วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 769 สถานการณ์ลำบากจนต้องจากไป

       เหลียนฟางโจวเลิกคิ้วขึ้นและยิ้มด้วยความสนใจยิ่ง: "ยังมีเรื่องเรื่องนี้ด้วย! ช่างเถอะ เจ้าไม่จําเป็นต้องไปสอบถามในเรื่องนี้ ข้าคิดว่านางคงแค่เบื่อ จึงไปหาพี่สะใภ้เพื่อคุยกันเป็นประจำ! เจ้าก็รู้ ว่านางมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับพี่สะใภ้ "


    นิสัยขี้โมโหของปี้เถายังไม่เปลี่ยนแปลงเลย และเมื่อนางได้ยินถ้อยคำ จึงแค่นเสียง "ฮูหยิน ท่านเป็นวิญญูชน แต่น่าเสียดายที่บางคนคุ้นชินกับการเป็นคนชั่วร้าย ฮูหยินเอาแต่คิดถึงผู้อื่นมากเกินไป แต่บ่าวกลัวว่ามันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดนะสิเจ้าค่ะ! ตอนนั้นไม่เห็นนางจะไปหาเพื่อสนทนากับฮูหยินใหญ่เลย ทีพอฮูหยินและนายท่านไม่อยู่ในจวน นางถึงได้ไป! บ่าวไม่รู้จริงๆว่า นางมีจิตใจแบบไหนกัน! บ่าวไม่รู้ว่านางจะก่อเรื่องอะไรอีกไหม ในการไปหาฮูหยินใหญ่ครั้งนี้เจ้าค่ะ "

    ชุนซิ่งก็มองปี้เถาด้วยท่าทางขบขันและปลงๆ แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายเข้า นางก็รีบเอ่ยขึ้นอีกคน "หรือว่าจะเป็นไปได้? ไม่มีข้าทาสบริวารในจวน อยู่ข้างเดียวกับนาง! นอกจากนี้ นางอาจไม่มีความกล้าหาญเช่นนี้..."

    เหลียนฟางโจวส่งสายตาที่เผยความมั่นใจให้ชุนซิ่ง ขณะที่หันไปมองปี้เถาแล้วเอ่ยขึ้น “อย่าเพิ่งด่วนสรุปไปเลย! เราไม่อาจกล่าวหาผู้คนอย่างผิดๆได้ เราต้องใส่ใจหาหลักฐานทุกอย่างมาประกอบก่อน และเราก็ต้องช่วยกันรักษาหน้าด้วย รู้หรือไม่? อย่าเพิ่งมองไปที่อื่นใดเลย ให้มองไปที่หน้าของนายท่านของเจ้า! อีกอย่าง หากมีอะไรไม่ดีขึ้นมา เราจะไม่เสียหน้าต่อหน้าคนในจวนแย่เหรอ ?"

    ปี้เถารับคำ " ฮูหยินได้โปรดมั่นใจ เนื่องจากพวกนางไม่ซื่อสัตย์ บ่าวจะต้องสอดส่องอย่างหนัก! นางจะได้เล่นตุกติกใด ๆไม่ได้! ร่างกายของฮูหยินเริ่มอุ้ยอ้ายขึ้นทุกทีแล้ว บ่าวจะไม่ยอมให้นางมาก่อปัญหาได้เจ้าค่ะ! "

  เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้มอย่างที่เห็นกันจนชินตา

   เธอเคยคิดว่าหญิงตั้งครรภ์บางครั้งก็ระมัดระวังตัวมากเกินไป  จนกลายเป็นคนวิตกจริตไป

   พอถึงตนเองแล้ว จึงได้รู้ว่าเพื่อเห็นแก่เลือดเนื้อเชื้อไขในท้อง นางไม่อาจไม่ระวังตัวมากเกินไปได้

   ขณะที่เจ้านายและสาวใช้กำลังสนทนากันอยู่นั้น  ไห่ถังก็เข้ามาร้องเรียก “ฮูหยิน" ก่อนจะเข้ามารายงานว่าฮูหยินใหญ่มาหา

