วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 972 การแต่งงานของเหลียนเจ๋อ

บทที่ 972 การแต่งงานของเหลียนเจ๋อ

 

ดังนั้นวันนี้ เหลียนฟางโจวต้องบังคับเหลียนเจ๋อ ให้พูดความในใจของเขาออกมาให้ได้ หากเขาไม่ได้มุ่งมั่นกับซือซืออย่างสุดจิตสุดใจ ไม่มีเงื่อนไขที่จะแต่งอีกฝ่ายมาเป็นภรรยา นางก็จะขัดขวางเรื่องนี้ไม่ว่ายังไงก็ตาม

    การให้อีกฝ่ายเป็นอนุภรรยา ก็มีแต่จะทำให้ภายหน้าครอบครัวต้องวุ่นวายหาความสงบสุขไม่ได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย!

    เหลียนเจ๋อจะรู้ถึงสิ่งที่พี่สาวของตนกำลังคิดอยู่ได้อย่างไร? เขาเองก็มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน และมีความลังเลมากขึ้นทุกที สุดท้ายเขาก็พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะพูดออกมา

   ดูท่าว่าเจ้าคงไม่มีอะไรคัดค้านนะ” เหลียนฟางโจวอดรู้สึกรำคาญใจหน่อยๆไม่ได้ ทว่าบนใบหน้าหญิงสาวยังคงปรากฏรอยยิ้มเบิกบาน ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มสุดแสนพึงพอใจ: "เจ้าเป็นคนรู้ความและเชื่อฟังเสมอมา เจ้าจะคุยกับพี่เขยของเจ้าก็ได้ ข้าเป็นพี่สาวของเจ้า ข้ายังจะทำร้ายเจ้าได้เหรอ? เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะเลือกภรรยาให้เจ้า ซึ่งสามารถดูแลธุระการงานทั้งภายในและภายนอกจวนได้ดี นิสัยดีก็ดีและดูดีอย่างแน่นอน! เจ้าน่ะ ไม่ได้มาที่จวนข้ามาพักใหญ่แล้ว วันนี้ก็อย่าเพิ่งรีบกลับ ใช้เวลากับซู่เอ๋อร์ให้มากหน่อย ซู่เอ๋อร์เองก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน ข้าจะให้คนไปรับชิงเอ๋อร์ พี่สะใภ้และอวิ๋นหันที่จวนเก่าทางโน้นมา ครอบครัวเราจะได้ใช้เวลาร่วมกัน และรับสำรับมื้อกลางวันด้วยกันนะ!"

   "พี่ใหญ่!" เมื่อเห็นเหลียนฟางโจวเลิกพูดเรื่องนี้ และเริ่มพูดถึงอาหารกลางวัน เหลียนเจ๋อก็อดกังวลอยู่พักหนึ่งไม่ได้ และในที่สุดก็กล่าวว่า "การแต่งงานของข้าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน รอให้ข้าเข้าสอบจอหงวนบู๊จบก่อน แล้วเราค่อยหารือกันอีกทีได้ไหม? ข้า- -"

เหลียนฟางโจวเลิกคิ้ว ในใจยิ่งรู้สึกสงสัยหนักขึ้น แล้วเอ่ยอย่างใจเย็น: "อีกไม่นานก็จะมีการสอบจอหงวนบู๊แล้ว เรามาหารือเรื่องนี้ในตอนนี้จะดีกว่าไหม? เจ้าเองก็จะได้รอดพ้นจากคนที่มาหลอกจับเจ้า ยามที่เจ้าโดดเด่นเป็นที่สนใจของผู้คนแล้ว  หรือว่าเจ้ามีคนในใจอยู่แล้ว?

     "ไม่มีเสียหน่อย!" เหลียนเจ๋อชะงักไป แล้วรีบเปิดปากปฏิเสธโดยไม่เสียเวลาคิด แต่ชายหนุ่มก็ยังคงหลบเลี่ยงสายตาเย็นชาของเหลียนฟางโจว

เหลียนฟางโจวจะไม่รู้นิสัยใจคอเขาได้เหรอ? ไม่มีอะไรรึ? ต้องมีแหงๆ!

