วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 971 ยั่วยุเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ต่างกัน

 

           บทที่ 971 ยั่วยุเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ต่างกัน

     ด้วยความอยุติธรรมในใจ เจียเสวี่ยจึงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน "หึๆ ฮูหยินมีจิตเมตตา พี่หงอวี้พูดมาเช่นนี้ ฟังแล้วอาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ พี่หงอวี้ไม่กลัวว่าจะทำให้ฮูหยินเสื่อมเสียชื่อเสียงหรอกเหรอ?"

     นี่เป็นการแอบกล่าวหาหงอวี้และเหลียนฟางโจวสองนายบ่าวว่า คนหนึ่งเล่นบทคนดี  อีกคนเล่นบทคนร้ายทั้งต่อหน้าและลับหลังหลี่ฟู่

     หงอวี้เหลือบมองอีกฝ่าย "แม่นาง อย่าเรียกข้าว่าพี่สาวเลย ข้ารับไม่ไหวหรอก ข้าไม่มีใจอยากเป็นพี่สาวของแม่นางหรอกนะ! สำหรับชื่อเสียงอันดีงามของฮูหยินนั้น แม่นางไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนี้ เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับแม่นางตอนนี้ก็คือ การหาวิธีปักหลักอย่างมั่นคง ยังไม่ถึงเวลาที่แม่นางจะมากังวลแทนฮูหยินหรอกนะ!"

    เจียเสวี่ยนิ่งงันไป สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตระหนักในใจว่าตนเองหุนหันพลันแล่นไปหน่อย นางจึงควบคุมปากตัวเองไม่ได้

    ทว่ายามนี้เข่อซินได้ยืนขึ้นจากพื้นอย่างกระมิดกระเมี้ยน และส่งยิ้มกระอักกระอ่วนให้หงอวี้ และเอ่ยเสียงเบา "ข้าสร้างปัญหาให้กับแม่นางหงอวี้แล้ว เราจะไปเดี๋ยวนี้แล้ว เมื่อท่านโหวและฮูหยินกลับมา ขอแม่นางหงอวี้ได้บอกพวกเราด้วยเถอะนะ!”

    หญิงผู้นี้ ความจริงแล้ว แม่นางฉินก็ยังมิอาจตามทันเลย! นี่แหละที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าของจริง!

หงอวี้นึกชื่นชมอยู่ในใจ นางรีบยิ้มและเอ่ยขึ้น "แม่นางจริงจังไปแล้ว แม่นางวางใจเถอะ คำพูดของแม่นาง ข้าจะบอกพวกนายท่านอย่างแน่นอน"

ขณะเอ่ยด้วยท่าทีสุภาพเพิ่มสองส่วน หงอวี้ก็ยืนส่งเข่อซินด้วยรอยยิ้ม แต่สำหรับเจียเสวี่ยแล้ว นางไม่ยกเปลือกตาขึ้นเลยด้วยซ้ำ

    เจีวเสวี่ยกัดฟันด้วยโทสะ และแอบนึกในใจว่า สักวันหนึ่งเถอะ’ เพื่อปลอบใจตัวเอง แต่ตอนนี้นางทำอะไรหงอวี้ไม่ได้ นางจึงได้แต่แสร้งทำเป็นไม่สนใจ

    เมื่อเห็นท่าทีของหงอวี้ที่มีต่อตนเองกับเจียเสวี่ย แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เข่อซินย่อมดีใจ แต่นางก็ไม่ได้โง่ และยังคิดว่าหงอวี้อาจจงใจพยายามสร้างความร้าวฉานระหว่างพวกนางสองคนก็ได้

   แต่พอคิดดูอีกที ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับเจียเสวี่ยและฝูหย่านั้น เดิมทีเป็นความสัมพันธ์แบบชิงดีชิงเด่นกัน รวมทั้งเป็นศัตรูกันกลายๆด้วย จะมีหงอวี้คอยยุแยงหรือไม่มี มันจะมีความแตกต่างอันใดกัน?

    ที่นางติดตามมาในวันนี้ เจียเสวี่ยต้องเกลียดนางอยู่ในใจเป็นแน่! ดังนั้นการผูกมิตรกับหงอวี้ไว้ น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีเช่นกัน

   ส่วนเจียเสวี่ย  อีกฝ่ายไม่ใช่พี่สาวน้องสาวที่ดีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว การกำราบนางต่อไปเรื่อยๆ ก็นับเป็นเรื่องดีเช่นกัน!

   เข่อซินตัดสินใจได้ในทันที นางจึงแสร้งทำเป็นไม่เห็นเจียเสวี่ย แล้วออกไปพูดคุยหัวเราะกับหงอวี้ ขอบคุณหงอวี้อีกครั้งด้วยรอยยิ้ม ซ้ำยังชมหงอวี้อีกสองสามประโยค ก่อนจากไปด้วย

   เจียเสวี่ยเดินตามพวกนางออกมาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ชิงชังและหงุดหงิด

    สิ่งที่นางชิงชังคือ ความหน้าด้านไร้ยางอายของเข่อซิน ส่วนสิ่งที่ทำให้นางหงุดหงิดก็คือ เมื่อครู่นางสงบสติอารมณ์ไม่ได้ จนไปเยาะเย้ยถากถางหงอวี้โดยไร้เหตุผลเข้า เลยทำให้เข่อซิน นังคนชั้นต่ำนั่นเห็นเรื่องขบขันเข้าแล้ว!

