล่าว่าสุดท้ายก็ยังคงเหมือนเดิม…

    จู๋เซียงอดสวดภาวนาอ้อนวอนอย่างลับๆไม่ได้ : ขออย่าให้คำพูดของนาง เป็นเหตุให้ฮูหยินน้อยไปหาเรื่องทะเลาะกับท่านเขยเลย! มิฉะนั้น มันจะกลายเป็นบาปกรรมของนางเองจริงๆ!

   เฮ้อ เหตุใดฮูหยินน้อยถึงขุ่นเคืองอีกแล้ว เห็นอยู่ชัดๆว่า เวลาทะเลาะกับท่านเขยทีไร ก็ไม่เคยชนะซ้ำยังต้องมานั่งโมโหแทบตายอีก แล้วอย่างนี้ยังจะหาเรื่องทะเลาะซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกนะ - อะมิตตาพุทธ ไม่ควรๆ! ข้าเป็นบ่าว ข้าไม่ควรพูดจานินทาเจ้านาย

   จู๋เซียงรู้สึกตกใจ จึงรีบปัดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นออกไปโดยเร็ว แล้วเร่งมือเกล้าผมของเจ้านายอย่างรวดเร็ว แล้วสวมปิ่นระย้าทองคำให้ซูซินเอ๋อร์

   "เรียบร้อยใช่ไหม? ออกไปกันตอนนี้เถอะ!” ซุนหมิงรอนานจนเกินเวลามามากแล้ว ชายหนุ่มจึงอดเลิกม่านเข้ามาดูไม่ได้

   อันที่จริงซูซินเอ๋อร์ไม่โกรธอันใด แต่เพื่อแสดงให้เห็นว่านางจะไม่ปรองดองกับเขา เพราะนางยังทุ่มเทหัวใจให้กับเปี่ยวเกอของนางอยู่ หญิงสาวจึงเอ่ยอย่างเย็นชาโดยไม่หันหน้าไปมอง: "อะไร? อดทนรอไม่ไหวเหรอ? หากใจร้อนรอไม่ไหว ก็ไปเองเลยไป! ข้าไม่ได้ขอร้องให้ท่านรอข้านี่! "

    จู๋เซียงสะดุ้งตกใจ แล้วยิ่งโมโหตัวเองที่ก่อนหน้านั้น นางไม่น่าพูดมากเลย เป็นดังคาด ฮูหยินน้อยกลับมาดื้อรั้นเจ้าอารมณ์อีกแล้ว!

    ซุนหมิงสับสนเล็กน้อย เมื่อได้ยินถ้อยคำที่เจือความโกรธและความรังเกียจอย่างชัดแจ้งของหญิงสาว: เส้นประสาทของสตรีผู้นี้เป็นอะไรไปอีกแล้ว?

    วันนี้คือวันที่จัดงานเทศกาลดีๆ ชายหนุ่มไม่อยากจิตใจขุ่นมัว เพราะเรื่องทะเลาะกัน เขาจึงสะกดกลั้นความโกรธ แล้วพูดขึ้นว่า "ข้าจะรอเจ้าอยู่ข้างนอก เก็บของเสร็จก็ออกมาเลยนะ! หากสายกกว่านี้อีก จะมีคนคนบนถนนมากขึ้น ข้ากลัวว่ารถม้าจะขับเข้าไปถึงด้านในไม่ได้  พวกเราคงต้องเดินเข้าไป! "

   พอกล่าวจบ ชายหนุ่มก็หมุนตัว แล้วเดินออกไปด้านนอกอีกครั้ง

    ซูซินเอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่โกรธอะไรมากมาย จึงนิ่งอึ้งไปทันใด

    พอได้สติกลับมา หญิงสาวก็แค่นเสียงอีกครั้ง

    จู๋เซียงไม่กล้าพูดอะไรมากอีกต่อไป ได้แต่ยืนตัวลีบประสานมือค้อมหัวอยู่ด้านข้าง

   ซูซินเอ๋อร์แกล้งนั่งนิ่งเอ้อระเหยอยู่เป็นนาน จากนั้นจึงได้ฤกษ์ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปข้างนอก

   จู๋เซียงรู้สึกโล่งใจเป็นอันมาก ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองเจ้านาย

   ซุนหมิงนั่งรออยู่ข้างนอก พร้อมหนังสือในมือ เขาพลิกหน้ากระดาษผ่านๆ เมื่อเห็นหญิงสาวเดิออกมาแล้ว ชายหนุ่มก็วางหนังสือลงข้างๆเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: "เรียบร้อยแล้วหรือ? ไปกันเถอะ! จู๋เซียง เจ้าไปเอาเสื้อคลุมมาให้ฮูหยินน้อยสิ "

   จู๋เซียงรีบรับคำ ใบหน้าของซูซินเอ๋อร์ผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี เป็นครั้งแรกที่นางเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ และรู้สึกกระอักกระอ่วนใจทำอะไรไม่ถูก

   จู๋เซียงเอาเสื้อคลุมมา ซุนหมิงเห็นเจ้านายและคนรับใช้ทั้งสองยังดูนิ่งเป็นใบ้อยู่ คนหนึ่งไม่ได้บอกว่าจะผูกเสื้อคลุมให้เจ้านาย ส่วนอีกคนก็ไม่รู้จักสั่ง เขาจึงรับเป็นธุระ หยิบเสื้อคลุมเอามาสวมให้ซูซินเอ๋อร์ พร้อมผูกเงื่อนให้

     ซูซินเอ๋อร์ตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อย ทันใดนั้นนางก็มีความรู้สึกอยากจะวิ่งหนีนัก!

