วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 773 เรื่องน่าหัวเราะที่หน้าประตูจวน

       “ฮูหยิน!" ปี้เถ้ารีบวิ่งเข้าไปหาและบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้

     ชุนซิ่งอดจ้องมองอีกฝ่ายสองครั้งไม่ได้ พลางแอบส่ายหน้า และคิดว่าน้องปี้เถาเป็นตาที่เถรตรงจริงๆ และฮูหยินถามอะไร นางก็ไม่หันไปมองรอบๆก่อนแล้วค่อยตอบ ตอนนี้ฮูหยินกําลังตั้งครรภ์แล้ว ทําไมต้องมาเดือดร้อนคุยกับนางเกี่ยวกับเรื่องน่าเบื่อและเรื่องร้ายๆพวกนี้ด้วย


     เหลียนฟางโจวจะไม่รู้นิสัยของซูซินเอ๋อร์ได้อย่างไรเล่า?

     เมื่อฟังแล้ว หญิงสาวก็ไม่ถือสาในเรื่องนี้ แต่กลับยิ้มอย่างลังเล  พลางแตะตัวหลี่ฟู่ แล้วขยับเข้าหาชายหนุ่มพร้อมอมยิ้ม: "ยามนี้มีใครบางคนขี้หึงมากกว่าท่านเสียอีก!" 

      หลี่ฟู่เลิกคิ้วขึ้น "โอ้? เจ้าแน่ใจเหรอว่ามันเป็นน้ําส้มสายชูหรืออย่างอื่น? คุณหนูซูคลั่งไคล้คนแซ่ชุยไม่ใช่เหรอ? นางจะเปลี่ยนใจเร็วไปไหม? "

    เหลียนฟางโจวเหลือบมองเขาและพูดว่า "จิตใจของสตรีในเรือน ท่านจะเข้าใจอะไร!" 

    หลี่ฟู่ยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม แล้วเอ่ยขึ้น "นางเปลี่ยนใจแล้วจริงๆหรือ!" "

    สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เชื่ออย่างที่สุด

    การที่ซูซินเอ๋อร์รักชุยฉ้าวซีมากเพียงไหนนั้น เขาได้เคยเห็นมาด้วยตาตัวเอง  ดังนั้นจึงอดถอนหายใจไม่ได้ เมื่อได้ยินคําพูดของเหลียนฟางโจว

    เหลียนฟางโจวเหลือบมองเขา แล้วเอ่ยว่า"เอาล่ะ มันก็ไม่ง่ายหรอกนะที่คนเราจะเปลี่ยนใจ ท่านคงไม่เข้าใจหรอก! ไม่ใช่ว่าท่านยังมีปัญหางานอยู่หรอกเหรอ? ไปทําธุระของท่านเถอะ พวกเราจะกลับกันไปก่อน! "

    หลี่ฟู่จึงนึกขึ้นได้ แล้วยิ้มออกมา: "ให้รถวิ่งบนถนนช้าลงหน่อย แล้วข้าจะรีบกลับมา!” ครั้นแล้วชายหนุ่มก็ช่วยประคองหญิงสาวขึ้นรถม้า ก่อนผละไป"

   ซูซินเอ๋อร์ไม่ได้รักชุยฉ้าวซีมากเท่ากับนางรักความคิดฝันในใจของเด็กสาวๆ หากเจ้าแต่งงานกับใครสักคนไปแล้ว ความฝันนั้นก็ย่อมอยู่ห่างไกลออกไป

    บางทีซูซินเอ๋อร์อาจจะยังไม่รู้ตัวเอง แต่วันนั้นที่ทั้งสองคนมาเยือนที่จวน  เธอก็รับรู้อะไรบางรางๆ ความสัมพันธ์ระหว่างอีกฝ่ายกับซุนหมิงก็ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว! มีเพียงคนที่มีนิสัยอย่างซุนหมิงเท่านั้นที่สามารถทนนางได้ และดูแลนางได้ สำหรับชุยฉ้าวซี นางจะควรเลิกนึกหวังจะลงเอยกับเขาได้แล้ว

   เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว หวังว่านางจะเข้าใจความความรู้สึกของตัวนางเองเสียแต่เนิ่นๆ และวาดหวังปลายทางที่สมบูรณ์แบบให้กับการแต่งงานนี้ ซึ่งถูกวางไว้ผิดฝาผิดตัวอย่างเห็นได้ชัดในสายตาของทุกคน

   เหลียนฟางโจวไม่ได้นึกฝันว่าในชั่วขณะ ที่เธอยังนึกครุ่นคิดเล่นๆ เกี่ยวเรื่องของซุนหมิงและซูซินเอ๋อร์ ซึ่งเป็นคู่ที่ผิดฝาผิดตัวนี้  จะยังมีปัญหาใหญ่ในจวนรออยู่ข้างหน้า!