    นางจึงคิดจะคืนดีกับหงอวี้ แต่ใครจะไปรู้ว่า รอยยิ้มเพิ่งจะเบ่งบานบนใบหน้านาง และนางยังไม่ทันจะได้พูดอะไร หงอวี้ก็เดินผ่านนางไปแล้ว โดยไม่เหลือบแลแม้แต่นิด

   รอยยิ้มบนใบหน้าของเจียเสวี่ยแข็งค้าง นางแอบกัดฟันกรอดด้วยความแค้น  พลางข่มกลั้นโทสะไว้ ขณะเดินออกไปจากเขตเรือน

   เหลียนฟางโจวและหลี่ฟู่พบว่า เหลียนเจ๋อกับซู่เอ๋อร์อยู่ในสวนเล็กๆหลังเขตเรือน เหลียนเจ๋อกับซู่เอ๋อร์กำลังนั่งยองๆบนพื้น เพื่อเฝ้าดูพวกมดกำลังเดินเป็นแถว ซู่เอ๋อร์เพ่งพิศอย่างละเอียด จนก้นเล็กๆโด่งออกมา หนึ่งคนตัวจิ๋วดูคล้ายรูปแกะสลักเล็กๆ เมื่อมองดูแล้วช่างน่ารักเป็นพิเศษ เหลียนฟางโจวจึงอดหัวเราะเบาๆไม่ได้

   เมื่อซู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงหัวเราะก็หันหน้าไปมอง จากนั้นก็ยืนขึ้นและร้องเรียกด้วยรอยยิ้ม: "ท่านพ่อ ท่านแม่!" และก็พุ่งเข้ามาหาพวกเขา

หลี่ฟู่หัวเราะ สาวเท้าสองก้าวเข้าไปอุ้มบุตรชาย เหลียนฟางโจวเอื้อมมือไปลูบศีรษะเขา พอเห็นท่าทางของเหลียนเจ๋อที่เตรียมจะย่องหนี นางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "หยุดเดี๋ยวนี้ ข้าบอกไว้นานแล้วนะ ถึงหนีไป พระก็หนีจากวัดไม่ได้หรอก หากเจ้าไม่พูดกับข้าให้ชัดเจน ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้า เหมือนว่าเจ้าให้ข้าจะจัดการเรื่องทุกอย่างโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ และภายหน้าหากชีวิตคู่ของเจ้าเข้ากันได้ไม่ดี ก็อย่าได้มาโทษข้านะ!”

   "พี่ใหญ่!" เหลียนเจ๋อชะงักไป แล้วร้องออกมาด้วยความร้อนใจ

      เมื่อเผชิญหน้ากับท่าทาง เจ้าก็ลองดูสิ ของเหลียนฟางโจว เขาก็ก้มหน้าลงด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

       หลี่ฟู่อุ้มบุตรชายด้วยมือข้างหนึ่งอย่างมั่นคง อีกมือก็ตบไหล่เหลียนเจ๋อแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: "พี่สาวของเจ้ายังจะทำร้ายเจ้าได้เหรอ วิสัยทัศน์ของนางย่อมดียิ่งนัก แค่ให้นางช่วยเจ้าตัดสินใจ เจ้าก็รอเป็นว่าที่เจ้าบ่าวอย่างเป็นทางการเถอะ! เจ้าน่ะ เจ้าไม่จำเป็นต้องอาย ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย!"

     "พี่เขย!" เหลียนเจ๋อส่งยิ้มแห้ง แต่ก็ลังเลที่จะพูด

    เหลียนฟางโจวเห็นท่าทางนี้ของน้องชายอย่างชัดเจน และอดนึกสงสัยไม่ได้ นางจึงขอให้หลี่ฟู่นั่งยองๆดูมดเดินกับบุตรชายต่อไป ในขณะที่นางลากตัวเหลียนเจ๋อไปนั่งลงในศาลาที่อยู่ไม่ไกล เพื่อพูดคุยกัน

    "พวกเราเป็นพี่สาวน้องชายกันนะ" เหลียนฟางโจวถอนหายใจ และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เจ้ายังจำเรื่องของข้ากับพี่เขยของเจ้าได้ไหม? แรกเริ่มเจ้าเกลี้ยกล่อมข้าอย่างไร? คนอาจต่ำทราม แต่หลักการยังคงเหมือนเดิม ถึงเจ้าจำไม่ได้ แต่ข้าจำได้แม่นยำ! ตอนนี้ถึงตาเจ้าแล้ว เจ้ามีอะไรที่มันยากจะบอกพี่สาวของเจ้าเหรอ? เจ้าคิดอย่างไรในเรื่องคู่ครอง เจ้าก็บอกข้ามาตรงๆ ข้าเองก็เป็นคนรู้สถานการณ์ดี ชีวิตนี้เป็นของพวกเจ้า พวกเจ้าทุกคนต้องมีความสุข ถึงจะใช้ได้ หากในใจยังมีปมที่ซ่อนเร้นอยู่ ต่อให้ไม่กล้าบอก ก็ไม่ใช่ว่าจะแก้หายได้ในอนาคตหรอกนะ "

      เหลียนเจ๋อลังเลจะพูดออกมา เขาขยับริมฝีปากสองสามครั้ง แต่ในที่สุดก็ก้มหน้าลง และร้องออกมา: "พี่ใหญ่..." ไม่มีคำพูดใด ๆอีก

     เหลียนฟางโจวอดแอบตกใจไม่ได้ เมื่อเห็นน้องชายเป็นแบบนี้ เงาร่างซือซือ แวบเข้ามาในหัว  ความไม่สบายใจดูจะหนักขึ้นอีกนิด

     เหลียนฟางโจวไม่ได้ดูถูกซือซือ

     สำหรับเหลียนฟางโจว ซึ่งเป็นคนระดับรากหญ้าทั้งในอดีตชาติและในชาตินี้  นางไม่เคยมีความคิดแบ่งแยกชั้นวรรณะอยู่ในสมองเลย

    หากเหลียนเจ๋อและซือซือต่างรักกันจริง พวกเขาจะต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต นางเองก็คงทนขัดขวางไม่ได้ และความคิดที่หยั่งรากลึกของนางก็ไม่อาจหยุดนางได้เช่นกัน

    เพียงแต่สุดท้ายนางก็ไม่พอใจอยู่ดี

   ซือซือนั้นมีรูปโฉมงดงาม เพียงการวางแผนการของอีกฝ่ายนั้นนับว่าธรรมดา

    จากการประเมินของเหลียนฟางโจว ความสามารถของซือซือนั้นเพียงพอที่จะเป็นสุภาพสตรีที่ดูแลเรื่องราวในบ้านทั่วไป เช่นเดียวกับที่นางกำลังทำอยู่ตอนนี้

    ทว่าเหลียนเจ๋อเป็นบุตรชายคนโตของตระกูล สิ่งที่ตระกูลเหลียนต้องการก็คือ นายหญิงที่สามารถสนับสนุนสามีได้ทั้งกิจการงานภายในและภายนอก!

    ด้วยกิจการของตระกูลมีขนาดใหญ่เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าการพึ่งพาเหลียนเจ๋อคนเดียว ให้ควบคุมกิจการงานทั้งภายในและภายนอกตระกูลนั้น ดูจะไม่เพียงพอ นายหญิงใหญ่ของตระกูลเหลียนต้องช่วยแบ่งเบาภาระของสามีด้วย หากเหลียนเจ๋อเข้าไปอยู่ในแวดวงขุนนาง ภายภาคหน้า เขาก็จะต้องมีสังคมกับเหล่าขุนนางและครอบครัวขุนนางด้วย

      เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงธรรมดาที่รู้เพียงวิธีดูแลอาหารและเสื้อผ้าเท่านั้น ที่สามารถแบกรับได้

     นอกจากนี้ ซือซือมีพ่อแม่แบบนั้น และนางได้ยินมาว่าน้องชายคนนั้นก็ไม่ดีพอ และไม่เพียงเท่านั้น หลังจากซือซือออกจากครอบครัวนั้นไป แม่ของนางก็มีน้องชายคนเล็กเพิ่มขึ้นอีกคน  ในอนาคต การมีพ่อแม่ภรรยาแบบนี้อาจเป็นเรื่องไม่ดี  

    หากซือซือเป็นบ่าวของตระกูลเหลียน สัญญาขายตัวเป็นทาสของนาง ที่ขายตัวไปในตอนนั้นก็เป็นสัญญาขายขาดตลอดชีพ พ่อแม่ของนางย่อมเข้ามาก้าวก่ายไม่ได้

    แต่หากซือซือต้องการเป็นฮูหยินน้อยของตระกูลเหลียน นางก็ต้องถอนสถานะทาสของอีกฝ่าย เหลียนฟางโจวคงไม่อาจทิ้งพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของอีกฝ่ายไว้อย่างนั้น และแสร้งทำเป็นไม่เห็นพวกเขา แล้วหันไปหาพ่อแม่อีกคู่หนึ่งมาให้อีกฝ่ายเพื่อแต่งอีกฝ่ายเข้าตระกูลได้

    เมื่อถึงตอนนั้น ซือซือต้องถูกส่งกลับไปหาครอบครัวบ้านเดิม และแต่งออกจากครอบครัวบ้านเดิม

    ภายหน้า ด้วยครอบครัวบ้านเดิมของภรรยาที่เป็นแบบนี้ จวนตระกูลเหลียนจะมีแต่เรื่องครึกครื้นถึงปานไหน แค่คิดขึ้นมา เหลียนฟางโจวก็ปวดหัวแล้ว!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น