   ให้ตายสิ เมื่อไหร่กันที่นางรู้สึกเริ่มกลัวเขา ไม่ใช่ว่านางชอบสาดคำพุดรุนแรงทุกชนิด พร้อมทั้งแค่นเสียงใส่เขาหรอกหรือ? และในเวลานี้นางก็สามารถปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้า และยังสามารถพูดเหน็บแนมประชดประชันอย่างแรงได้อีกสองสามประโยค แต่ทําไมคอของนางราวกับถูกอะไรบางอย่างอุดไว้ จนนางไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้แม้เพียงครึ่งคำเล่า?

    จนกระทั่งเข้าไปในรถม้า ซูซินเอ๋อร์ก็ยังคงสับสน จนจับต้นชนปลายไม่ถูก

   ซุนหมิงเองก็สังเกตเห็นว่าท่าทางของนางในวันนี้ ดูไม่สมเป็นตัวนางเลย แต่หากนางไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่นางชอบเป็น นานสักวันหรือสองวัน เขาก็รู้สึกว่าไม่เป็นปัญหา เขาคุ้นเคยกับพฤติกรรมของอีกฝ่ายมานานแล้ว  สามารถรับมืออีกฝ่ายด้วยอารมณ์เรียบเฉย ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจอะไร

   การที่นางไม่โมโหใส่เขา เขาก็ย่อมมีความสุขไปเงียบๆ

   "รถม้าตรงหน้าเราผ่านเข้าไปไม่ได้แล้ว  พวกเราลงไปกันเถอะ!" จนกระทั่งเสียงอ่อนโยนของซุนหมิงดังขึ้น พร้อมกับที่เขาแตะตัวนางเบาๆ ซูซินเอ๋อร์จึงกลับมาได้สติ

    "หือ? โอ้ นางลูบเปลือกตา แล้ววางมือบนมือของซุนหมิงเพื่อลงจากรถ

    เมื่อมองตรงไปข้างหน้า นางสามารถเห็นถนนกว้างทั้งสาย จุดแสงไฟสว่างสดใส  แออัดด้วยคลื่นมหาชนลูกใหญ่ เดินเบียดเสียดกันชนิดไหล่ชนไหล่ มันช่างให้ความรู้สึกคึกคักตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ แทบจะเรียกได้ว่าพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน

   ดวงตาของซูซินเอ๋อร์ลุกวาว นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "ช่างคึกคักมีชีวิตชีวายิ่งนัก! เทศกาลโคมไฟในกรุงปักกิ่งเมืองหลวงนี้ ที่ไหนๆก็สู้ที่นี่ไม่ได้อย่างแน่นอน! ลำพังแค่สถานที่ ก็มีผู้คนรวมตัวกันจนล้นหลามแล้ว สมกับเป็นสถานที่อยู่ใต้พระบาทของโอรสสวรรค์จริงๆ! "

   ซุนหมิงคลี่ยิ้มบาง แล้วเอ่ยขึ้น "ที่นี่มีคนมากมายมหาศาล เดินกันช้าๆหน่อย ระวังจะไปชนคนเข้า!  จู๋เซียง เจ้าเดินตามประกบไปติดๆ  หากคลาดกันขึ้นมา  ให้มองหาเจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวน ขอให้พวกเขาช่วยหารถจ้างพากลับมาที่จวน เจ้าบอกเขาไปว่าเป็นสาวใช้ของจวนแม่ทัพหลี่ฟู่ ผู้บัญชาการของศูนย์บัญชาการกองพลทั้งห้า "

    จู๋เซียงจดจําขึ้นใจได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าบรรยากาศจะคึกคักมีชีวิตชีวา แต่เมื่อมองผู้คนที่มีมากมายล้นหลาม  ก็อดรู้สึกตื่นเต้นในใจหน่อยๆไม่ได้

    ซูซินเอ๋อร์ฟังอยู่ ทว่าใบหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะแค่นเสียง "เป็นสหายเก่าแก่กันนักหรือ?  ท่านรึปีนขึ้นที่สูงโดยไม่เกรงใจผู้อื่นเลย  ข้ากลัวว่าผู้อื่น อาจไม่ยอมรับเราก็ได้นะ! "

    หญิงสาวเอ็ดจู๋เซียงอีกครั้ง: "เดินตามข้ามาติดๆเลย! ดวงตาของเจ้าเกิดมาเพื่อทําอะไร? หากเจ้าหลงทางขึ้นมา แล้วโดนจับตัวไปขาย ก็ถือว่าทำตัวเองแล้ว! "

   ใบหน้าของจู๋เซียงซีดเซียว แล้วรีบรับคำอย่างรวดเร็ว

    ซุนหมิงเองก็ไม่เห็นด้วยกับนาง แต่ก็เพียงเอ่ย "ไปกันเถอะ!" จากนั้นเขาก็เดินนํานางไปข้างหน้า

    ซูซินเอ๋อร์รู้สึกถึงประโยคหนึ่งๆติดอยู่ในลําคอ และนางก็ไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้ ดังนั้นนางจึงต้องตามซุนหมิงไปเงียบ ๆ และอารมณ์ตื่นเต้นก่อนหน้านี้ได้หายไปเกือบหมดแล้ว



2 ความคิดเห็น: