วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2567

บแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 770 มีใจเมตตาปราณีที่สุดจริงเหรอ?

          อย่างไรก็ตาม เมื่อชุนซิ่งคิดในเรื่องนี้ คล้ายว่านางเข้าใจความหมายของเหลียนฟางโจวได้สองถึงสามส่วนแล้ว และก็ค่อยๆดึง ตัวปี้เถามากระซิบ "เอาล่ะ น้องสาว ฮูหยินต้องมีเหตุผลของฮูหยิน จึงต้องพูดแบบนี้!  เราต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ! นั่นคือ ในเรือนถือศีลภาวนานั้น เราต้องจับตามองนางไม่ให้คลาดสายตร! "


    ปี้เถาจึงขยับริมฝีปากบ่นพึมพำ “ฮูหยินใจดีเกินไปแล้วเจ้าค่ะ!" 

    เหลียนฟางโจวแทบจะสําลักชาขึ้นมาทันที!

    แบบนี้หรือที่เรียกว่าเธอใจดี? กระทั่งเธอยังรู้สึกละอายใจที่ได้ยินเลย

    เหตุผลที่เธอไม่ลงมือกับแม่นางฉิน ก็เพราะเธอรู้ว่า แม้ว่าหลี่ฟู่จะโกรธและผิดหวังในตัวอีกฝ่ายจากเหตุการณ์ครั้งที่แล้ว แม้ว่าเขาจะปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างไร้เยื่อใย แต่ในใจก็ยังรู้สึกผิดและเสียใจอยู่ดี

    เขามักให้ความสําคัญอย่างยิ่งต่อความชอบธรรมเสมอ เหนืออื่นใดเขาและแม่นางฉินต่างเติบโตมาด้วยกัน เขาอาจจะลืมความทรงจำหวานชื่นในวัยเด็ก แต่ความทรงจําที่เคยร่วมทุกข์ยากด้วยกันไม่เคยขาดสะบั้น

    การที่แม่นางฉินได้กลายเป็นสิ่งที่นางเป็นในวันนี้  เขาไม่จําเป็นต้องรับผิดชอบเลยจริงๆ หากเขาไม่ได้เป็นคนหัวทึ่มในเรื่องทำนองนี้  ก็คงรู้ถึงเจตนาของอีกฝ่ายตั้งแต่ตอนต้นๆแล้ว และคงพยายามทำลายต้นกล้านี้ในใจอีกฝ่ายเสียแต่เนิ่น ๆ  และนางก็จะไม่กลายเป็นสิ่งที่นางเป็นในวันนี้

   ในหัวใจของคนโง่คนนั้น เกรงว่าจะเอาความรับผิดชอบมาใส่ตัวเองอย่างน้อยเจ็ดถึงแปดส่วน

    มิฉะนั้น ไม่ว่าหญิงคนนั้นจะอ้อนวอนร้องขออย่างหนักเพียงใด ต่อให้นางบำเพ็ญเพียรภาวนาอย่างเคร่งครัดเพียงใด เขาก็คงจะไม่ยอมให้นางอยู่ต่อไป

    ในเมื่อเป็นด้วยเหตุผลนี้ เหลียนฟางโจวจึงไม่ต้องการให้เขาแบกความรู้สึกผิดนี้ไว้ในใจไปจนตลอดชีวิต หรือกลายเป็นปมในใจ

     นางไม่ได้ถูกคนอื่นทำร้าย แต่เป็นเพราะความดื้อดึงและดวงตามืดบอดของนางเอง รวมทั้งจิตใจที่เริ่มชั่วร้ายเพราะความดื้อรั้นนี้ จึงทำให้เป็นเช่นนี้

   เหลียนฟางโจวจึงต้องการรอดูว่า  นางจะมีกลเม็ดเด็ดพรายอะไรมาเล่นงานเธออีก

   ในไม่ช้าก็เร็ว ความผูกพันระหว่างนางกับหลี่ฟู่ จะหมดสิ้นไปด้วยชีวิตและความตายของนางเอง และเมื่อถึงเวลานั้นจะไม่มีที่สําหรับนางในจวนหลังนี้อีกต่อไป และหลี่ฟู่จะได้ไม่ต้องแบกรับหนี้ทางใจเช่นนั้นอีก ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เขาไม่ควรแบกรับอยู่แล้ว

    สุดท้ายแล้ว การที่เธอยังปล่อยนางไว้ ก็เพื่อสามีของเธอเองเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความใจดีมีเมตตาเลย

   หากเธอใจดีมีเมตตาจริงๆ ดูท่าว่าเธอควรจะเล่นบทโหด ขับไล่แม่นางฉินออกไปแล้ว กระมัง? เพียงแค่ให้นางจากไปจากที่นี่ และไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อื่น

   ทว่าการกระทําด้วยความเมตตาจริงๆแบบนี้ กลับเป็นที่ดึงดูดความเกลียดชังของผู้คน เหลียนฟางโจวเองจึงไม่อยากจะทํา!

   หลังจากหลี่ฟู่กลับมา เขาก็ได้ยินภรรยาบอกว่า พี่สะใภ้ของเขาวางแผนจะย้ายออกไปในอีกสองวัน ชายหนุ่มถึงกับตกตะลึงไปเช่นกัน แล้วก็สบตาเหลียนฟางโจวนิ่ง

   เหลียนฟางโจวจ้องเขากลับด้วยความโมโห “ท่านมองข้าทำไม? คิดว่าข้าบีบให้นางกับลูกชายย้ายออกไปหรือไร! ข้ามีแต่ปรารถนาจะให้มีคนอยู่ในจวนเยอะๆเพื่อสร้างความครึกครื้นมากกว่า”

   "ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น!" หลี่ฟู่รีบยิ้มแล้วเข้ามากอดหญิงสาวอย่างเอาใจ "ข้าแค่แปลกใจไปหน่อย จึงหายตกตะลึงช้า! ข้าจะสงสัยฮูหยินของข้าได้อย่างไร! ทำไมข้าจะไม่รู้ว่าฮูหยินของข้าเป็นคนแบบไหน! "

   ชายหนุ่มพยายามพูดปลอบโยนเป็นอย่างดี ทั้งสรรหาถ้อยคำนุ่มนวลอ่อนโยนดีๆทุกชนิด มาปลอบประโลมอีกฝ่าย

   เมื่อเหลียนฟางโจวได้ยินแล้วก็นึกขบขัน ดังนั้นจึงผลักชายหนุ่มแล้วหัวเราะออกมา "อาเจี่ยนไม่เหมือนท่าน เขาไม่เคยพูดคำเลี่ยนๆมากมายขนาดนี้เลยนะ!" 

   แม้ว่าอาเจี่ยนจะเป็นตัวเขาเอง แต่จริง ๆ แล้วหลี่ฟู่ก็รู้สึกถึงรสเปรี้ยวของน้ําส้มสายชูในใจได้ ยามที่ได้ยินเหลียนฟางโจวเอ่ยถึง "อาเจี่ยน" ด้วยน้ําเสียงที่ค่อนข้างคิดถึงในเวลานี้

   เหลียนฟางโจวทนไม่ไหว จึงปิดปากหัวเราะ แล้วหยิกเอวเขา "ท่านพี่ ท่านคงจะไม่กินน้ําส้มสายชูเพราะตัวท่านเองหรอกใช่ไหม? นี่มันเรื่องอะไรกัน! "

   ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไร หญิงสาวก็ยิ่งกลั้นขำไม่ได้

   เมื่อหลี่ฟู่เจอหญิงสาวหัวเราะใส่ ก็นึกรําคาญหน่อยๆ เขาจึงประกบจูบนาง เพื่อปิดกั้นเสียงหัวเราะที่น่าโมโหนี้  "ข้าหึงแล้วจะทำไม? ฮูหยินคนดี เจ้าไม่—ไม่ชอบข้าใช่มั้ย? "

    เหนืออื่นใด เขาคือตัวจริงในตอนนี้แล้ว!