   ขณะที่รถม้าเคลื่อนเข้าใกล้ประตูจวน ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นที่ประตูใหญ่ เป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเอะอะอยู่ท่ามกลางพวกเขา

   "เจ้าพวกสุนัขรับใช้ เปิดตาสุนัขของเจ้าดูให้ชัดๆสิ! กล้าดียังไงถึงมาหยุดแม่นางคนนี้ที่ประตู ตาสุนัขของพวกเจ้าบอดไปแล้วหรือไร! "

   หญิงสาวด่าทออย่างโกรธเกรี้ยว พ่อบ้านเฉียนมีทีท่ากระอักกระอ่วน และวิตกกังวล: "คุณหนู ได้โปรดให้อภัยด้วยเถิดขอรับ บ่าวชราไม่กล้าให้เข้าไปจริงๆ ตอนนี้นายท่านและฮูหยินไม่อยู่ บ่าวชราไม่กล้าที่ตัดสินใจหรอกขอรับ! ขอได้โปรดรอฮูหยินที่ป้อมยามประตูก่อนเถิด นายท่านและฮูหยินน่าจะกลับมาเร็ว ๆ นี้แล้วขอรับ! "

    อีกเสียงหนึ่งซึ่งเป็นเสียงของสตรีอย่างชัดเจน ตะโกนขึ้นอีกครั้ง: "ไม่กล้าตัดสินใจได้อย่างไร! ฐานะของบุตรสาวของเสนาบดีแห่งศาลต้าลี่ และน้องสาวของพระชายาหลี่ ยังไม่สูงส่งพอที่จะเข้าไปหรอกหรือ? เป็นไปหรือว่าคุณหนูของเราจะบ้าและกล้าจะพูดโกหกเช่นนี้?  เห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าโป้ปดผู้คนมากเกินไป! หากเจ้าไม่ยอมให้พวกเราเข้าไป และเมื่อแม่ทัพหลี่กลับมา พวกเจ้าจะถูกลงโทษ! "

    พ่อบ้านเฉียนขยับปากหัวเราะ"บ่าวชรามิกล้า! คุณหนูโปรดให้อภัยด้วยขอรับ" ทว่าเขากลับกัดฟันแน่น และปฏิเสธที่จะให้จูอวี๋อิงและสาวใช้เสี่ยวเจิ้งเอ๋อร์เข้าไป

    เขาเป็นพ่อบ้านของครอบครัวที่ชื่อเสียงสูงส่ง ดังนั้นจะไม่เข้าใจกระทั่งข้อห้ามเล็ก ๆ น้อย ๆนี้ได้อย่างไร

    นายท่านไม่ได้อยู่ที่จวน คุณหนูหกตระกูลจูผู้นี้เป็นเด็กสาวที่ยังไม่เคยออกเรือน หากให้ผ่านเข้าประตูไป หากเกิดเหตุเสื่อมเสียชื่อเสียงขึ้น แล้วถูกร่ำลืออกไป คงยากจะอธิบายให้กระจ่างในอนาคต

    เขาเพียงแต่แกล้งทําเป็นสับสน และยืนกรานว่าเขาไม่รู้ ต่อให้พวกนางจะด่าทอเขา อย่างสาดเสียเทเสีย เขาก็ไม่กล้าหลุดปากออกมาแม้ครึ่งประโยค

   ในใจของข้า  ข้าแอบสวดภาวนาว่า ฮูหยินจะกลับจวนมาเร็วๆ  และข้าแอบอดดูหมิ่นคุณหนูแสบสันคนนี้ที่เรียกตัวเองว่าคุณหนูหกตระกูลจูไม่ได้: สตรีที่ยังไม่ออกเรือนมาวิ่งไล่จับบุรุษคนหนึ่ง กับเรื่องนี้ ช่าง -

   สตรีเช่นนี้ นายท่านจะทนไหวได้อย่างไร? อะแฮ่ม!

   เหลียนฟางโจวได้ยินถ้อยต่อมานั้นเต็มสองหู ตั้งแต่อยู่บนรถม้าแล้ว ชั่วขณะนั้นก็อดรู้สึกโมโหไม่ได้ หญิงสาวจับมือของชุนซิ่งให้ช่วยประคองลงจากรถม้า

   เมื่อพ่อบ้านเฉียนเห็นรถม้าคันนี้ ก็ทำหน้าคล้ายกับเห็นพระมาโปรด พลางร้องเรียก "ฮูหยินกลับมาแล้ว!" ก่อนจะทิ้งจูอวี๋อิงไว้ และอดพุ่งตัวเข้าไปหาไม่ได้

   เหลียนฟางโจวที่เพิ่งลงจากรถ กระชับเสื้อคลุมสีแดงขลิบทองเมื่อต้องลมเย็น และเอ่ยถามอย่างเย็นชา "เกิดอะไรขึ้น? การมาเอะอะโวยวายเสียงตรงหน้าประตูใหญ่นี้ มันปกติมากนักหรือ! ดีนะที่ทุกคนกําลังดูโคมไฟดอกไม้ในวันนี้ ไม่เช่นนั้นจะมิกลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะหรอกรึ! "

    พ่อบ้านเฉียนค้อมตัว แล้วกล่าวว่า "บ่าวชรารู้ความผิด ขอฮูหยินโปรดลงโทษด้วยขอรับ!"

   "ช้าก่อน เจ้าจะต้องถูกลงโทษแน่ เมื่อเจ้ามัวแต่โยกโย้!" เหลียนฟางโจวแค่นเสียงเย็นชา แต่ความจริงแล้ว หญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้น เพื่ออบรมพ่อบ้านเฉียนทีละประโยคโดยไม่สนใจจูอวี๋อิงผู้เป็นนายและสาวใช้ ในคราบบุรุษ ซึ่งกำลังยืนอยู่ไม่ไกลเลย

    พ่อบ้านเฉียนตั้งใจฟังด้วยความเคารพและสำรวมอย่างเต็มที่

    ชุนซิ่ง ปี้เถาและคนอื่นๆทั้งหมด ต่างหรุบตามองอยู่แค่ปลายจมูกตนเอง ส่วนปลายจมูกก็กำลังมองที่ใจ และยืนอยู่ข้างๆอย่างสงบเสงี่ยม

    จูอวี๋อิงยืนกัดริมฝีปากอยู่ตรงนั้น ดวงตาที่ลุกโชนด้วยโทสะ จ้องมองดวงตาของเหลียนฟางโจวด้วยความเกลียดชัง

   "ฮูหยิน ท่านเย็นลงหน่อยเถิด ท่านยังตั้งครรภ์อยู่แท้ๆ และยืนอยู่ตรงนี้เป็นเวลานานแล้ว ระวังจะต้องลมเย็นนะเจ้าคะ หากนายท่านรู้ นายท่านจะต้องเป็นทุกข์แน่เลย!  เข้าไปคุยข้างในเถิดเจ้าค่ะ! “ ปี้เถาเอ่ยอีกครั้ง

   เหลียนฟางโจวกล่าวว่า "ไม่ใช่ว่าข้าสับสนไปเพราะเรื่องนี้หรอกนะ! เอาล่ะๆ เราเข้าไปข้างในกันเถอะ! "

   ชุนซิ่ง ปี้เถาและคนอื่น ๆต่างห้อมล้อมเหลียนฟางโจวและกำลังเดินตรงไปยังประตู ส่วนสองนายบ่าวจูอวี๋อิง และสาวใช้ ซึ่งกำลังกัดริมฝีปากอยู่ ใบหน้าเริ่มเขียวและซีดเแล้ว พวกนางทั้งสองอยู่ในชุดบุรุษ ครั้นแล้วเหลียนฟางโจวก็มองตรงไปที่พวกนาง

    จูอวี๋อิงมิได้แสดงความอ่อนแอ และจ้องอีกฝ่ายกลับ ทว่าทันใดนั้นร่างกายตนเองกลับแข็งทื่อ

    นางรู้สึกว่าสายตาของเหลียนฟางโจวสงบนิ่งมาก จนนางมองไม่เห็นระลอกคลื่น หรืออารมณ์ใดๆเลย แต่มันก็ทําให้นางเริ่มรู้สึกละอายใจโดยไม่มีเหตุผล

   นางไม่โกรธเลยเหรอ? นางไม่สนใจตนเลยสักนิดเลยเหรอ!

   เช่นนั้นแล้ว มิใช่ว่าการก่อเรื่องวุ่นวายของตนเอง จะกลายเป็นเรื่องตลกหรอกหรือ!

   จูอวี๋อิงเริ่มร้อนใจ และในที่สุดนางก็อดแค่นเสียงเย็นชาไม่ได้: "ฮูหยินเหลียนเห็นชัดหรือยังว่าข้าเป็นใคร? คงไม่ได้แม้กระทั่งจำข้าไม่ได้หรอกนะำ! "

    เหลียนฟางโจวยิ้ม ดวงตาดูเหมือนจะเบิกกว้างขึ้น หญิงสาวทอดมองใบหน้าของจูอวี๋อิงสองสามรอบ แล้วเอียงคอครุ่นคิด: "แสงไฟสลัวทำให้มองไม่ชัดเลยจริงๆ! ว่าแต่ ท่านเป็นใครกัน? "

   โดยไม่ต้องรอให้จูอวี๋อิงตอบ ทันใดนั้นหญิงสาวก็พลันตระหนักว่า "โอ้" อีกครั้ง และเอ่ยอย่างครุ่นคิด "ข้ามองผ่านๆ ดูจะคล้ายกับคุณหนูหกแห่งตระกูลจูนิดหน่อย!  ทว่าคุณหนูหกตระกูลจู เป็นคุณหนูผู้มีชื่อเสียงแห่งเมืองหลวง และมีรูปลักษณ์เป็นสตรีไม่ใช่หรือ? ข้าไม่คิดว่าจะมีรูปลักษณ์เป็นบุรุษแบบนี้ ข้าไม่คิดว่านางจะมาก่อความวุ่นวายในเรื่องระหว่างหญิงชายที่ประตูจวนของคนอื่น กระมัง? "

   "เจ้า! เจ้ากล้าดูถูกคุณหนูของเราเช่นนี้ได้อย่างไร! “ ใบหน้าของเสี่ยวเจิ้งเอ๋อร์แดงก่ำขึ้น และนางกรีดร้องด้วยความโกรธ

   ปี้เถาไม่ชอบสาวใช้มาร้องตวาดเช่นนี้ที่สุด ราวกับว่านางกำลังเห็นติงเซียงคนที่สอง

   จึงแค่นเสียงทันที: “การอบรมสั่งสอนของตระกูลจูนั้น ช่างน่าทึ่งนัก สาวใช้ก็ไม่ได้มีลักษณะเหมือนสาวใช้ มิน่าเล่านางถึงมาสอนคุณหนูจนเป็นเช่นนี้ได้! "

   เสี่ยวเจิ้งเอ๋อร์จ้องมองปี้เถาด้วยความเกลียดชัง และอยากจะพูดอะไรบางอย่างมากกว่านี้ ทว่าเมื่อคิดถึงชื่อเสียงของตระกูลจู ในที่สุดนางก็จำต้องอดทน

   เหลียนฟางโจวยิ้ม และห้ามปี้เถาไว้: "พอแล้ว! ก็แค่สาวใช้ที่ไม่รู้ความคนหนึ่งเท่านั้น! "

   น้ําเสียงคล้ายพูดกับลูกแมวลูกสุนัขที่ไม่มีอะไรนอกจากเห่าหอนไปวันๆ แม้ว่าจะไม่ได้มีคําดุด่าแม้ครึ่งคำ แต่เสี่ยวเจิ้งเอ๋อร์กลับรู้สึกอับอายมากขึ้นกว่าเดิม




2 ความคิดเห็น:

  1. แทะเม็ดแตงโมรอดูเรื่องสนุก
    ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  2. คารมเป็นต่อ ความมีสติของฟางโจว

    ตอบลบ