   เหลียนฟางโจวรีบยิ้มและตะโกนออกไป"รีบเชิญเข้ามาเลย! "

   เมื่อโจวซื่อเข้ามา ก็เห็นเหลียนฟางโจวยืนขึ้น นางก็รีบเดินเข้ามาจับมือหญิงสาว แล้วพานั่งลงด้วยกัน พลางหัวเราะเบาๆ "เจ้าจะทำอะไรอีก?  นั่งลงดีๆเถอะนะ! เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิก "

   เหลียนฟางโจวยิ้ม พลางเอ่ย "เป็นเพราะข้ารู้ดีแกใจว่าพี่สะใภ้ใหญ่ ไม่ได้เป็นคนจู้จี้จุกจิก และเคร่งธรรมเนียมมากจนเกินไป ข้าจึงไม่ได้ออกไปต้อนรับข้างนอกไงเล่าเจ้าคะ!" 

   โจวชื่อเอ่ยด้วยรอยิ้ม "เฮ้อ ข้าโต้แย้งอะไรเจ้าไม่ได้เลยนะ!" 

   เมื่อสายตามองไปที่ท้องของอีกฝ่ายอย่างสำรวจตรวจตรา นางก็ยิ้มออกมา "ข้าไม่คิดเลยว่า เมื่อก่อนข้าเห็นท้องเจ้าเกือบทุกวัน แต่ผ่านไปแป๊บเดียว ข้าถึงเห็นว่ามันโตกว่าเดิมนัก!" 

   เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้มน้อยๆแล้วเลิกคิ้วขึ้น "ไม่หรอก ข้าก็ยังคิดว่าท้องข้าโตเร็วขึ้นกว่าเดิมเมื่อเร็ว ๆนี้เช่นกันเจ้าค่ะ!  และการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์นั้น ก็เพิ่งรู้สึกชัดเจนเมื่อไม่กี่วันก่อนเองเจ้าค่ะ! "

    "อย่างนั้นเหรอ?" ดวงตาของโจวชื่อสว่างวาบขึ้นเช่นกัน แล้วจึงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม "ดีแล้ว ดี  ดี! นั่นหมายความว่าเด็กในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรงดี! "

    โจวซื่อยิ้มแล้วเอ่ย "เจ้าและน้องเขยต่างมีสุขภาพแข็งแรงดีและยังวัยเยาว์กันทั้งคู่ เด็กจะต้องมีสุขภาพแข็งแรงดีมากแน่!" 

   เหลียนฟางโจวเห็นว่าดวงตาของอีกฝ่ายหม่นลงเล็กน้อยราวกับว่า นางกําลังถอนหายใจเงียบ ๆ ดังนั้นหญิงสาวจึงหัวเราะและพูดขึ้นว่า "ข้าขอยืมคําพูดมงคลของพี่สะใภ้แล้วกันนะเจ้าคะ" และถามต่อ "พี่สะใภ้ของข้า ที่อุตส่าห์มาเยี่ยม ก็เพื่อสนทนา หรือว่ามีเรื่องอื่นหรือเจ้าคะ?" 

   โจวซื่อกลับคืนจากความคิดฟุ้งซ่านที่กระจัดกระจายอยู่ ครั้นแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "ข้าต้องการมาเยี่ยมเจ้าและมาดูหลานด้วย เอ่อ แต่ก็มีเรื่องด้วยเช่นกัน"

    เมื่อเห็นว่าเหลียนฟางโจวให้ความสนใจจะรับฟัง โจวซื่อจึงยิ้ม "จวนหลังเก่าได้มีการเก็บกวาดทำความสะอาดก่อนปีใหม่แล้ว ข้าคิดว่า พอเดือนแรกมาถึง เราสองแม่ลูกจะย้ายไปอยู่ที่นั่น! หากบ้านได้รับการบูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ควรเข้าไปอยู่เสียให้เรียบร้อย มิฉะนั้นมันก็จะร้างคนอีกครั้ง! ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่ามองมุมไหน พวกเข้าก็สมควรต้องย้ายไป หลังจากนี้อีกสองสามวันให้หลัง อากาศดีขึ้นเมื่อไร พวกเราก็จะถือโอกาสย้ายที่อยู่เลย! พวกเราคงไม่รอจนเข้าฤดูใบไม้ผลิจริงๆหรอก เพราะฝนก็จะตกมากขึ้น ในจวนก็มีการเพาะปลูกที่จวงจื่อ มีกิจการร้านค้ามากมาย เจ้ากําลังตั้งครรภ์อยู่ น้องเขยก็กําลังยุ่งอยู่กับทางราชสำนัก พวกเราก็จะยิ่งย้ายยากขึ้นไปอีก! "

