บทที่ 972 การแต่งงานของเหลียนเจ๋อ
ดังนั้นวันนี้ เหลียนฟางโจวต้องบังคับเหลียนเจ๋อ ให้พูดความในใจของเขาออกมาให้ได้
หากเขาไม่ได้มุ่งมั่นกับซือซืออย่างสุดจิตสุดใจ ไม่มีเงื่อนไขที่จะแต่งอีกฝ่ายมาเป็นภรรยา
นางก็จะขัดขวางเรื่องนี้ไม่ว่ายังไงก็ตาม
การให้อีกฝ่ายเป็นอนุภรรยา ก็มีแต่จะทำให้ภายหน้าครอบครัวต้องวุ่นวายหาความสงบสุขไม่ได้
ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย!
เหลียนเจ๋อจะรู้ถึงสิ่งที่พี่สาวของตนกำลังคิดอยู่ได้อย่างไร? เขาเองก็มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน และมีความลังเลมากขึ้นทุกที
สุดท้ายเขาก็พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะพูดออกมา
“ดูท่าว่าเจ้าคงไม่มีอะไรคัดค้านนะ”
เหลียนฟางโจวอดรู้สึกรำคาญใจหน่อยๆไม่ได้ ทว่าบนใบหน้าหญิงสาวยังคงปรากฏรอยยิ้มเบิกบาน
ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มสุดแสนพึงพอใจ: "เจ้าเป็นคนรู้ความและเชื่อฟังเสมอมา เจ้าจะคุยกับพี่เขยของเจ้าก็ได้
ข้าเป็นพี่สาวของเจ้า ข้ายังจะทำร้ายเจ้าได้เหรอ? เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะเลือกภรรยาให้เจ้า ซึ่งสามารถดูแลธุระการงานทั้งภายในและภายนอกจวนได้ดี
นิสัยดีก็ดีและดูดีอย่างแน่นอน! เจ้าน่ะ ไม่ได้มาที่จวนข้ามาพักใหญ่แล้ว วันนี้ก็อย่าเพิ่งรีบกลับ
ใช้เวลากับซู่เอ๋อร์ให้มากหน่อย ซู่เอ๋อร์เองก็คิดถึงเจ้าเช่นกัน ข้าจะให้คนไปรับชิงเอ๋อร์
พี่สะใภ้และอวิ๋นหันที่จวนเก่าทางโน้นมา ครอบครัวเราจะได้ใช้เวลาร่วมกัน
และรับสำรับมื้อกลางวันด้วยกันนะ!"
"พี่ใหญ่!" เมื่อเห็นเหลียนฟางโจวเลิกพูดเรื่องนี้ และเริ่มพูดถึงอาหารกลางวัน
เหลียนเจ๋อก็อดกังวลอยู่พักหนึ่งไม่ได้ และในที่สุดก็กล่าวว่า "การแต่งงานของข้าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน
รอให้ข้าเข้าสอบจอหงวนบู๊จบก่อน แล้วเราค่อยหารือกันอีกทีได้ไหม? ข้า- -"
เหลียนฟางโจวเลิกคิ้ว ในใจยิ่งรู้สึกสงสัยหนักขึ้น แล้วเอ่ยอย่างใจเย็น:
"อีกไม่นานก็จะมีการสอบจอหงวนบู๊แล้ว เรามาหารือเรื่องนี้ในตอนนี้จะดีกว่าไหม? เจ้าเองก็จะได้รอดพ้นจากคนที่มาหลอกจับเจ้า ยามที่เจ้าโดดเด่นเป็นที่สนใจของผู้คนแล้ว หรือว่าเจ้ามีคนในใจอยู่แล้ว?”
"ไม่มีเสียหน่อย!" เหลียนเจ๋อชะงักไป แล้วรีบเปิดปากปฏิเสธโดยไม่เสียเวลาคิด
แต่ชายหนุ่มก็ยังคงหลบเลี่ยงสายตาเย็นชาของเหลียนฟางโจว
เหลียนฟางโจวจะไม่รู้นิสัยใจคอเขาได้เหรอ? ไม่มีอะไรรึ? ต้องมีแหงๆ!
"นางคือใคร?" เหลียนฟางโจวถามอย่างเย็นชา
เหลียนเจ๋อปฏิเสธ เพียงเอ่ยว่า "พี่ใหญ่ หลังข้าผ่านการสอบจอหงวนบู๊แล้ว
ข้าย่อมบอกพี่ใหญ่แน่ จากนั้นข้าคงต้องขอให้พี่ใหญ่เป็นแม่สื่อไปสู่ขอนางให้ข้าด้วยขอรับ!"
หลังจากนิ่งไปชั่วอึดใจ เขาก็เอ่ยขึ้น "พี่ใหญ่ ท่านวางใจเถอะ นาง อืม นางเป็นคนดีมาก
นางจะเป็นประมุขหญิงที่ดีของตระกูลเหลียนอย่างแน่นอนขอรับ!"
หืม?
ดวงตาของเหลียนฟางโจวเปล่งประกาย
ไปสู่ขอแต่งงานรึ? ที่แท้ก็เป็นสตรีมีชาติตระกูล เช่นนั้นก็ย่อมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับซือซือนะสิ!
ในที่สุดหินก้อนใหญ่ก็หล่นออกจากใจ เหลียนฟางโจวผลิรอยยิ้มไปทั่วใบหน้า:
"ที่แท้เจ้าก็มีคนรักอยู่แล้วจริงๆ! โอ้ ดูเจ้าสิ ดูเขินอายหนักกว่าเดิมอีก! ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูดก็แล้วกัน
ลูกสะใภ้จะขี้เหร่อย่างไรก็ต้องพบพ่อแม่สามี ถึงตอนนี้ไม่บอก ในไม่ใช้ข้าก็รู้เอง!”
แม้ว่าหญิงสาวจะเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แต่เมื่อเทียบกับหินก้อนใหญ่ที่เคยกดทับอยู่ในใจ ยามนี้นางย่อมสามารถเมินเฉยต่อความอยากรู้อยากเห็นได้
"พี่ใหญ่!" เหลียนเจ๋อส่งยิ้มจืดเจื่อน
และนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย "พี่สาวของเขาช่างเปลี่ยนสีหน้าเร็วเสียจริง!"
แต่ปัญหาเรื่องซือซือยังคงต้องได้รับการชี้แจงให้กระจ่าง นางยอมโดนแดดเผาดีกว่าเลือกวัน
คุยเรื่องนี้ตอนนี้เลย ดูจะง่ายกว่า!
เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้ม "ในเมื่อเจ้ามีนางในดวงใจแล้ว คงไม่ดี หากพี่ใหญ่ไม่ได้คุยเรื่องอื่นด้วย!
เจ้าไม่ใช่คนไร้เดียงสา ที่ไม่เคยพบผู้ใด ตลอดหลายปีมานี้ เจ้าคงมีประสบการณ์การมองคนมาไม่มากก็น้อย
เจ้าบอกว่าคนรักของเจ้าเป็นคนดี ข้าก็จะเชื่อว่านางต้องดี ข้าได้ยินมาว่า ซือซือเป็นคนดูแลจวนของเจ้าในตอนนี้ใช่ไหม?”
เหลียนเจ๋อรู้สึกโล่งใจใหญ่หลวง เมื่อได้ยินเหลียนฟางโจวพูดเช่นนี้
เขาเคารพพี่สาวตนเองเสมอ หากคนรักของเขาไม่ชอบพี่สาวของเขา เขาคงจะเสียใจยิ่งนัก
การที่พี่สาวของข้าเต็มใจเชื่อในตัวเขาและในวิสัยทัศน์ของเขา ทำให้เขามีความสุขมากจริงๆ
เมื่อได้ยินพี่สาวพูดถึงซือซือ เหลียนเจ๋อก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม:
"ใช่ ซือซือ มีความสามารถยิ่งนัก ธุระในจวนของข้า นางจัดการได้เป็นระเบียบเรียบร้อยดี
อีกทั้งเหล่าสาวใช้และแม่บ้านต่างก็เต็มใจเชื่อฟังนางขอรับ!"
ยังรู้จักซื้อใจคนอีกด้วย? แย่หนักกว่าเก่าอีก!
เหลียนฟางโจวแย้มยิ้มอย่างใจเย็น และเอ่ยถามอย่างสบายๆ "ซือซือ ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว
เราพานางมาจากเมืองยู่เหอ นางย่อมแตกต่างจากข้าทาสที่เราซื้อที่นี่ เจ้ามีแผนการสำหรับนางหรือไม่"
?”
เหลียนเจ๋อตื่นตัวขึ้นทันที เมื่อได้ยินสิ่งที่เหลียนฟางโจวกล่าว เขาเหลือบมองพี่สาว
แล้วรีบเอ่ย "ซือซือเป็นเด็กสาวที่ดี ข้าจะให้พ่อบ้านเลือกบุรุษดีๆ มาแต่งงานกับนาง
หลังจากนางแต่งงานแล้ว เรื่องดูแลธุระในจวนควรให้ฮูหยินรับผิดชอบ จึงจะเหมาะสม”
“เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ เหรอ?” ไฉนเหลียนฟางโจวถึงไม่ได้ยินความวิตกกังวลและความกระวนกระวายเจืออยู่ในน้ำเสียงของน้องชายเลยเล่า? ทีแรกนางก็นึกสงสัย เพียงพริบตาเดียว นางก็กระจ่างแล้วว่า
ที่เจ้าเด็กนี่ให้ความร่วมมือ ก็เพราะเขากังวลว่า
นางจะยัดเยียดซือซือให้เขานั่นเอง!
ที่แท้เขาหาได้สนใจซือซือเลย!
เหลียนฟางโจวอดหัวเราะตัวเองไม่ได้ เป็นตัวนางที่เอาแต่วิตกกังวลไปเอง!
“ใช่ไหม พี่ใหญ่คิดว่าข้าทำถูกแล้วใช่ไหม?” เหลียนเจ๋อกล่าวด้วยอาการประหม่า
เหลียนฟางโจวหลุดหัวเราะ และเอ่ยขึ้น "เป็นข้าที่คิดกังวลเกินไปโดยใช่เหตุ!
เจ้าทำแบบนี้ดีมากเลยล่ะ!"
ขณะที่พูดไป เหลียนฟางโจวก็ละวางความกังวลก่อนหน้านี้ลงได้ อีกทั้งนางยังแจกแจงเหตุผลกับผู้เป็นน้องชาย
ว่าทำไมนางไม่เคยคิดจะเอาซือซือมาเป็นอนุภรรยาของเขา
เหลียนเจ๋อรู้สึกอบอุ่นในใจ เมื่อได้ยินเช่นนี้ "ข้ามักทำให้พี่ใหญ่ต้องคอยห่วงกังวลเรื่องข้าอยู่เสมอ!
พี่ใหญ่วางใจเถอะ หลังจากที่ข้าแต่งภรรยาแล้ว ข้ามีนางคนเดียวก็พอแล้ว ข้าเองก็ไม่อยากให้ครอบครัวไม่สงบสุขเช่นกัน!"
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะร่ำรวยเงินทองแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเป็นคนโลภมาก
ไม่กี่ปีก่อน ครอบครัวเขายังอดอยากไม่พอกินด้วยซ้ำ
ความปรารถนาสูงสุดของเขาก็คือ ให้ครอบครัวได้อยู่ร่วมกันอย่างผาสุข มีกินมีใช้
มีเสื้อผ้าใส่และมีเงินไปหาหมอยามเจ็บป่วย พี่สาวน้องสาวได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา
มีปัญญาส่งเช่อเอ๋อร์เรียนหนังสือ
แม้วันนี้ ความปรารถนาของเขาก็ยังคงเหมือนเดิม
เรื่องการหาความสำราญ ดื่มสุราเคล้านารี มีอนุภรรยาหลายคน
ความจริงแล้วเขาไม่เคยคิด และไม่เคยสนใจเลยเช่นกัน
เมื่อเหลียนฟางโจวได้ยินสิ่งที่เขาพูด ก็รู้สึกสะท้อนใจ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม:
"หากเจ้าคิดได้แบบนี้ ต่อไปพี่สาวของเจ้าจะกังวลเรื่องเจ้าให้น้อยลงแล้ว!
ในเมื่อเจ้าไม่สนใจซือซือ ตอนนี้เจ้าก็อย่าปล่อยให้นางเข้าใจผิดไปเลย”
เหลียนฟางโจวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็เอ่ยว่า "เอาล่ะ!
ตอนนี้ก็เอาแบบนี้ไปก่อนเถอะ! เจ้าควรเพ่งความสนใจกับการสอบจอหงวนบู๊ก่อน และหลังสอบแล้ว
ค่อยมาตัดสินใจเรื่องแต่งงาน และค่อยจัดการเรื่องซือซือ ก็นับว่ายังไม่สายเกินไป! มีเรื่องมากสู้มีเรื่องน้อยไม่ได้
ตอนนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งพูดอะไรกับนางเลย!"
เหลียนเจ๋อพยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากคุยกันจนแจ่มแจ้งดีแล้ว เหลียนฟางโจวให้รู้สึกโล่งใจมากขึ้น การที่คนในครอบครัวหันหน้ามาคุยกันก่อน
นับว่าวิธีนี้ยังใช้ได้ผลดีอยู่ ดังนั้นหญิงสาวจึงสั่งให้คนไปแจ้งห้องครัวให้ทำอาหารมื้อกลางวัน
จากนั้นจึงสั่งให้คนแยกเดินทางไปรับเหลียนฟางชิง, โจวซื่อ และหลี่อวิ๋นหันมาที่จวน
สองพี่น้องต่างหารือกันเรื่องกิจการฝ้าย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
หลังจากนั้นไม่นาน หลี่ฟู่ก็อุ้มซู่เอ๋อร์เข้ามา ซู่เอ๋อร์ก็ยื่นแขนออกไปขอให้มารดาอุ้ม
เหลียนฟางโจวจึงเดินไปรับตัวซู่เอ๋อร์มาอุ้มด้วยรอยยิ้ม ส่วนเหลียนเจ๋อก็ยิ้มแย้มลุกขึ้น
และทักทาย "พี่เขย"
ในไม่ช้าโจวซื่อและหลี่อวิ๋นหันก็มาถึง โจวซื่อไม่มาที่จวนสองวันแล้ว
เมื่อนางเห็นซู่เอ๋อร์ นางก็มีความรักใคร่เอ็นดูเด็กน้อยยิ่งนัก นางอุ้มซู่เอ๋อร์ และพูดคุยหัวเราะกับเหลียนฟางโจวในห้อง
หลี่อวิ๋นหันที่คุ้นเคยกับเหลียนเจ๋อ ก็พูดคุยกับหลี่ฟู่อย่างสนิทสนม บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นมีชีวิตชีวา
เหลียนฟางชิงไม่มา คนที่ไปรับนางได้เข้ามา และถ่ายทอดข้อความของคุณหนูสี่ผู้เป็นน้องฮูหยินว่า
นางออกไปเดินเที่ยวข้างนอก และอาจไม่กลับมาจนกว่าจะถึงช่วงบ่าย ซึ่งนางได้ฝากข้อความไว้ก่อนแล้ว
ก่อนที่จะมีคนจากจวนแม่ทัพไปรับ
เหลียนฟางโจวรู้ว่า ถึงแม้เด็กสาวคนนี้จะชอบเล่นสนุก แต่นางก็ดูแลตัวเองได้ดี
หญิงสาวจึงไม่กลัวว่าน้องสาวจะประสบปัญหาใดๆ ครั้นแล้วจึงยิ้มและสั่งให้คนจัดโต๊ะสำหรับอาหารมื้อกลางวัน
เมื่อหลี่ฟู่ได้ยินดังนั้น ก็พูดกับเหลียนเจ๋อ "ช่วงนี้ชิงเอ๋อร์ออกไปข้างนอกบ่อยไหม? เจ้ารู้ไหมว่านางไปที่ไหน ไปกับใคร?"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น