บทที่ 970 เสี้ยมเขาควายให้ชนกันซึ่งหน้า
น่าเสียดายที่หลี่ฟู่เป็นคนที่รังเกียจท่าทางอ่อนแอบอบบางแบบนี้เป็นที่สุด
ชายหนุ่มพลันเลิกคิ้วสูงปรี๊ดทันที
เหลียนฟางโจวแค่นหัวเราะในใจหนักยิ่งกว่าเดิม
เมื่อได้ยินเสียงนั่น ก็รู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว
“เจ้าผัดหน้ามาเหรอ”
หลี่ฟู่เงยหน้ามองเข่อซิน แล้วถามขึ้น
ดวงตาอันสดใสของเข่อซินพลันสว่างวาบขึ้น ฉายแววแห่งความเบิกบานยินดีออกมา
ไม่แยแสแม้กระทั่งว่ายังมีเหลียนฟางโจวอยู่ข้างๆนาง--หรืออาจเพราะนางมีความสุขเสียจนลืมไปเสียสนิทว่า
เหลียนฟางโจวยังนั่งเป็นหัวหลักหัวตออยู่ข้างๆ หญิงสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้มเอียงอาย
"เป็นแป้งอบร่ำด้วยกลิ่นดอกมะลิจางๆ กลิ่นนี้หอมนัก บ่าวใช้แป้งกลิ่นนี้มาโดยตลอด
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในวังหลวงเจ้าค่ะ!"
ถึงแม้ฮูหยินจะปล่อยพวกนางเป็นอิสระแล้ว แต่อีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาจะเป็นฝ่ายจัดเตรียมพวกนางไปปรนนิบัติรับใช้ท่านโหวเลยแม้แต่น้อย
ฮูหยินกลับแสดงเจตนาชัดแจ้งว่า จะปล่อยให้พวกตนต่อสู้แย่งชิงท่านโหวกันเอง ส่วนอีกฝ่ายจะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้
หลายคนอดถามฮูหยินไม่ได้ว่า เหตุใดนางไม่ส่งพวกตนไปส่งถึงเตียงของท่านโหว
ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น พวกตนก็ต้องพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้มีโอกาสใกล้ชิดท่านโหว
ทว่าท่านโหวไม่ได้ใช้เวลาอยู่ในจวนมากนัก เวลาเขากลับมาที่จวนทีไร
เขาก็มักจะหมกตัวอยู่ในห้องหนังสือ หรือไม่ก็ที่เขตเรือนหลักของฮูหยิน พวกนางเองก็ไม่อาจคอยอยู่เฝ้าประตูที่สองประหนึ่งยามเฝ้าประตูได้
เมื่อพวกนางอยากติดสินบนคนรับใช้สักสองสามคนเพื่อให้ช่วยส่งข่าวว่าท่านโหวอยู่ที่ไหน
กลับไม่มีใครตอบรับงานนี้เลย ดังนั้นพวกนางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคอยเดินตระเวนไปรอบ
ๆ จวนทั้งวัน เพื่อลองเสี่ยงโชค
พอเป็นแบบนี้ พวกนางจึงกลายเป็นคู่แข่งกัน
ทุกคนเบื้องหน้าดูสงบเสงี่ยมหงิมๆไม่มีพิษสงอันใด แต่ลับหลังแอบทั้งเค้นทั้งระดมสมองแต่งเนื้อแต่งตัวประชันกันสุดฤทธิ์
โดยหวังว่าจะสามารถเอาชนะคนอื่นๆ เพื่อขึ้นมาเป็นผู้นำ
หลายคนนึกโชคดีในใจ ที่อวี้เจินโชคร้ายดันมาล้มป่วยในเวลานี้
กลับกลายเป็นการขจัดคู่แข่งไปได้อีกหนึ่งคน! รอนางหายป่วยเมื่อไร ทุกอย่างก็สายเกินแก้แล้ว!