    ดวงตาฉ่ำน้ำของเหลียนฟางโจววูบไหว หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "ไม่ใช่ว่าท่านคงคิดว่าข้าชอบอาเจี่ยน ไม่ใช่หลี่ฟู่ กระมัง?" 

   เมื่อเห็นว่าใบหน้าของชายหนุ่มบึ้งตึงหน่อยๆ หญิงสาวจึงรู้ว่าเธอพูดถูก

    หญิงสาวไม่รู้สึกขบขันเลย จึงยกมือลูบใบหน้าเขา พลางเอ่ยเสียงนุ่ม "ตอนที่ท่านเป็นอาเจี่ยน ตอนนั้นท่านสูญเสียความทรงจำ  มันไม่ใช่นิสัยของท่าน แล้วข้าจะเปลี่ยนใจได้อย่างไร ท่านนี่ช่างน่าเบื่อจัง ดันเอาเรื่องตัวตนมาเปรียบเทียบได้! "

    หลี่ฟู่จึงกระอักกระอ่วนหน่อยๆ เมื่อเห็นดวงตาของภรรยาที่ออดอ้อน ทั้งกิริยาที่น่ารักน่าทะนุถนอม  เขาจึงอดคันยุบยิบในใจไม่ได้  มือที่โอบประคองอยู่ที่เอวของหญิงสาว ก็เริ่มอยู่ไม่สุข ชายหนุ่มยิ้มแล้วเอ่ยกระซิบ "นั่นเป็นเพราะข้าใส่ใจเจ้ามากเกินไป..."

   เหลียนฟางโจวโดนเขาออดอ้อนจนหน้าแดง หัวใจก็เต้นเร็วขึ้น ดังนั้นหญิงสาวจึงหายใจเข้าลึก ๆ พยายามผลักเขาออกไปพร้อมรอยยิ้ม "ท่านไม่ได้บอกว่าจะไปสอบถามพี่สะใภ้หรอกหรือ? ท่านไปเถอะ! ข้าจะรอท่านกลับมารับสำรับมื้อเย็นด้วยกันนะ! "

   หลี่ฟู่คลี่ยิ้มแล้ว ก็ปล่อยตัวหญิงสาวไป

   ใช้เวลาไม่นานใน ชายหนุ่มก็กลับมา สีหน้าดูผิดหวังและบูดบึ้ง

    เหลียนฟางโจวรู้ว่า เขาต้องล้มเหลวในการชักชวนโจวซื่อไม่ให้ย้ายออกไปจากจวนแน่ เขาถึงได้ดูอารมณ์ไม่ดี หญิงสาวจึงอดนึกบ่นอีกฝ่ายไม่ได้ "คนหัวทึ่ม!" 

   เขาไม่ได้สงสัยเลยแม้แต่นิดเดียว!

    ต้องรู้ว่าโจซื่อเป็นคนหัวอ่อนและจิตใจดีอย่างหาตัวจับยากนัก หากไม่มีเหตุผลพิเศษ ใจจริงของหลี่ฟู่ก็คงอยากให้นางรั้งอยู่ต่อ นางจะปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยได้อย่างไร?

    เห็นได้ชัดว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ!

    โชคร้าย ที่เขาไม่ได้คิดในแง่นี้เลย

    แน่นอนว่าเหลียนฟางโจวไม่ได้เตือนเขา และไม่บอกใบ้ให้เขารู้ด้วย เพียงแค่ปลอบใจเขาเพียงสองสามคำ

    หลี่ฟู่ยิ้มและถอนหายใจ "ช่างเถอะ! สิ่งที่พี่สะใภ้พูดมานั้นก็สมเหตุสมผลจริง ๆ จวนเก่าตรงนั้นได้รับการบูรณะแล้ว ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นอยู่ดี! ถึงอย่างไรพวกเขาทั้งหมดก็อยู่ในเมืองหลวง และไม่ได้อยู่ไกลกันจนเกินไป! "

   "ในที่สุดท่านก็คิดออกแล้ว!" เหลียนฟางโจวยิ้มและพูดว่า "ที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็ดีเช่นกัน  อวิ๋นหันยังเด็กอยู่ นั่นคือภายในหนึ่งถึงสองปี ก็โตพอจะแต่งงานมีภรรยาแล้ว ภรรยาก็ยังเยาว์ และทั้งคู่แต่ก็ยังไร้ประสบการณ์ หากพี่สะใภ้ใหญ่ไม่คอยให้การช่วยเหลือ แล้วใครจะช่วยเหลือเล่า? ปล่อยให้นางไปเตรียมการเสียแต่เนิ่นๆเถอะ! "

   หลี่ฟู่พยักหน้า ทันใดนั้นก็เหลือบมองเหลียนฟางโจว แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เช่นนั้น ไม่ใช่ว่าข้าโชคดีกว่าหรือ? ฮูหยินของข้ายังสาว และไม่มีอะไรยากสำรับนางเลย ไม่ว่างานในบ้าน หรืองานนอกบ้าน! "

    เหลียนฟางโจวแค่นเสียงเย็นชาเล็กน้อย นางมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเคืองๆ แลวหัวเราะเยาะตัวเองว่า "ลูกหลานของคนยากจนได้รับหน้าที่รับผิดชอบมานานแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเลยว่า ครอบครัวของเรายากจนและไม่มีใครดูแล หลายสิ่งหลายอย่างที่ทำได้ ก็เพรราะความจำเป็นบังคับ!" 

    หลี่ฟู่เสียใจที่เขาไม่น่าพูดถึงเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าจะกระตุ้นความคิดถึงบ้านของนางอีกหน ชายหนุ่มจึงกระแอมไอ และหัวเราะขึ้นมา "เราอย่าคุยเรื่องนี้กันเลย!  ข้าเริ่มหิวแล้ว เราไปกินข้าวกันเถอะ ลูกชายข้าอาจจะหิวแล้วก็ได้! "

     เหลียนฟางโจวก็หวังว่า เขาจะไม่พูดถึงอดีตอีก ต้องรู้ว่านางไม่ใช่พระพุทธรูป และนางก็ทนต่อการตั้งคําถามของผู้คนไม่ได้ ดังนั้นจึงเอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะ " เหตุใดท่านไม่สนใจแม่ของลูกชายของท่านบ้างเล่า!" 

     หลี่ฟู่หัวเราะ "ใช่แล้ว ใช่แล้ว เป็นสามีที่เผลอเรอเอง!  แม่ของลูกชาย เจ้าหิวไหม? "

     คนทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา

    ในเทศกาลโคมไฟทุกครอบครัวเตรียมอาหารเย็นไว้ล่วงหน้าและเตรียมพร้อมอย่างตื่นเต้น ที่จะได้ออกไปดูแสงไฟในตอนกลางคืน

     นี่เป็นงานรื่นเริงยามราตรีที่จัดขึ้นทุกปี  ย่อมไม่มีใครอยากพลาดงานนี้เป็นธรรมดา

   ยิ่งไปกว่านั้นโอรสสวรรค์ได้ออกราชโองการเมื่อสองสามปีก่อน ทำให้เทศกาลโคมไฟในทุกวันนี้ มีการจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่  ซึ่งสามารถเห็นได้จาก งานเทศกาลโคมไฟในปีถัดไป โดยทั่วไป จะยิ่งใหญ่และครึกครื้นกว่าปีก่อนหน้า!

1 ความคิดเห็น:

  1. ทำไมนิยายจีนแต่ละเรื่องชอบอ้อมค้อมไม่ยอมพูดความจริงกันเพราะคิดแต่ว่ามันจะเสียอะไรยากบางครั้งก็แก้ไขไม่ทันการซะอีก

    ตอบลบ