    ทีแรกเหลียนฟางโจวก็มีสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นสีหน้าก็เยือกเย็นลงช้าๆ หญิงสาวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "ในเมื่อพี่สะใภ้ของข้าได้กล่าวถึงเพียงนั้น ข้าจะไม่รั้งพี่สะใภ้ของข้าอีกต่อไป! จะย้ายเข้า  หรือจะย้ายออก! เราก็ยังคงเป็นครอบครัวเดียวกัน มีเรื่องอะไร พี่สะใภ้ก็ไม่ต้องออกมาข้างนอกด้วยตัวเองหรอก เพียงส่งใครมาแจ้งก็พอ! นอกจากนี้ อย่าลืมมาเยี่ยมที่นี่เป็นครั้งคราว ข้ายังอยากให้พี่สะใภ้ของข้า มาพูดคุยกับข้าอยู่! ห้องพักที่นี่ก็เตรียมพร้อมสําหรับพี่สะใภ้ของข้าและอวิ๋นหันอยู่เสมอ  ยามนี้ท่านก็พักอยู่ที่นี่ไปก่อนสักสองวันเถอะ พอสามีของข้ากลับมา ข้าจะคุยกับเขาเองเจ้าค่ะ "

    โจวซื่อมีท่าทางราวกับยกภูเขาลงจากอก นางได้แต่รีบพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม "แน่นอน ข้าจะมาเยี่ยมเยียนเรื่อยๆ น้องสะใภ้ของข้าคงไม่รำคาญ ที่ข้ามาที่นี่ทุกวัน! แต่หากมีเรื่องอะไร พวกเราจะบอกเจ้า นอกจากนี้นอกเหนือจากเจ้าและน้องเขยแล้ว เราจะสามารถพึ่งพาใครได้อีก! เมื่อน้องเขยกลับมา เขาต้องเป็นธุระให้หลานชายของเขาอยู่แล้ว! "

    เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้มและพยักหน้าเห็นด้วย

    โจวชื่อคุยสัพเพเหระกับเธออีกสองสามประโยค จากนั้นก็บอกว่า นางจะไม่รบกวนการพักผ่อนของเธอแล้ว จากนั้นจึง

ลุกขึ้นจากไป

    ชุนซิ่งอดพูดขึ้นมาไม่ได้ "ไม่เคยมีวี่แววว่า จู่ๆฮูหยินใหญ่จะมีความต้องการย้ายออกแต่อย่างใดเลย! ฮูหยิน ท่านตั้งครรภ์อยู่! นางเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า นางจะรอจนกว่าฮูหยินคลอดนายน้อยก่อน แล้วค่อยพูดคุยเรื่องย้ายออกไปนี่เจ้าคะ "

    เหลียนฟางโจวก้มศีรษะลงและลูบท้องของตน ตอนนี้อายุครรภ์ผ่านไปกว่าครึ่งทางแล้ว วันครบกําหนดคลอดของเธอ คือปลายเดือนสี่ ซึ่งก็อีกไม่นานนัก

    โจวซื่อไม่ใช่คนใจร้อนวู่วาม นางจะไม่ย้ายออกไปโดยไม่รอเวลาเพียงเล็กน้อยโดยไม่มีเหตุผล นอกจากนี้สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องให้กําเนิดเด็ก ดังนั้นจึงมีเหตุผลที่นางควรรั้งอยู่ต่อเพื่อดูแลเธออีกสักหนึ่งหรือสองเดือน แล้วไม่ใช่ว่านางเคยพูดแบบเดียวกันนี้มาก่อนไม่ใช่เหรอ?