ดังนั้นเหลียนฟางโจวจึงไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดอันใด
เพราะคนพวกนี้ต่างจัดฉากฟาดฟันกันเองอย่างเงียบเชียบเสียแล้ว
ทุกอย่างพร้อมแล้ว สิ่งเดียวที่พวกนางขาดก็คือลมบูรพา
พวกนางทุ่มเทพยายามมากมายเพื่อแต่งตัวให้งดงาม แต่การได้พบหน้าท่านโหวกลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!
นอกจากนี้ ความประทับใจครั้งแรกของหลี่ฟู่ที่มีต่อพวกนางนั้น
เย็นชาและน่าเกรงขามเกินไป พวกนางจึงไม่กล้าเข้าหาง่ายๆ เมื่อยังไม่รู้รายละเอียด
หลังจากผ่านไปหลายวันติดต่อกัน หลายคนวิ่งเต้นไปทั่วจวนอย่างร้อนใจ
แต่ก็ไม่อาจได้พูดคุยกับหลี่ฟู่แม้สักประโยคเช่นกัน ทุกคนต่างกลัดกลุ้มจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีแล้ว
วันนี้
หลี่ฟู่เพิ่งกลับเข้ามาจากข้างนอก เจียเสวี่ยที่กำลัง "เดิน"
อยู่ที่สวนดอกไม้ใกล้กับเขตเรือนหลัก ในที่สุดก็ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป
จึงกัดฟันเดินเข้าไปยอบกายคารวะ
ถึงแม้หลี่ฟู่อยากจะโยนพวกคนที่น่ารังเกียจ
ซึ่งเที่ยววิ่งวุ่นไปทั่วจวนไปให้ไกลๆ แต่เขาก็ต้องไว้หน้าทางวังหลวงบ้าง ก็เลยต้องยอมให้เหลียนฟางโจว
ปล่อยพวกนางมาสร้างความวุ่นวาย
เมื่อได้ยินคำกล่าวคารวะ ชายหนุ่มเพียงชำเลืองมองนาง
พร้อมเปล่งเสียงเบาบาง "อืม"
เมื่อเจียเสวี่ยเห็นว่าเขาไม่แสดงสีหน้าใดๆกับนาง
ก็นึกแอบดีใจเช่นกัน เมื่อเห็นหลี่ฟู่ก้าวเดินหน้าต่อ นางจึงลองหยั่งเชิงเดินตามหลังเขาไป
คาดไม่ถึงว่า หลี่ฟู่ไม่ได้ห้ามนาง
เจียเสวี่ยจึงเกิดความฮึกเหิม ยากตัดใจหยุดเดินต่อ
คิดไม่ถึงว่าเข่อซินที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้
ได้เดินตามมาอย่างเงียบ ๆ
อย่าฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้อื่นแบบนี้สิ! เจียเสวี่ยซึ่งหน้าซีดด้วยความโกรธ เหลือบมองเข่อซินด้วยความไม่พอใจ
เข่อซินยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนหวาน และยังคงเดินตามหลี่ฟู่ไป
โดยไม่คิดว่าที่ตนเองทำแบบนี้ จะมีความผิดอันใด
ในช่วงเวลานั้น เจียเสวี่ยย่อมไม่อาจทะเลาะโต้เถียงกับเข่อซินได้
นางจึงได้แต่กล้ำกลืนความไม่พอใจลงไป
ทั้งสองคนเดินตามหลี่ฟู่เข้าไปในเขตเรือนหลักของเหลียนฟางโจวอย่างสุภาพนอบน้อม
สาวใช้หลายคนที่เห็นพวกนางแต่ไกล จนเดินเข้ามาใกล้ ก็ตกใจอยู่พักหนึ่ง
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสองแอบเอาใจที่แขวนค้างเติ่งมาตลอดวางลงอย่างเงียบๆ
: ฮูหยินไม่สนใจจริงๆด้วยล่ะ! ยอดเยี่ยมไปเลย!
พอเป็นแบบนี้ ทั้งสองคนจึงเดินตามหลี่ฟู่เข้าไปในเรือน
และเข้ามาหาเหลียนฟางโจว
เมื่อเห็นหลี่ฟู่แสดงความสนิทสนมกับเหลียนฟางโจว
ด้วยสีหน้ารักใคร่อ่อนโยน อีกทั้งความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ก็ดูเป็นธรรมชาติและสบายๆดุจเมฆเคลื่อนน้ำไหล
พวกนางก็แอบริษยาอยู่ในใจ
ในขณะเดียวกัน ก็อดบังเกิดความหวังโง่ๆขึ้นมาไม่ได้
แม้แต่เจียเสวี่ยก็เริ่มมีอารมณ์อ่อนไหวมากขึ้น
จึงคิดลงมือเพิ่มอีกหน่อย แต่นางเคลื่อนไหวเชื่องช้าไปหน่อย เข่อซินจึงชิงยกน้ำชาให้ท่านโหวก่อน
พอเจียเสวี่ยกลับมาได้สติ ยามนี้นางเริ่มโมโหแล้ว จึงปรายหางตามองเข่อซินอย่างดุร้าย
หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยโทสะเต็มเปี่ยม: ไร้ยางอายนัก! ฉวยโอกาสเข้ามาเสียบ! ฉกชิงโอกาสที่คนอื่นปูทางเอาไว้
หนำซ้ำยังหยิบชิ้นปลามัน จนนำหน้านางไปแล้ว ช่างไร้เหตุผลอะไรเยี่ยงนี้!
เมื่อได้ยินว่าหลี่ฟู่เป็นฝ่ายถามอีกฝ่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
เจียเสวี่ย ก็รู้สึกเสียใจจนแทบกระอักเลือดออกมาเต็มปาก นางแพศยาคงไม่รู้สิว่านางแอบสาปแช่งอีกฝ่ายในใจไปกี่คำแล้ว!
แต่ก่อนที่นางจะสาปแช่งจบ หลี่ฟู่ก็ขมวดคิ้วและพูดว่า
"ออกไป!"
ทั้งเข่อซินและเจียเสวี่ยต่างตกตะลึงพรึงเพริด
เข่อซินดูคล้ายจะตกลงมาจากสวรรค์สู่นรกอเวจีในทันทีทันใด
พลางจ้องมองหลี่ฟู่ด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ริมฝีปากสั่นระริก: "ท่านโหว... "
เหลียนฟางโจวย่อมพอใจ
พอเห็นโฉมงามผิดหวัง ก็นึกอับอายแทนอยู่หน่อยๆ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "ออกไปก่อนเถิด! ท่านโหวไม่ชอบกลิ่นกำยานและผงแป้งพวกนี้!"
เจียเสวี่ยมองเข่อซินอย่างยิ้มย่องในความโชคร้ายของเข่อซิน
มุมปากยกขึ้นสูง
เข่อซินอับอายและอึดอัด ใบหน้าแดงก่ำ นางฝืนยิ้มและเอ่ยพึมพำ
"เจ้าค่ะ... บ่าว ฮูหยินไม่เคยบอกบ่าว บ่าวเลยไม่รู้ ได้โปรดยกโทษให้บ่าวด้วยเจ้าค่ะ ท่านโหว!"
ไม่ถอยออกไป แต่กลับงอเข่าแล้วคุกเข่าลงแทน
ดวงตาของเหลียนฟางโจวเบิกกว้าง โอ้โห นี่มันยาป้ายตาในตำนานใช่หรือไม่? อีกฝ่ายถึงกับกล้าทำกิริยานี้ต่อหน้าตน นางมองไม่ออกเลย
เข่อซินผู้นี้ที่ไม่เด่นเลย แต่กลับมีพลังและความกล้ามากกว่าคนอื่นจริงๆ!
หลี่ฟู่เอ่ยเพียงประโยคเดียวอย่างเย็นชา "ยังไม่ออกไปอีกหรือ?"
เข่อซินรู้สึกเย็นเยียบในใจ
ดวงตาเปียกชื้นด้วยความคับข้องใจ
เหลียนฟางโจวยิ้มอย่างใจดี "ยังไม่ลุกขึ้นมาอีกเหรอ? เจ้าจะรอให้ท่านโหวช่วยประคองเจ้าขึ้นมารึ! เจ้าคับข้องใจ
และตำหนิข้าที่ข้าไม่บอกเจ้าใช่หรือไม่? เอ่อ ทำไมเจ้าไม่ถามข้าเล่า?
ทำไมเจ้าไม่ถามตอนนี้ล่ะ เจ้ายังอยากรู้อะไรเพิ่มอีกไหม?”
เข่อซินแข็งตัวแข็งทื่อ รู้สึกใบหน้าเห่อร้อนหนักกว่าเดิม
ฮูหยินมองนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ด้วยสีหน้าอ่อนโยน
แต่คำพูดนั้นกลับเชือดเฉือนราวกับคมมีด ไม่มีความเห็นใจให้แล้ว!
ไม่ต้องพูดเลยว่าอยู่ต่อหน้าท่านโหว ต่อให้ไม่อยู่ต่อหน้าท่านโหว
นางก็ไม่มีหน้าไปวิ่งแจ้นไปหาฮูหยิน และสอบถามเรื่องราวของท่านโหวอย่างเปิดเผย!
นอกจากนี้ ต่อให้สอบถามแล้ว พอนางได้ยินอะไรจากฮูหยิน
ก็ยังสงสัยว่านางจะเชื่อที่ฮูหยินพูดหรือไม่!
ดังนั้นกล่าวได้ว่า เหลียนฟางโจวยากจะเป็นคนดีและจริงใจ
หากนางถามไป ถึงฮูหยินจะบอกไปอย่างชัดเจน แต่มันทำให้ผู้อื่นแคลงใจอยู่ดี หากเหลียนฟางโจวรู้ความในใจของอีกฝ่าย
นางคงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
หลี่ฟู่คว้ามือเหลียนฟางโจวมากุมไว้อย่างหมดความอดทน
แล้วดึงนางลุก พลางเอ่ยว่า "พวกนางมาทำอะไร?
อาเจ๋ออยู่ที่ไหน? ข้าไม่ได้เจอเขาเสียนานแล้ว!"
หลังจากกล่าวจบ ทั้งสองคนก็เดินจากไป โดยไม่แยแสคนทั้งสอง
ซึ่งคนหนึ่งคุกเข่า อีกคนยืนหัวโด่อยู่เลย
จากนั้นหงอวี้ก็เข้ามา นางเม้มปากอย่างเย้ยหยันและพูดว่า
"แม่นางทั้งสองคน ท่านโหวและฮูหยินไม่อยู่ที่นี่แล้ว ได้โปรดกลับไปเถอะ! หาไม่แล้ว
มีพวกท่านอยู่ที่นี่ พวกเราพี่น้องไม่รู้จะต้อนรับพวกท่านอย่างไร พวกเรายังมีงานต้องทำกันอยู่
คงจะเสียเวลากับพวกท่านสองคนไม่ได้!"
"ขอบคุณพี่หงอวี้ที่เตือนข้า" เจียเสวี่ยรู้สึกว่าตนเองโดนเข่อซินดึงเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเต็มตัวแล้ว
หากอีกฝ่ายไม่วู่วามติดตามท่านโหวมาอย่างหน้าด้านๆ ยามนี้นางคงมีบทสนทนาที่ดีกับท่านโหวแล้ว แล้วยังจำเป็นต้องมองหน้าหงอวี้
และต้องฟังคำพูดประชดประชันของอีกฝ่ายได้อย่างไร?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น