"นางคือใคร?" เหลียนฟางโจวถามอย่างเย็นชา

เหลียนเจ๋อปฏิเสธ เพียงเอ่ยว่า "พี่ใหญ่ หลังข้าผ่านการสอบจอหงวนบู๊แล้ว ข้าย่อมบอกพี่ใหญ่แน่ จากนั้นข้าคงต้องขอให้พี่ใหญ่เป็นแม่สื่อไปสู่ขอนางให้ข้าด้วยขอรับ!" หลังจากนิ่งไปชั่วอึดใจ เขาก็เอ่ยขึ้น "พี่ใหญ่ ท่านวางใจเถอะ นาง อืม นางเป็นคนดีมาก นางจะเป็นประมุขหญิงที่ดีของตระกูลเหลียนอย่างแน่นอนขอรับ!"

   หืม?

ดวงตาของเหลียนฟางโจวเปล่งประกาย

ไปสู่ขอแต่งงานรึ? ที่แท้ก็เป็นสตรีมีชาติตระกูล เช่นนั้นก็ย่อมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับซือซือนะสิ!

ในที่สุดหินก้อนใหญ่ก็หล่นออกจากใจ เหลียนฟางโจวผลิรอยยิ้มไปทั่วใบหน้า: "ที่แท้เจ้าก็มีคนรักอยู่แล้วจริงๆ! โอ้ ดูเจ้าสิ ดูเขินอายหนักกว่าเดิมอีก! ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูดก็แล้วกัน ลูกสะใภ้จะขี้เหร่อย่างไรก็ต้องพบพ่อแม่สามี ถึงตอนนี้ไม่บอก ในไม่ใช้ข้าก็รู้เอง!”

แม้ว่าหญิงสาวจะเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อเทียบกับหินก้อนใหญ่ที่เคยกดทับอยู่ในใจ ยามนี้นางย่อมสามารถเมินเฉยต่อความอยากรู้อยากเห็นได้

"พี่ใหญ่!" เหลียนเจ๋อส่งยิ้มจืดเจื่อน และนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย "พี่สาวของเขาช่างเปลี่ยนสีหน้าเร็วเสียจริง!"

แต่ปัญหาเรื่องซือซือยังคงต้องได้รับการชี้แจงให้กระจ่าง นางยอมโดนแดดเผาดีกว่าเลือกวัน คุยเรื่องนี้ตอนนี้เลย ดูจะง่ายกว่า!

เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้ม "ในเมื่อเจ้ามีนางในดวงใจแล้ว คงไม่ดี หากพี่ใหญ่ไม่ได้คุยเรื่องอื่นด้วย! เจ้าไม่ใช่คนไร้เดียงสา ที่ไม่เคยพบผู้ใด ตลอดหลายปีมานี้  เจ้าคงมีประสบการณ์การมองคนมาไม่มากก็น้อย เจ้าบอกว่าคนรักของเจ้าเป็นคนดี ข้าก็จะเชื่อว่านางต้องดี ข้าได้ยินมาว่า ซือซือเป็นคนดูแลจวนของเจ้าในตอนนี้ใช่ไหม?

เหลียนเจ๋อรู้สึกโล่งใจใหญ่หลวง เมื่อได้ยินเหลียนฟางโจวพูดเช่นนี้ เขาเคารพพี่สาวตนเองเสมอ หากคนรักของเขาไม่ชอบพี่สาวของเขา เขาคงจะเสียใจยิ่งนัก

การที่พี่สาวของข้าเต็มใจเชื่อในตัวเขาและในวิสัยทัศน์ของเขา ทำให้เขามีความสุขมากจริงๆ

เมื่อได้ยินพี่สาวพูดถึงซือซือ เหลียนเจ๋อก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม: "ใช่ ซือซือ มีความสามารถยิ่งนัก ธุระในจวนของข้า นางจัดการได้เป็นระเบียบเรียบร้อยดี อีกทั้งเหล่าสาวใช้และแม่บ้านต่างก็เต็มใจเชื่อฟังนางขอรับ!"

ยังรู้จักซื้อใจคนอีกด้วย? แย่หนักกว่าเก่าอีก!

เหลียนฟางโจวแย้มยิ้มอย่างใจเย็น และเอ่ยถามอย่างสบายๆ "ซือซือ ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว เราพานางมาจากเมืองยู่เหอ นางย่อมแตกต่างจากข้าทาสที่เราซื้อที่นี่ เจ้ามีแผนการสำหรับนางหรือไม่" ?”

เหลียนเจ๋อตื่นตัวขึ้นทันที เมื่อได้ยินสิ่งที่เหลียนฟางโจวกล่าว เขาเหลือบมองพี่สาว แล้วรีบเอ่ย "ซือซือเป็นเด็กสาวที่ดี ข้าจะให้พ่อบ้านเลือกบุรุษดีๆ มาแต่งงานกับนาง หลังจากนางแต่งงานแล้ว เรื่องดูแลธุระในจวนควรให้ฮูหยินรับผิดชอบ จึงจะเหมาะสม”

เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ เหรอ?ไฉนเหลียนฟางโจวถึงไม่ได้ยินความวิตกกังวลและความกระวนกระวายเจืออยู่ในน้ำเสียงของน้องชายเลยเล่า? ทีแรกนางก็นึกสงสัย เพียงพริบตาเดียว นางก็กระจ่างแล้วว่า ที่เจ้าเด็กนี่ให้ความร่วมมือ ก็เพราะเขากังวลว่า นางจะยัดเยียดซือซือให้เขานั่นเอง!

ที่แท้เขาหาได้สนใจซือซือเลย!

เหลียนฟางโจวอดหัวเราะตัวเองไม่ได้ เป็นตัวนางที่เอาแต่วิตกกังวลไปเอง!

ใช่ไหม พี่ใหญ่คิดว่าข้าทำถูกแล้วใช่ไหม?” เหลียนเจ๋อกล่าวด้วยอาการประหม่า

เหลียนฟางโจวหลุดหัวเราะ และเอ่ยขึ้น "เป็นข้าที่คิดกังวลเกินไปโดยใช่เหตุ! เจ้าทำแบบนี้ดีมากเลยล่ะ!"

ขณะที่พูดไป เหลียนฟางโจวก็ละวางความกังวลก่อนหน้านี้ลงได้ อีกทั้งนางยังแจกแจงเหตุผลกับผู้เป็นน้องชาย ว่าทำไมนางไม่เคยคิดจะเอาซือซือมาเป็นอนุภรรยาของเขา

เหลียนเจ๋อรู้สึกอบอุ่นในใจ เมื่อได้ยินเช่นนี้  "ข้ามักทำให้พี่ใหญ่ต้องคอยห่วงกังวลเรื่องข้าอยู่เสมอ! พี่ใหญ่วางใจเถอะ หลังจากที่ข้าแต่งภรรยาแล้ว ข้ามีนางคนเดียวก็พอแล้ว ข้าเองก็ไม่อยากให้ครอบครัวไม่สงบสุขเช่นกัน!"

ถึงแม้ตอนนี้เขาจะร่ำรวยเงินทองแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเป็นคนโลภมาก

ไม่กี่ปีก่อน ครอบครัวเขายังอดอยากไม่พอกินด้วยซ้ำ ความปรารถนาสูงสุดของเขาก็คือ ให้ครอบครัวได้อยู่ร่วมกันอย่างผาสุข มีกินมีใช้ มีเสื้อผ้าใส่และมีเงินไปหาหมอยามเจ็บป่วย พี่สาวน้องสาวได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา มีปัญญาส่งเช่อเอ๋อร์เรียนหนังสือ

แม้วันนี้ ความปรารถนาของเขาก็ยังคงเหมือนเดิม

เรื่องการหาความสำราญ ดื่มสุราเคล้านารี มีอนุภรรยาหลายคน ความจริงแล้วเขาไม่เคยคิด และไม่เคยสนใจเลยเช่นกัน

เมื่อเหลียนฟางโจวได้ยินสิ่งที่เขาพูด ก็รู้สึกสะท้อนใจ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: "หากเจ้าคิดได้แบบนี้ ต่อไปพี่สาวของเจ้าจะกังวลเรื่องเจ้าให้น้อยลงแล้ว! ในเมื่อเจ้าไม่สนใจซือซือ  ตอนนี้เจ้าก็อย่าปล่อยให้นางเข้าใจผิดไปเลย”

เหลียนฟางโจวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็เอ่ยว่า "เอาล่ะ! ตอนนี้ก็เอาแบบนี้ไปก่อนเถอะ! เจ้าควรเพ่งความสนใจกับการสอบจอหงวนบู๊ก่อน และหลังสอบแล้ว ค่อยมาตัดสินใจเรื่องแต่งงาน และค่อยจัดการเรื่องซือซือ ก็นับว่ายังไม่สายเกินไป! มีเรื่องมากสู้มีเรื่องน้อยไม่ได้ ตอนนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งพูดอะไรกับนางเลย!"

เหลียนเจ๋อพยักหน้าเห็นด้วย

หลังจากคุยกันจนแจ่มแจ้งดีแล้ว เหลียนฟางโจวให้รู้สึกโล่งใจมากขึ้น การที่คนในครอบครัวหันหน้ามาคุยกันก่อน นับว่าวิธีนี้ยังใช้ได้ผลดีอยู่ ดังนั้นหญิงสาวจึงสั่งให้คนไปแจ้งห้องครัวให้ทำอาหารมื้อกลางวัน จากนั้นจึงสั่งให้คนแยกเดินทางไปรับเหลียนฟางชิง, โจวซื่อ และหลี่อวิ๋นหันมาที่จวน

สองพี่น้องต่างหารือกันเรื่องกิจการฝ้าย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

หลังจากนั้นไม่นาน หลี่ฟู่ก็อุ้มซู่เอ๋อร์เข้ามา ซู่เอ๋อร์ก็ยื่นแขนออกไปขอให้มารดาอุ้ม เหลียนฟางโจวจึงเดินไปรับตัวซู่เอ๋อร์มาอุ้มด้วยรอยยิ้ม ส่วนเหลียนเจ๋อก็ยิ้มแย้มลุกขึ้น และทักทาย "พี่เขย"

ในไม่ช้าโจวซื่อและหลี่อวิ๋นหันก็มาถึง โจวซื่อไม่มาที่จวนสองวันแล้ว เมื่อนางเห็นซู่เอ๋อร์ นางก็มีความรักใคร่เอ็นดูเด็กน้อยยิ่งนัก นางอุ้มซู่เอ๋อร์ และพูดคุยหัวเราะกับเหลียนฟางโจวในห้อง หลี่อวิ๋นหันที่คุ้นเคยกับเหลียนเจ๋อ ก็พูดคุยกับหลี่ฟู่อย่างสนิทสนม บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นมีชีวิตชีวา

เหลียนฟางชิงไม่มา คนที่ไปรับนางได้เข้ามา และถ่ายทอดข้อความของคุณหนูสี่ผู้เป็นน้องฮูหยินว่า นางออกไปเดินเที่ยวข้างนอก และอาจไม่กลับมาจนกว่าจะถึงช่วงบ่าย ซึ่งนางได้ฝากข้อความไว้ก่อนแล้ว ก่อนที่จะมีคนจากจวนแม่ทัพไปรับ

เหลียนฟางโจวรู้ว่า ถึงแม้เด็กสาวคนนี้จะชอบเล่นสนุก แต่นางก็ดูแลตัวเองได้ดี หญิงสาวจึงไม่กลัวว่าน้องสาวจะประสบปัญหาใดๆ  ครั้นแล้วจึงยิ้มและสั่งให้คนจัดโต๊ะสำหรับอาหารมื้อกลางวัน

เมื่อหลี่ฟู่ได้ยินดังนั้น ก็พูดกับเหลียนเจ๋อ  "ช่วงนี้ชิงเอ๋อร์ออกไปข้างนอกบ่อยไหม? เจ้ารู้ไหมว่านางไปที่ไหน ไปกับใคร?"


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น