    เหลียนฟางโจวจึงยิ้มแลวถอนหายใจ "ไม่มีวี่แววเลยหรือ? เรื่องนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นเช่นกัน! ถ้าเจ้าคิดทบทวนเรื่องนี้ให้ดีๆ เจ้าก็จะเข้าใจเอง! "

    ชุนซิ่งสับสนในตอนแรก จากนั้นดวงตาของนางก็เรืองวาบ ก่อนจะพึมพำเสียงต่ำ "ใช่แล้วเจ้าค่ะ ทุกอย่างเป็นเพราะแม่นางฉินกระมัง?"

    นางกัดฟันโดยไม่รู้ตัว "ขอได้โปรดตำหนิบ่าวที่ประมาทเลินเล่อเถอะเจ้าค่ะ! บ่าวควรจะบอกให้ใครซักคนปิดประตูลั่นดาลเรือนถือศีลภาวนาตั้งนานแล้ว! "

     เหลียนฟางโจวยิ้ม "เจ้าไม่จําเป็นต้องกล่าวโทษตัวเองในเรื่องนี้ และเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการปิดประตูขังคนไว้หรอก! พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนใจอ่อน และนางเคยประสบความทุกข์ทรมานเหมือนกับอีกฝ่าย ดังนั้นแทนที่ต้องมารู้สึกลำบากใจกัน มิสู้หลีกเลี่ยงความลำบากใจนี้ไปดีกว่า! ดังนั้นข้าจึงโล่งใจ! "

    "ฮูหยิน บ่าว—"

    เหลียนฟางโจวยกมือขึ้นเพื่อหยุดคําพูดของอีกฝ่าย พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: "ข้านึกไม่ถึงว่า เพียงไม่นาน นางก็อดทนไม่ไหวแล้ว!  ซ้ำยังกระโดดออกมาแต่เนิ่นๆด้วย เพื่อให้เรื่องต่างๆจบสิ้นโดยเร็ว! พูดถึงเรื่องนี้ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีนะ! "

    ชุนซิ่งรู้สึกซาบซึ้งและละอายใจ นางจึงพูดว่า "ขอบคุณฮูหยินสําหรับความอดทนของท่าน แต่ใจของบ่าวไม่มันไม่สงบเลยเจ้าค่ะ ฮูหยินวางใจเถอะ บ่าวจะคอยจับตาดูที่นั่น และสิ่งต่าง ๆรอบตัวผู้หญิงคนนั้น จะไม่ปล่อยให้ใครฉวยโอกาสเข้ามาทางช่องโหว่ได้เจ้าค่ะ! "

    ปี้เถาที่ออกไปส่งโจวซื่อ ได้หันหลังเดินกลับ พลางเลิกม่านขึ้น  ก่อนจะเดินเข้ามา นางอดพูดกับเหลียนฟางโจวไม่ได้ "ฮูหยิน ในเมื่อคนในเรือนถือศีลภาวนาเขาดีต่อฮูหยินใหญ่ เราก็ขอสั่งให้พวกนางย้ายไปที่จวนหลังเก่าไปพร้อมกันเลย!  ดูสิว่านางจะบำเพ็ญเพียรภาวนาไปถึงแค่ไหนเจ้าค่ะ! "

    ดวงตาของชุนซิ่งเองก็สว่างวาบขึ้น แล้วหันไปมองเหลียนฟางโจว

   เหลียนฟางโจวหัวเราะและพูดว่า"เหลวไหล!  ข้าจะลืมว่าได้ยินเรื่องนี้ ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้พูดแม้สักครึ่งคํา รู้ไหม!"

   "ฮูหยิน ที่บ่าวทำก็เพื่อเห็นแก่ฮูหยินนะเจ้าคะ! คนสองคนนั้นมีจิตใจที่ไม่ดี และการเก็บพวกนางไว้ นับว่าเป็นภัยพิบัติเหนืออื่นใด! ปี้เถาพยายามโน้มน้าวอย่างโอดครวญ

1 ความคิดเห็น: