วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 768 ปลดปล่อยความเบื่อหน่าย

     ที่เซียวมู่พูดมา ก็เพียงพอจะทำให้ปี้เถาก็โกรธแล้ว!

    อย่ากินเพื่อเห็นแก่ความผอมเพรียวเหรอ? นางผอมเพรียวเหรอ? นี่เขาต้องการประชดนางหรือต้องการอะไรกันแน่? อ้วนไปนิดมันน่าเกลียดนักเหรอ? อ้วนไปนิดมันน่าเกลียดจะตายหรือไร นี่มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายของเขา ใช่ไหม!


    หญิงสาวจ้องมองเซียวมู่ด้วยความชิงชัง นางก็ว่าแล้ว เขาจะใจดีมีเมตตาจนมาขอโทษนางได้ยังไง ที่แท้ก็จงใจมาทับถมนาง!

    บ้าบอสิ้นดี!  ยังมีหน้ามาเสแสร้งทำเป็นหมูหลอกกินเสือ[1]อีก! มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ

   คิดไม่ถึงเลยว่าบุคคลนี้ จะชอบแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือเสียนี่! มันชักจะมากเกินไปแล้ว!

   ยิ่งปี้เถาคิดถึงในแง่นี้  ใบหน้าของนางยิ่งดูไม่น่ามองมากขึ้น ครั้นแล้วนางก็รีบคืนกล่องขนมในมือให้กับเซียวมู่ พลางกระทืบเท้าด้วยความโมโห "เพราะเห็นแก่ว่าวันนี้คือวันขึ้นปีใหม่ ข้าจะไม่เอาเรื่องเจ้า แล้วก็รีบไสหัวไปให้ไกลๆข้าเดี๋ยวนี้เลย! นี่มันก็แค่เรื่องไร้สาระที่ผู้หญิงคนนั้นทําไปเมื่อคืนไม่ใช่เหรอ? มั่นใจได้ว่ามารดาจะไม่เที่ยวเอาไปพูดให้ใครได้ยินแม้แต่ครึ่งคำ! เหลวไหลสิ้นดี! เห็นมารดาเป็นคนชอบปากโป้งตั้งแต่เมื่อไร! "

   คำพูดที่ออกมา บอกได้เลยว่ากำลังโกรธจัด หญิงสาวหมุนกายแล้วเดินจากไป ทิ้งเซียวมู่จมอยู่กับความมึนงงสับสนแต่เพียงลำพัง

   ผ่านไปสักพัก เซียวมู่ก็พึมพำขึ้นมา "ไม่เข้าใจเลย! จู่ๆก็หันหลังเดินจากไปเฉยเลย”

   คํากล่าวที่ว่า ที่ใดมีเจ้านาย ที่นั่นก็ต้องมีคนรับใช้ นี่เป็นความจริงแท้ อาฉิน อาฉิน ทําไมเจ้าถึงไม่เห็นความจริงข้อนี้อย่างละเอียดล่ะ?  หากเจ้าเป็นอนุภรรยาของหัวหน้าจริงๆ เจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานเป็นแน่...

   สำหรับเหตุการณ์นี้หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน เหลียนฟางโจวและคนอื่น ๆต่างก็ล่วงรู้เรื่องราวภายใน และทุกคนต่างก็หัวเราะขบขันในเรื่องนี้

   ไม่น่าแปลกใจที่เซียวมู่จะกลายเป็นหมากของหมอเซวีย เพราะคําพูดเหล่านั้นก็ดูสมเหตุสมผลดี แต่สตรีในตระกูล โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้ออกเรือน ใครจะชอบได้ยินคนมาบอกว่าตัวเองอ้วนกันเล่า? ก็สมควรแล้วที่เขาต้องเจอกับโชคร้าย!

   อย่างไรก็ตาม มีคำกล่าวที่ว่าคนชั่วร้าย ก็ย่อมมีคนชั่วร้ายของตนเองมาเล่นงาน  และเซวียอวี้ชิง ก็มีชะตากรรมที่มีคนชั่วร้ายมาเล่นงานเขาเช่นกัน

   หลี่ฟู่ไม่ได้กลับบ้านจนกระทั่งกลางยามจื่อ

   หลังจากเหลียนฟางโจวรับสำรับมื้อกลางวันแล้ว นางก็พบปะคนอีกสองกลุ่ม และก็มานอนคว่ำพร้อมหลับตาอยู่

   หลี่ฟู่ไม่ได้รบกวนเธอ เพียงนั่งลงข้างๆอย่างระมัดระวัง แล้วนวดไหล่ของหญิงสาวเบา ๆ

   เปลือกตาของเหลียนฟางโจวขยับ แต่ก็ไม่ได้ลืมตา ทว่าร่างกายรู้สึกผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว จากนั้นหญิงสาวก็เอ่ยขึ้นเบาๆโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย "ดีจัง แรงอีกนิด ไปทางซ้ายหน่อย ไม่สิ  ขยับมือขวาไปทางซ้าย"

   หลี่ฟู่คลี่ยิ้มช้าๆ แล้วพูดว่า "ดีขึ้นหรือยัง! "

   ทันใดนั้นเหลียนฟางโจวก็ลืมตา แล้วลุกขึ้นนั่ง หญิงสาวหลุดยิ้มแล้วเอ็ดใส่เขา  “ไฉนท่านถึงกลับมา! "

   หลี่ฟู่จับมือนางและนั่งลงชิดนาง พลางหัวเราะ "เห็นว่าเจ้าหลับอยู่  ข้าไม่อยากกวนเจ้า!" 

   เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางดูเหนื่อยเล็กน้อย หลี่ฟู่ก็อดจับมือนาง และส่งยิ้มไม่ได้ "โดยปกติในกองทัพ ปีใหม่จะไม่ลําบากนัก และนี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกว่าการใช้เวลาปีใหม่ที่นี่ ช่างเหนื่อยนัก! แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้เข้าไปในพระราชวังเพื่อร่วมถวายพระพร แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือว่าหลังจากวันที่สามของเดือนแรก เราออกไปใช้ชีวิตนอกเมืองหลวงกันสักพัก แล้วรอจนวันที่สิบห้าค่อยกลับมา ดีไหม? "

    ดวงตาของเหลียนฟางโจวพลันทอประกายเจิดจ้า และนางก็ยิ่งกว่าเต็มใจ หญิงสาวจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เอาสิ!  เช่นนั้นก็ไปกันเลย! ออกไปหาความสำราญกันเถอะ! "

   หลี่ฟู่ยิ้ม "น่าเสียดายที่ทิวทัศน์ในยามนี้ไม่ค่อยงดงาม! อย่างไรก็ตาม ช่างหายากนักที่เราสองคนจะอยู่ด้วยกันสองโดยไม่มีใครรบกวน ซึ่งดีกว่าการอดชมทิวทัศน์ที่งดงามนัก! "

   เหลียนฟางโจวหัวเราะเมื่อได้ยินและดุเขาว่า "ลามก! "

   หลี่ฟู่ถอนหายใจสองครั้ง และอดลูบท้องนางเบาๆไม่ได้ ซึ่งยามนี้เห็นท้องโตถนัดชัดเจนนัก ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์ค่อนข้างหดหู่ "ทําไมข้าไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์เลย! ลูกชายของเราช่างสงบเสงี่ยมเชื่อฟังเกินไปแล้ว! "

   เหลียนฟางโจวเหลือบมองอีกฝ่ายแล้วยิ้ม "การสงบเสงี่ยมเชื่อฟังมีอะไรแย่นักหรือ? เราจะได้ไม่ต้องคอยกังวลไง! "

   ความจริงแล้ว บางครั้งเมื่อเธอตื่นขึ้นมากลางดึก เธอก็รู้สึกลางๆว่าคล้ายมีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆในช่องท้อง กําลังเคลื่อนไหว แต่ก็ไม่ชัดเจนนัก มารดาของเธอซึ่งเชื่อมต่อกับเธอผ่านสายสะดือ ก็น่าจะรู้สึกได้เช่นกัน แต่อาจไม่รู้สึก เมื่อสัมผัสด้วยมือ ดังนั้นหลี่ฟู่จึงไม่ได้รับสัญญาณใดๆ

   ทั้งสองต่างพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกัน ขณะที่เหลียนฟางโจวก็พยายามข่มกลั้นแรงปรารถนาที่จะพูดเรื่องเกี่ยวกับเซียวมู่และแม่นางฉิน

   ขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแม่นางฉิน ในความคิดของเธอ  กล่าวถึงให้น้อยไว้จะดีกว่า

   ถ้าเธอเปิดเผยเรื่องนี้ขึ้นมา บางทีผู้คนอาจยังคงร้องทุกข์กล่าโทษว่า เธออดทนต่อใครไม่เป็น  จึพยายามหาวิธีขับไล่อีกฝ่ายออกไป!

   ถึงอย่างไรเซียวมู่ก็เป็นบุรุษ ถ้าไม่มีอะไรอื่น เขาก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ แม้ว่าความดีความชอบทางทหารของเขาจะด้อยกว่าหลี่ฟู่ แต่เขาก็ถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดในหมู่ของคนหนุ่มรุ่นใหม่แล้ว หากแม่นางฉินยังไม่มีดวงตาที่ดี และลดความทะเยอทะยานลงบ้าง  ไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องเสียใจ!

   หลังจากวันที่สามของปีแรกเหลียนฟางโจวและหลี่ฟู่ ได้ไปที่จวงจื่อซีนอกเมืองเพื่อพักผ่อน

  ทิ้งชุนซิ่ง ไต้เจอ เหลียนจื่อและ ไห่ถัง ไว้เฝ้าจวน หญิงสาวเอาปี้เถา หงอวี้  และยังมีชิงเหอ ม่ายเซียงไปด้วย รวมทั้งลั่วกว่างและคนอื่น ๆย่อมติดตามไปตามระเบียบ

   พวกเธอไปที่เสี่ยวหลิ่วจวงจื่อ ที่เธอซื้อไว้ครั้งแรก โดยหลี่ฟู่สั่งให้ผู้คนปรับปรุงสถานที่ และตกแต่ง โดยปลูกดอกไม้และต้นไม้ใหม่ นอกจากนี้ทุ่งนาโดยรอบได้รับการวางแผนปรับปรุงใหม่ และถนนก็ได้รับการสร้างขึ้นใหม่และขยายออกไปให้กว้างขวางขึ้น ซึ่งทำให้เดินทางสะดวกขึ้นมาก

   ในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปลายปีที่แล้ว ฮ่องเต้ได้ยกมีดของคนแล่เนื้อขึ้นและทําการกวาดล้างครั้งใหญ่ และหลายครอบครัวถูกบุกเข้าสอบสวน หลายครอบครัวถูกยึดทรัพย์หรือส่งคืนทรัพย์สินให้กับราชวงศ์ หรือไม่ก็ถูกขายราชสำนักขายออกไป

   หลี่ฟู่ยังซื้อสถานที่สองแห่งที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กและไม่โดดเด่นหนึ่งแห่งซึ่งอยู่แถวอ่าวไป่หยาง โดยมีพื้นที่นาข้าวทั้งหมด 1,000 หมู่และมากกว่า 300 หมู่เป็นที่ดินดีชุ่มน้ำ อีกแห่งหนึ่งอยู่ในที่ราบสูง มีเนื้อที่นาข้าว 380 หมู่ อีก 600 หมู่เป็นดินแห้ง และอีก 30 หมู่เป็นชายหาดน้ําตื้น ทั้งสองแห่งมีจวงจื่อ และผู้เช่าที่ดินที่นั่นครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว

   ตอนนี้ทั้งสองคนพำนักอยู่ในเมืองหลวง และมีกิจการขนาดเล็กที่มีอนาคตดี

   บ้านในจวงจื่อสองแห่งนี้กว้างขวางและเรียบร้อยกว่าที่แรก แต่หลี่ฟู่รู้สึกว่าเหลียนฟางโจวกำลังตั้งท้อง และอดีตเจ้าของสถานที่ทั้งสองแห่งนี้ก็มีประวัติไม่ดี ได้รับผลกระทบและประสบโชคร้าย การจะไปที่นั่นนับว่าไม่เป็นมงคล ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ไป

   ในช่วงสิบเอ็ดถึงสิบสองวันนี้ ทั้งสองมีชีวิตที่สะดวกสบายและรื่นรมย์นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลี่ฟู่ก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ในที่สุด เมื่อเหลียนฟางโจวจับมือของเขาวางไว้บนท้องน้อยของเธอในช่วงกลางดึกคืนวันหนึ่ง ซึ่งทำให้ชายหนุ่มตื่นเต้นมากขึ้น  ในวันถัดไป มุมปากของเขายกสูงและยิ้มหน้าบานไม่หุบ

   ในวันที่สิบห้าของเดือนแรก ทั้งสองยังคงต้องเข้าไปในพระราชวังเพื่อถวายพระพร  ทั้งสองจึงกลับมาจากนอกเมืองในตอนเที่ยงของวันที่สิบสี่ของเดือนแรก

  "ท่านพาข้าออกไปดูแสงไฟในคืนพรุ่งนี้หน่อยเถิด ดูสิว่ามันจะงดงามน่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหน" เหลียนฟางโจวโอบรอบแขนของชายหนุ่ม

   หลี่ฟู่มองไปที่ท้องของหญิงสาว เขากลัวอารมณ์ของหญิงตั้งครรภ์ ดังนั้นเขาจึงจำต้องพยักหน้าอย่างไม่บ่งบอกอารมณ์ "ที่นั่นมีคนจํานวนมากเลย เราแค่ไปดู แล้วรีบกลับเถอะนะ"

   เหลียนฟางโจวย่อมไม่คัดค้าน พลางพยักหน้าหงึกหงักด้วยดวงตาเป็นประกาย "ความจริงแล้ว ข้าไม่เคยเห็นความคึกคักเช่นนี้มาก่อนเลย! ไว้ปีหน้าเราจะต้องมาเดินเล่นดูบรรยากาศด้วยกันนะ! "

   หลี่ฟู่ยิ้มว่า "ที่จริงแล้ว ข้ายังไม่เคยเห็นสักที  เอาไว้ปีหน้าเราจะได้อยู่ด้วยกัน!" 

   กลับไปที่จวน ถงซินที่ดูแลห้องหนังสือ ได้ส่งกล่องไม้เคลือบสีแดง ด้านในบรรจุกระดาษข้อความ และจดหมายต่างๆ หลี่ฟู่เปิดมันขึ้นมาอ่านดู เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าและพูดคําหนึ่งกับเหลียนฟางโจว  ก่อนจะออกไป

    เหลียนฟางโจวให้สาวใช้เช่น ชุนซิ่งและ ไห่ถังปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้า และช่วยประคองนางนั่งลงในศาลาอุ่น และยกน้ำชาร้อนมาให้

    เหลียนฟางโจวสั่งให้เปิดหน้าต่างระบายอากาศ และถามชุนซิ่งผ่านๆ "ช่วงหลายวันนี้ มีอะไรเกิดขึ้นในจวนบ้างหรือไม่?" 

   ชุนซิ่งส่ายหน้า  "ทุกอย่างเรียร้อยดีเจ้าค่ะ หลายเรื่องด้านนอก มีพ่อบ้านเฉียนเป็นผู้จัดการ และมีคนไม่กี่คนที่ถูกส่งมาเยี่ยมอวยพรปีใหม่ที่จวนเรา และบ่าวก็ให้ของขวัญกลับคืนตามธรรมเนียม โดยเอ่ยถ้อยคำตามที่ฮูหยินสั่งไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนทางด้านเรือนถือศีลภาวนาด้านข้าง แม่นางฉินดูเหมือนจะได้ไปสนทนากับฮูหยินใหญ่สองครั้ง และแต่ละครั้งก็ใช้เวลาไม่น้อย  ทว่าบ่าวไม่สะดวกที่จะสอบถามเจ้าค่ะ"

**

[1] หมายถึงคนที่แท้จริงมีอำนาจยิ่งใหญ่หรือมีความสามารถเก่งกาจมากมาย แต่แสร้งทำตัวไร้ค่าให้ผู้อื่นหลงกลเพื่อหวังประโยชน์จากอีกฝ่าย

1 ความคิดเห็น: